Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2194 ผมคนเดียวก็พอ!
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2194 ผมคนเดียวก็พอ!
ตอนที่ 2194 ผมคนเดียวก็พอ!
“ด้วยเหตุนี้ คนกลุ่มหนึ่งจึงถูกส่งทะลุมิติไปยังบริเวณใจกลางภูเขา หรือแม้แต่ยอดเขาเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีโอกาสสูงขึ้นอีกมากในการได้รับรังสีสวรรค์”
“แต่ด้วยโควต้าของแต่ละเมืองที่มีจำกัด เพื่อรักษาความยุติธรรม คฤหาสน์เจ้าเมืองจึงเปิดประมูลโควต้าที่จะถูกส่งตรงไปสู่ยอดเขา ซึ่งทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ได้โควต้ามาจากการประมูล”
จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น
ในเมื่อทั้งเมืองตะวันรอนได้รับโควต้าเพียง 1,200 ที่ ก็พอเข้าใจได้กับการที่โควต้าที่มุ่งตรงสู่บริเวณยอดเขาหรือใจกลางภูเขาจะมีจำนวนจำกัด ไม่แปลกอะไรที่คนอื่นจะไม่พอใจที่จู่ๆเขาก็ตัดหน้า แถมยังพาพรรคพวกอีก 14 คนมาด้วย
“เรื่องนี้ผมต้องขออภัยด้วย ถ้ากลุ่มผู้เข้าท้าทายของคุณไม่อาจตรงเข้าสู่ใจกลางภูเขาได้ล่ะก็ ผมจะคืนเงินให้” อู๋ฟังชิงประสานมือและกล่าวขอโทษขอโพย
หากจางเซวียนเป็นแค่คนธรรมดาสามัญก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่…อีกฝ่ายน่าจะเป็นทายาทของจอมราชันย์สักคน ต่อให้อู๋ฟังชิงจะเย่อหยิ่งแค่ไหน ก็รู้ดีเกินกว่าจะทำให้คนที่มีสถานภาพระดับนั้นขุ่นเคือง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้แค่หาวิธีไกล่เกลี่ย
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของกติกา!” ชายวัยกลางคนที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตัดบทอย่างเฉียบขาด
“ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? ถ้าบรรดาลูกศิษย์ของเขาเอาชนะกลุ่มผู้เข้าท้าทายของพวกเราได้ ผมจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย แต่หากทำไม่ได้ล่ะก็ ผมก็หวังว่าเขาจะขอโทษพวกเราแล้วกลับไปต่อท้ายแถว!”
อู๋ฟังชิงขมวดคิ้วและกำลังจะโต้แย้ง ก็พอดีกับที่จางเซวียนโพล่งออกมา “ผมไม่มีปัญหา”
จากนั้นเขาก็หันไปถามจ้าวหย่ากับพรรคพวก “ใครจะลอง?”
ซุนฉางก้าวออกมาและเอามือเท้าสะเอว “ผมเอง!”
“คุณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ซุนฉางไม่เคยใส่ใจการฝึกฝนวรยุทธมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หลังจากพยายามอย่างหนักเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบน แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ยังไม่มั่นใจหากจะส่งซุนฉางไปประชันกับเหล่าอัจฉริยะของสรวงสวรรค์
ซุนฉางดูเหมือนจะรับรู้ความกังวลของจางเซวียน เขาพูดเสริม “ผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะคู่ควรกับการต่อสู้กับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ ในกรณีเลวร้ายที่สุด คุณให้จ้าวหย่าแก้มือกับพวกเขาก็ได้ถ้าผมแพ้!”
