Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2202 เขารู้ได้อย่างไร?
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2202 เขารู้ได้อย่างไร?
อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 2202 เขารู้ได้อย่างไร?
กลับกลายเป็นว่าในสรวงสวรรค์มีวิธีการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์อยู่มากมาย ช่างน่าโล่งใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ตราสัญลักษณ์เจ้าเมืองมา
เพียงเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษในการใช้ค่ายกลทะลุมิติ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว
เพราะใช่ว่าเขาจะไม่เคยดำรงตำแหน่งสูงส่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ หัวหน้าตระกูล หรือเจ้าสำนัก…จะรับตำแหน่งเจ้าเมืองอีกตำแหน่งคงไม่ใช่ปัญหา
จางเซวียนหันไปถามฉีหลิงเอ๋อ “แถวนี้ยังมีเมืองไหนที่ตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่างอยู่บ้าง?”
“เมืองแสงสนธยา ใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ราว 1 วัน เมืองนี้ยังไม่มีเจ้าเมือง กลุ่มอำนาจใหญ่ๆต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมืองมากว่าครึ่งปีแล้ว แต่ยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ฉีหลิงเอ๋อตอบยิ้มๆ
เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเธอในฐานะผู้จัดการตลาดมืดใต้ดินถือว่าน่าทึ่งมาก
“แต่เมืองนั้นกว้างใหญ่กว่าเมืองตะวันรอนหลายเท่า ครอบคลุมถึง 3 เขตแดนการปกครอง นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ซึ่งถ้าขนาดนักรบระดับนั้นยังไม่ได้เป็นเจ้าเมือง การจะได้เป็นเจ้าเมืองก็ถือว่าลำบากไม่น้อย”
“มี 3 เขตแดนการปกครองอยู่ในสังกัดของเมืองแสงสนธยา แล้วผู้ปกครองดินแดนเหล่านั้นมีตราสัญลักษณ์ที่ทำให้พวกเขาใช้ค่ายกลทะลุมิติได้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“มีสิ! นายน้อยจาง ก็เพราะฉันรู้ความต้องการของคุณนี่แหละถึงได้แนะนำเมืองแสงสนธยา!” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
เธอรู้ดีว่าจางเซวียนอยากพาซุนฉางกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาไปด้วย และเพราะเหตุนั้น เธอจึงเสนอเมืองแสงสนธยาเป็นทางเลือก
ไม่อย่างนั้นก็คงแนะนำเมืองอื่นที่เล็กกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนไปถึงเมืองที่เข้าควบคุมได้ยากอย่างเมืองแสงสนธยา
“เยี่ยมเลย ถ้าไม่มีอะไรล่ะก็ ออกเดินทางไปที่นั่นกันเถอะ” จางเซวียนพูด
“ขออภัยด้วยเถอะนายน้อยจาง แต่ฉันต้องเตรียมตัวสักหน่อย เราออกจากที่นี่ในอีก 4 ชั่วโมงข้างหน้าได้ไหม?” ฉีหลิงเอ๋อถาม
จางเซวียนพยักหน้า
ฉีหลิงเอ๋อมีความเชี่ยวชาญในหน้าที่การงานของเธอมาก แม้จะขอเวลา 4 ชั่วโมง แต่ก็กลับมาที่ลานบ้านในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา แถมยังพาอสูรสวรรค์บินได้มาอีกหลายตัวเพื่อให้ทุกคนได้ใช้
เมื่อขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์แล้ว ทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางสู่เมืองแสงสนธยา
“พวกเขาไปแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนออกเดินทางไปแล้ว อู๋ฟังชิงหน้าเสีย เขาตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มในช่วงเวลา 2-3 วันนี้เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตอบแทนบ้าง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรีบจากไป
“ท่านเจ้าเมืองอู๋ นายน้อยจางฝากให้ผมมอบของกำนัลนี้ให้คุณ เพื่อเป็นเครื่องตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือ” หยิงเฟยพูด
“อ้อ?” อู๋ฟังชิงขมวดคิ้วขณะรับตราหยกที่หยิงเฟยยื่นให้
เขาใช้นิ้วแตะมันและถ่ายทอดพลังงานสวรรค์เข้าไป เพียงครู่เดียวก็ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ฮะ?”
สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตราหยกคือข้อบกพร่องทั้งหมดในวรยุทธของเขา รวมถึงวิธีแก้ไข
ขอแค่เขาฝึกฝนวรยุทธตามที่มีบันทึกไว้ ก็จะรักษาอาการบอบช้ำต่างๆที่เกิดจากการฝึกฝนวรยุทธได้ อีกทั้งในอนาคตยังมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงด้วย!
“ว่าแต่…เขารู้ได้อย่างไร?” อู๋ฟังชิงถึงกับจังงัง
ตัวเขาเพิ่งพบจางเซวียนได้เพียงวันเดียว และไม่เคยพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธสักคำ แต่รายละเอียดในตราหยกนั้นบอกทุกอย่างที่แม้เขาเองก็มองข้าม
แล้วชายหนุ่มมองเห็นข้อบกพร่องทั้งหมด แถมยังหาวิธีแก้ไขมันด้วยได้อย่างไร.?
หลังจากงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ อู๋ฟังชิงก็ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือก “การที่เขามีสายเลือดจอมราชันย์คงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลแน่!”
บางที คงไม่มีประโยชน์หากพยายามจะนำสามัญสำนึกไปใช้กับผู้ที่อยู่เหนือความคาดหมายและความเข้าใจของคนทั่วไป การจะคิดว่าตัวเองเข้าใจอำนาจและความแข็งแกร่งของจอมราชันย์นั้นคือความโอหังอย่างหนึ่ง
…..
การออกเดินทางของจางเซวียนไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆในเมืองตะวันรอน
เพราะที่ผ่านมา เขาเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบตลอดตั้งแต่มาถึง จึงมีผู้คนไม่มากนักที่รู้จักเขา
หลังจากบินไปได้ราว 1 วัน เมืองใหญ่โตแห่งหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
ในแง่ของความกว้างใหญ่ มันใหญ่กว่าเมืองตะวันรอนราว 3-4 เท่า สองข้างทางถูกขนาบข้างด้วยตึกสูง ผู้คนคลาคล่ำเดินอยู่ทั่วไป
นับตั้งแต่ที่อสูรสวรรค์ร่อนลงแตะพื้นและทั้งกลุ่มเข้าสู่เมืองแสงสนธยา จางเซวียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วกับความพลุกพล่านหนาแน่นของถนน ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเดินฝ่าดงตั๊กแตน
ฉีหลิงเอ๋อพอจะดูออกว่าจางเซวียนคิดอะไร เธออธิบาย “นับตั้งแต่พลังจิตวิญญาณเริ่มเสื่อมถอย พื้นที่ที่ผู้คนในสรวงสวรรค์พอจะอาศัยอยู่ได้ก็มีอาณาเขตลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอพยพเข้าเมือง นำมาซึ่งภาวะประชากรหนาแน่นเกินขนาด ใครที่มีบ้านที่มีพื้นที่ 40 ตารางเมตรก็ถือว่าร่ำรวยแล้ว หาสาวๆมาอยู่ข้างกายได้มากมาย”
จางเซวียนพยักหน้า
เรื่องแบบนี้ก็คล้ายคลึงกับเมืองใหญ่ๆในโลกเก่าของเขา ผู้คนส่วนใหญ่อยากเข้ามาเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ในพื้นที่ที่เป็นใจกลางของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความหนาแน่นของประชากรอยู่ในอัตราสูงมาก ตึกรามบ้านช่องจำเป็นต้องสร้างให้สูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ ในเวลาเดียวกัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็พุ่งพรวดจนน่าตกใจ สูงขึ้นไปจนถึงระดับที่คนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง
สรวงสวรรค์ก็เป็นแบบนั้น ในเวลานี้การอาศัยอยู่นอกเมืองแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกคนจึงพากันอพยพเข้าเมืองและพยายามดิ้นรนสุดตัว
“แล้วเราจะไปประชันขันแข่งเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมืองได้ที่ไหน?” จางเซวียนถาม
“ไม่ใช่เพราะขาดแคลนตัวเลือกหรอกนะที่ทำให้เมืองแสงสนธยาไม่อาจเฟ้นหาผู้รับตำแหน่งเจ้าเมืองได้ แต่เป็นเพราะกลุ่มอำนาจต่างๆยังคะคานอำนาจกันอย่างหนัก” ฉีหลิงเอ๋ออธิบาย
“รวมแล้ว มี 3 ผู้ท้าชิงหลักที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง หนึ่งในนั้นคือทายาทของตระกูลผู้เชี่ยวชาญศิลปะเพลงกระบี่, หลินชี นักรบพเนจรผู้เชี่ยวชาญศิลปะเพลงดาบ, หวูหยาง และสาวน้อยที่ใช้ชื่อว่าหมิงไล่เชียง สองคนแรกเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลาง ประสิทธิภาพการต่อสู้ถือว่าเยี่ยมยอด ส่วนคนสุดท้าย, หมิงไล่เชียง เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ แต่ก็ไม่อาจสบประมาทเธอเพราะระดับวรยุทธที่อ่อนด้อยกว่า จากที่ร่ำลือกัน เธอคือคนที่น่าสะพรึงที่สุดในบรรดาสามคนนี้!”
“หมิงไล่เชียง…” จางเซวียนจดจำชื่อนั้นไว้ในใจ
การได้เป็นผู้ท้าชิงตําแหน่งผู้ปกครองเมืองใหญ่ระดับนี้ก็แปลว่าเธอไม่มีทางเป็นนักรบธรรมดา
“การจะได้เป็นเจ้าเมืองนั้นไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน พูดง่ายๆก็คือคุณต้องเอาชนะสามคนนี้ให้ได้และทำให้พวกเขายอมรับคุณจากใจจริง แล้วตำแหน่งเจ้าเมืองก็จะเป็นของคุณ” ฉีหลิงเอ๋อพูด
“เพราะฉะนั้น นายน้อยจาง…เราจะท้าทายใครเป็นคนแรก?”
