Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2244 แค่กินยา…
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2244 แค่กินยา…
เมื่อรู้ว่าจะต้องยกระดับวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดให้ได้เป็นอย่างน้อย จางเซวียนออกอาการลังเลใจอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะพึมพำ “ก็คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ต้องใช้วิธีนั้น…”
เขาสะบัดข้อมือและนำยาเม็ดหนึ่งออกมา
มันคือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่เขาเพิ่งซื้อจากฟู่เจียงเฉินมาเมื่อครู่
ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงทั่วไปไม่มีประโยชน์กับจางเซวียนแล้ว จึงต้องใช้สิ่งนี้เพื่อยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้น
จางเซวียนโยนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงสุดใส่ปากโดยไม่ลังเล
“นายน้อยจาง คุณจะ…”
ฉีหลิงเอ๋อถึงกับงงที่เห็นจางเซวียนหยิบยาใส่ปากทันทีหลังจากฟังคำพูดของเธอ
คุณคิดจะทำอะไร?
คงไม่ใช่พยายามฝ่าด่านวรยุทธตอนนี้หรอกนะ ใช่ไหม?
ไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องปรับสภาวะของตัวเองเลยหรือไง?
แค่กินยา…คงไม่ทำให้คุณยกระดับวรยุทธได้หรอกนะ!
ฉีหลิงเอ๋อกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็พอดีกับที่เห็นชายหนุ่มหลับตา สองวินาทีต่อมาเขาก็ลืมตาอีกครั้งและพูดว่า “เรียบร้อย ตอนนี้ผมเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียง รังสีไร้เทียมทานก็แผ่ซ่านออกจากร่างของเขา แรงกดดันที่เกิดขึ้นนั้นทรงพลังเสียจนฉีหลิงเอ๋อรู้สึกเหมือนจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“อะ-อะไรกัน…” เธองุนงงอย่างหนัก
ฉันพูดออกไปแค่ไม่กี่คำหลังจากที่คุณกลืนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าลงไป แต่ในช่วงเวลาเพียงเท่านั้น คุณก็ทำมันสำเร็จ ขณะที่ฉีเยว่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี?
ฉีหลิงเอ๋อรู้สึกคับข้องใจกว่าที่ผ่านมา เธอยกมือขึ้นลูบอกเพื่อบรรเทาความอึดอัดภายใน
โชคดีที่ฉีเยว่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคงช้ำใจจนสุดจะบรรยาย!
บ้าสิ้นดีที่เห็นใครคนหนึ่งทำอะไรสักอย่างสำเร็จโดยง่ายแสนง่าย ขณะที่คนอื่นๆต้องใช้เวลาไม่รู้กี่ปี…
ให้ตายเถอะ! โลกนี้ปล่อยให้ปีศาจแบบจางเซวียนปรากฏตัวได้อย่างไร?
ไม่ยุติธรรมเลย!
“เป็นไงบ้าง? ผมแข็งแกร่งพอหรือยัง? ถ้าเท่านี้ยังไม่พอล่ะก็ รอสักหน่อย แล้วระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของผมก็จะเพิ่มขึ้นจนเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดเหมือนกัน” จางเซวียนพูด
ระดับวรยุทธของกายเนื้อและพลังปราณของเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง-สูงสุดแล้ว แต่วรยุทธของจิตวิญญาณยังไม่ถึงระดับนั้น จางเซวียนยังต้องอาศัยเวลาสั่งสมกระแสจิตปรารถนาให้ได้มากกว่านี้
“มะ-ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก…”
เกรงว่าชายหนุ่มจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณพุ่งพรวดขึ้นมาในทันที ฉีหลิงเอ๋อรีบออกปากห้าม เธอหลับตาครู่หนึ่งเพื่อปรับสภาพจิตใจก่อนจะพูดต่อ “นายน้อยจาง ตอนนี้คุณแข็งแกร่งพอแล้ว เพียงแต่…3 วิธีที่ฉันอธิบายไปเมื่อครู่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขที่คุณต้องได้เป็นราชันย์เทพเจ้า หรือเข้าถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพ หรือได้รับตำแหน่งนายพลเกราะทองของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ส่วนน่านฟ้าเสรี…การจะได้รับคำอนุมัติเป็นพิเศษจากพวกเขาก็ยากพอๆกับความพยายามที่จะหยั่งถึงสรวงสวรรค์นั่นแหละ”
“คุณพูดถูก” จางเซวียนพยักหน้า
ทั้ง 3 วิธีที่ฉีหลิงเอ๋อพูดมาไม่ใช่งานง่ายเลย
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรใช้เวลาอีก 1 หรือ 2 เดือนเพื่อขัดเกลาวรยุทธให้ได้เป็นราชันย์เทพเจ้าก่อนจะดีไหม?
แต่นั่นจะเสียเวลามากไป คงต้องเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในชั่วข้ามคืน หรืออีกแค่ 2-3 วันนับจากนี้?