“ตามนั้น” จางเซวียนโบกมือ
“ผมคือคู่ต่อสู้ของคุณ!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงตาคมกริบและท่าทีโอหังก้าวออกมาเพื่อรับคำท้าของซุนฉาง
“เทียนเหิง เอาชนะเขาแบบเบาะๆก็พอนะ ไม่ต้องถึงกับเลือดตกยางออกล่ะ” ชายวัยกลางคนพูด
“รับทราบ!” ชายหนุ่มที่ชื่อเทียนเหิงตอบก่อนจะเดินเข้าหาซุนฉางด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววดูถูก เขายกมือขึ้นแล้วร้องเรียก “อย่ามัวเสียเวลาน่ะ รีบจัดการให้มันเสร็จๆ”
อีกฝ่ายเป็นแค่ชายวัยกลางคนที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า ถือว่าพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการฝ่าด่านวรยุทธไปแล้ว ต่อให้ได้รังสีสวรรค์มา ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะทำสำเร็จ
“คุณจะท้าทายผมตามลำพังหรือ?” แทนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว ซุนฉางกลับชี้นิ้วไปที่คนอื่นๆอย่างเกียจคร้านและพูดต่อ “ทำไมพวกคุณไม่เข้ามาสู้กับผมพร้อมๆกันล่ะ?”
“ผมคนเดียวก็พอ!” เทียนเหิงคำรามขณะปล่อยหมัด
novel-lucky
ความว่องไวจากหมัดของเขาทำให้อากาศถูกบีบอัดอย่างแรง เกิดเสียงดังขวับเหมือนการตวัดแส้
แม้เทียนเหิงจะยังเป็นวัยรุ่น แต่ก็มีทักษะสูงส่งไม่เบา เขาควบคุมพละกำลังของตัวเองและทิศทางของการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
ซุนฉางส่ายหน้าขณะดึงแขนซ้ายออกจากการไพล่หลัง พริบตาต่อมา แขนซ้ายของเขาก็พร่าเลือน กลายเป็นกำปั้นมากมาย เกิดเป็นภาพติดตาจำนวนนับไม่ถ้วน
พลั่ก!
ยังไม่ทันที่เทียนเหิงจะได้ตอบโต้ ก็ถูกหมัดกระแทกเข้าที่หน้าอก ทำให้ถอยไปสามก้าวก่อนจะสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้า
เห็นภาพนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้ซุนฉางจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายและเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้า ทั้งยังเคยผ่านการต่อสู้มาหลายครั้งเมื่อสมัยที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน
ต่อให้ชายหนุ่มจะเก่งกาจปราดเปรื่องไม่น้อย แต่ก็ยังห่างชั้นกับซุนฉาง
“อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ คุณน่ะสู้ผมไม่ได้หรอก จะง่ายกว่าเยอะถ้าพวกคุณเข้ามาหาผมพร้อมๆกันทีเดียว!”
หลังจากเล่นงานเทียนเหิงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซุนฉางมองบรรดาชายหนุ่มที่เหลือด้วยทีท่าโอหังตามแบบของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครปราบได้
หยวนเทาก้าวออกมา “ท่านลุงซุน คุณสู้พอแล้วล่ะ ผมรับมือรอบต่อไปให้ดีไหม?”
“นี่! พวกคุณน่ะพอได้แล้ว! ดูเสียก่อนว่าอยู่ที่ไหน? ให้ผมจัดการแทนก็แล้วกัน!” เจิ้งหยางกวัดแกว่งหอกขณะยืนจังก้า
“เอาล่ะ พวกคุณน่ะเข้ามาหาผมพร้อมๆกันเลย หรือไม่ ถ้าเหล่าผู้อาวุโสอยากมีบทบาทด้วย ก็ลดระดับวรยุทธลงแล้วมาโจมตีผมก็ได้ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ขอความช่วยเหลือจากใครแน่นอน”
“คุณน่ะปากดีเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ออกรบมานานแล้วนะ!” เว่ยหรูเหยียนพูดขณะยิ้มอย่างสบายใจ
จางเซวียนกุมหน้าผาก
ส่วนจางเจี้ยก็มองมาด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด
เจ้านายบอกไว้ว่าตัวเขาชอบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมบรรดาลูกศิษย์ถึงยังสร้างปัญหาล่ะ?