ในอดีต ผู้เข้าชิงตำแหน่งเจ้าเมืองจะต้องผ่านกระบวนการซับซ้อนและต้องได้การยอมรับจากหอบาดาลเสียก่อนถึงจะได้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งกระบวนการจะต้องกินเวลายาวนานหลายเดือน
แต่การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกิจการงานต่างๆของสรวงสวรรค์ ขั้นตอนของทุกกระบวนการจำเป็นต้องย่นระยะเวลาให้สั้นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของความแร้นแค้น ผู้คนต้องยื้อแย่งแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัด ในเมืองใหญ่ๆหลายเมืองที่มีประชากรมากจนไม่สมดุลกับจำนวนทรัพยากร ก็มีโอกาสที่จะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งและความวุ่นวายต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นสูงสุดที่เจ้าเมืองจะต้องมีพละกำลังแข็งแกร่งเป็นเลิศเพื่อที่จะปกครองและควบคุมทั้งเมืองให้อยู่ในระเบียบได้ มีแต่ผู้ที่มีคุณสมบัติแบบนั้นถึงจะทำให้ประชากรทุกคนในเมืองยอมทำตามกฎเกณฑ์ และตัวเขาก็จะได้การยอมรับจากน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “ก่อนอื่น คุณรู้ไหมว่าผมจะหายาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางได้ที่ไหน? ผมอยากได้ยานั้นสักหน่อยก่อนจะไปท้าทายพวกเขา”
“ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง?” ฉีหลิงเอ๋อไม่คิดว่าจางเซวียนจะถามอะไรปุบปับแบบนี้ เธอชี้นิ้วไปที่ตึกขนาดใหญ่ที่มองเห็นไกลๆแล้วตอบว่า “หาได้จากตลาดที่อยู่ตรงนั้น แต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าไม่มีเส้นสาย พวกเขาจะยอมขายให้คุณหรือเปล่า อย่างที่คุณรู้ ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเป็นทรัพยากรที่ผู้คนต่างเสาะแสวงหา รอเดี๋ยวนะ…ฉันคิดว่าฉันพอรู้สถานที่ที่จะซื้อยาได้ในจำนวนมากๆแล้วล่ะ แต่การต่อรองกับผู้นั้นคงไม่ง่าย…”
“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนมองหน้าเธอ “บอกผมมาสิ”
“เขาเป็นนักรบพเนจรคนหนึ่งที่พำนักอยู่ในเมืองแสงสนธยา และถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนเขาจะอายุราว 60 ปี…วรยุทธก็ไม่สูงนัก เป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง แต่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการหลอมยา เพียงแต่เขามักจะเก็บยาที่หลอมได้เอาไว้กินเอง อีกอย่าง เขาหลงใหลกีฬาหมากรุกมาก มักจะเสาะหาผู้คนมาเล่นหมากรุกกับเขาเสมอ ว่ากันว่าทักษะของเขานั้นเยี่ยมยอด ครั้งหนึ่ง เขาเคยประกาศว่าจะมอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลาง 1 เม็ดให้ใครก็ตามที่เอาชนะเขาได้ตาหนึ่ง แต่ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ” ฉีหลิงเอ๋อพูด
“ถ้าระดับวรยุทธของเขาไม่สูงนัก ทำไมไม่เคยมีใครคิดจะขโมยยาจากเขาล่ะ?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
มันประหลาดพออยู่แล้วที่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงจะมียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางอยู่ในครอบครอง เขาไม่กลัวว่าจะมีใครพยายามขโมยมันบ้างหรือ?
ถ้าเป็นเมืองอื่นๆ บางทีนักรบทั่วไปอาจยังมีความยำเกรงเจ้าเมืองอยู่บ้าง แต่สำหรับเมืองแสงสนธยาที่ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าเมืองยังว่างอยู่ ก็ไม่ยากเกินไปที่จะดูออกว่าคงมีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์เกิดขึ้นทั่วไป
“แม้ระดับวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อย แต่เขามีน้องชายที่เก่งกาจมากอยู่คนหนึ่ง ตามที่ร่ำลือกัน น้องชายของเขาเป็นราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่งของเมืองหลวง และได้มอบตราหยกสัญลักษณ์ไว้ให้พี่ชายเพื่อคุ้มกันตัวเองในสถานการณ์คับขัน เคยมีนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ 2 คนพยายามลอบสังหารเขาเพื่อขโมยทรัพย์สมบัติ แต่สุดท้ายก็ต้องตายเพราะรังสีที่ตราหยกอันนั้นแผ่ออกมา หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาอีก” ฉีหลิงเอ๋อสาธยาย