ไม่ว่าจะมองอย่างไร เด็กพวกนั้นก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เก็บเนื้อเก็บตัว’ เลยสักนิด
“หลงตัวเองเสียเหลือเกิน ก็ได้! ผมจะเป็นคู่ต่อสู้ของคุณ!”
“ผมอยากสู้กับแม่สาวเสื้อคลุมสีเขียวคนนั้น!”
“ฮ่า ส่วนผมจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าอ้วนนั่น พูดจาโอหังอะไรอย่างนี้ ทำอย่างกับตัวเองเก่งที่สุดในโลก…”
พฤติกรรมของจ้าวหย่ากับพรรคพวกทำให้เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในห้องเกิดบันดาลโทสะ พวกเขาคำรามกร้าวและพุ่งเข้าใส่
แต่ 2-3 อึดใจต่อมา คนเหล่านั้นก็นอนแผ่หราอยู่กับพื้น
แม้พวกเขาจะเก่งกาจกว่านักรบทั่วไปในเมืองตะวันรอน แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะนำมาเทียบชั้นกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆได้ แม้แต่ซุนฉางก็เกินพอที่จะจัดการคนพวกนี้!
“เอ่อ…”
เห็นบรรดาผู้เข้าท้าทายของพวกเขาพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ต่อสู้ให้สมน้ำสมเนื้อ กลุ่มชายวัยกลางคนที่แสดงความแคลงใจในตัวจางเซวียนก่อนหน้านี้ถึงกับมึนหัว พวกเขาแทบกระอักเลือดออกมา
ทุกคนคิดว่าจางเซวียนใช้เส้นสายเพื่อให้ได้ที่นั่งตรงนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีพละกำลังพอตัว
ในเมื่อลูกศิษย์ของเขาไร้เทียมทานขนาดนั้น ทำไมถึงยังยอมเสียเงินเพื่อซื้อโควต้า ให้เด็กพวกนี้ต่อสู้เสียตั้งแต่แรกเลยก็ได้!
ทุกคนคงได้ก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆโดยไม่พลาด
ในตอนนั้น แม้แต่อู๋ฟังชิงก็เงียบกริบ เรื่องที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะตอกย้ำความคิดในหัวสมองของเขา
novel-lucky
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านี้เก่งกาจราวกับปีศาจ การได้รับลูกศิษย์ที่เก่งกาจสักคนหนึ่งเอาไว้อาจเรียกว่าโชคดี แต่นี่…ลูกศิษย์ที่เก่งกาจจำนวนมากมายอยู่ภายใต้การชี้แนะของคนคนเดียวกัน
จะต้องมีบางอย่างที่มากกว่าโชคอย่างแน่นอน!
ต่อให้จางเซวียนไม่ได้มีสายเลือดจอมราชันย์ ก็คงไม่ด้อยกว่านั้นเท่าไหร่
“สิ่งนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์หรือยังว่านายน้อยจางเซวียนกับบรรดาลูกศิษย์ของเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ตรงนี้?” อู๋ฟังชิงถามยิ้มๆ
“ได้สิ ได้แน่นอน…” คนอื่นๆรีบตอบ
จริงอยู่ว่าการถูกส่งทะลุมิติไปที่ยอดเขาหรือบริเวณใจกลางภูเขาจะช่วยให้มีโอกาสได้รับรังสีสวรรค์เพิ่มขึ้นอีกมาก แต่สุดท้าย จะได้มันมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้นั้นด้วย
ถ้าทั้ง 14 คนทรงพลังขนาดนั้น ก็ไม่มีทางที่เหล่าผู้เข้าท้าทายในสังกัดของพวกเขาจะฉกฉวยรังสีสวรรค์มาได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ปล่อยไปเสียดีกว่า
ไม่อย่างนั้น หากทั้ง 14 คนจงใจเล่นงานกลุ่มผู้เข้าท้าทายของพวกเขาเมื่อไปถึงภูเขาสวรรค์สร้าง ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้
“ในเมื่อทุกคนไม่ขัดข้อง เริ่มการทะลุมิติเลยก็แล้วกัน เวลาจวนเจียนเต็มทีแล้ว” อู๋ฟังชิงลุกขึ้นและนำตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองออกมา เขาแตะมันเบาๆ แสงสีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายโอบล้อมทั้งจัตุรัสไว้
จากนั้น ประตูบานมหึมาก็ปรากฏขึ้นบริเวณใจกลางจัตุรัส ดึงดูดฝูงชนให้เข้าไปห้อมล้อม
“นายน้อยจางเซวียน ให้พวกเขาเข้าไปก่อนเถอะ” อู๋ฟังชิงพูดยิ้มๆ
จางเซวียนพิจารณาประตูนั้นอย่างถี่ถ้วน และรู้ว่ามันเป็นแค่ค่ายกลทะลุมิติที่ไม่มีอันตราย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เรียกจ้าวหย่ากับคนอื่นๆให้มารวมตัวกัน
“รับไปคนละ 5 เม็ดนะ ผมถ่ายทอดพละกำลังของผมเข้าไปในนั้นแล้ว มันจะช่วยให้พวกคุณฝ่าด่านขอขวดและรอดพ้นจากอันตรายในช่วงเวลาคับขันได้”
จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็มอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าให้จ้าวหย่ากับพรรคพวกคนละขวด
ตอนนี้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อเขามากนัก จึงควรมอบให้คนอื่นดีกว่า เพราะทันทีที่คนเหล่านี้ได้รับรังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าก็จะช่วยให้พวกเขายกระดับวรยุทธได้อีกมาก
“ขอบคุณ นายน้อย!”
“ขอบคุณ เซวียนเอ๋อ!”
“ขอบคุณ ท่านอาจารย์!”
จางเซวียนไม่มีคำสั่งเสียใดๆอีก จึงเร่งให้ทุกคนรีบเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติ
ทั้งกลุ่มผ่านประตูเข้าไปและหายวับไปจากสายตา
ในเมื่อตัวเขาเป็นเทพเจ้าแล้ว จึงไม่อาจผ่านค่ายกลทะลุมิติได้ จำเป็นต้องรออยู่ข้างนอก
ไม่ถึง 1 ชั่วโมง นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 1,200 คนที่อยู่ในจัตุรัสก็ผ่านประตูบานมหึมานั้นเพื่อเข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ประตูสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะหายวับไป
“ค่ายกลทะลุมิติจะปรากฏขึ้นอีกครั้งใน 1 วันนับจากนี้ ถ้าพวกคุณไม่รีบร้อนอะไร คฤหาสน์เจ้าเมืองจัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ พวกคุณอยู่ที่นั่นเพื่อรอลูกศิษย์ของคุณกลับมาก็ได้” อู๋ฟังชิงพูดยิ้มๆ
“น่าสนใจ!”
ฝูงชนพยักหน้ารับ
สำหรับนักรบ, 1 วันไม่ใช่ระยะเวลายาวนาน
จางเซวียนก็คร้านจะกลับที่พัก จึงตามทั้งกลุ่มเข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมือง
…..
การผ่านประตูให้ความรู้สึกที่ออกจะไม่คุ้นเคย ทำให้จ้าวหย่าสะดุดล้ม พอตั้งตัวได้ ก็เห็นว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ และเมื่อพิจารณาดูให้ดี ก็พบว่าบริเวณนี้อยู่ใกล้กับยอดเขา
ไม่เหมือนกับภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ พื้นที่โดยรอบมีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น เกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโตของพืชพรรณนานาชนิด พลังชีวิตอบอวลทั่วทั้งบริเวณนั้น ไม่มีความแห้งแล้งทุรกันดารให้เห็น
“เราต้องตามหารังสีสวรรค์…”
จ้าวหย่ารู้ดีถึงความสำคัญของการได้เข้าสู่ภูเขาสวรรค์สร้าง เธอรีบปีนป่ายขึ้นไป
ไม่ช้าก็พบว่าระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามความสูง เป็นไปได้ว่าเธอน่าจะได้พบรังสีสวรรค์