แบบนั้นก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าจะพัฒนาเวทนาสวรรค์ไปในทิศทางไหน
ยิ่งไปกว่านั้น จางเซวียนยังรู้ว่าอุปสรรคของการก้าวข้ามด่านคอขวดไปเป็นราชันย์เทพเจ้านั้นถือว่าหนักหนาสาหัส แน่นอนว่าเขาคงต้องเผชิญปัญหามากมาย
“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าผู้ที่เข้าถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพและอยู่ใน 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้าจะสามารถใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้ใช่ไหม? แล้วอาชีพไหนบ้างที่เข้าข่ายเงื่อนไขนี้?” จางเซวียนถาม
“นักปรุงยา นายแพทย์ ช่างตีเหล็ก ปรมาจารย์…ฉันคิดว่าสี่อาชีพนี้นะ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ “อาชีพเหล่านี้ไม่เน้นการต่อสู้ ทั้งยังสร้างคุณงามความดีมากมายให้เหล่านักรบ กลุ่มอำนาจส่วนใหญ่ต่างกระตือรือร้นเสาะหาผู้เชี่ยวชาญในสี่อาชีพที่ฉันพูดมา”
“การที่คุณคิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธได้ก็บอกชัดแล้วว่าความเชี่ยวชาญในการหลอมยาของคุณนั้นไม่ธรรมดา ถ้าคุณเข้ารับการทดสอบและได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นสมาชิกของสมาคมนักปรุงยา ก็จะได้รับสิทธิ์ให้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่!”
“รายละเอียดของการทดสอบเป็นอย่างไร?”
“การทดสอบของสมาคมนักปรุงยาในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนกำหนดให้ผู้เข้ารับการทดสอบทำการหลอมยาตามช่วงเวลาที่กำหนด ขอแค่ผู้นั้นหลอมยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูงได้ ก็จะผ่านการทดสอบ” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
“ฮะ? ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูง?” จางเซวียนแอบจุก
แม้เขาจะเป็นผู้คิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงามที่สุดแสนจะน่าทึ่ง แต่ทักษะการหลอมยาที่แท้จริงของเขานั้นเรียกได้ว่าหายนะ อย่าว่าแต่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นสูง…ต่อให้เป็นแค่ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญญาหลอมหรือเปล่า!
เขาคงถูกเปิดโปงว่าเป็นไอ้คนหลอกลวงทันทีที่พยายามหลอมยาสักเม็ดต่อหน้านักปรุงยาคนอื่นๆ!
ส่วนเรื่องการตีเหล็ก ก็ดูเหมือนเขาจะทำได้ไม่ดีไปกว่าการหลอมอิฐก้อนหนึ่ง
หลังจากพิจารณาแล้ว ทางเลือกเดียวที่พอจะเป็นไปได้สำหรับจางเซวียนก็คือพุ่งเป้าไปที่เส้นทางของการเป็นปรมาจารย์หรือนายแพทย์
“ถ้าผมเข้ารับการทดสอบของนายแพทย์ จะต้องมีความเชี่ยวชาญขนาดไหนถึงจะใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้? แล้วการทดสอบเป็นอย่างไร?” จางเซวียนถาม
ถ้าเขาเลือกเส้นทางของการเป็นปรมาจารย์ ก็คงต้องยุ่งเกี่ยวกับปรมาจารย์ขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจางเซวียนก็ไม่อยากทำตัวให้เตะตาปรมาจารย์ขงจนกว่าตัวเขาจะแข็งแกร่งมากพอ
เรื่องที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบนทำให้เขาระแวง
“นายแพทย์?” ฉีหลิงเอ๋อขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด “เรื่องนี้…ฉันเกรงว่าจะไม่รู้ คงต้องไปสอบถามที่สมาคมนายแพทย์”
“ว่าแต่…คุณเป็นนักปรุงยาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงคิดจะเข้ารับการทดสอบของนายแพทย์ล่ะ? หรือคุณจะบอกฉันว่าคุณเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคด้วย?”
“ไปที่นั่นกันเถอะ” จางเซวียนตอบ
ไม่ช้าเขาก็คงได้เข้ารับการทดสอบและผ่านมันไปได้ ซึ่งจะช่วยทุ่นเวลาได้มาก
“ไปสิ” ฉีหลิงเอ๋อพยักหน้า
ในสรวงสวรรค์มีองค์กรของทุกวิชาชีพ เพียงแต่ไม่ได้ทรงอิทธิพลเหมือนในทวีปแห่งปรมาจารย์
สิ่งที่ผู้คนในสรวงสวรรค์ให้คุณค่ามากที่สุดคือพละกำลังและความแข็งแกร่ง ขอแค่ใครสักคนมีความแข็งแกร่งมากพอ ทั้งผู้คนมากมายและบรรดาผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพต่างๆก็จะเข้ารุมล้อม
ด้วยเหตุนี้ แม้อาชีพนักปรุงยา นายแพทย์ และช่างตีเหล็กจะได้รับความนิยมชมชอบ แต่สถานภาพของพวกเขาก็ไม่สูงส่งเท่ากับผู้ประกอบอาชีพเดียวกันที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
เหล่าปรมาจารย์ในสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้มีระเบียบและเป็นหนึ่งเดียวเหมือนเหล่าปรมาจารย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหวนนึกถึงพฤติกรรมของฟ่านเจ๋อ
ผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ความคาดหวังกับเหล่าปรมาจารย์สูงมาก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องรอบรู้เรื่องวรยุทธ ยังต้องเชี่ยวชาญในทักษะของหลากหลายวิชาชีพด้วย ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวทุกคนจะต้องมีความเชี่ยวชาญใน 9 อาชีพที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนที่สรวงสวรรค์ ดูเหมือนเหล่าปรมาจารย์จะมุ่งเน้นเรื่องการสอนมากกว่าเรื่องอื่นๆ แถมยังไม่มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเรื่องจริยธรรม
บางที…ปรมาจารย์ขงอาจวางรากฐานระบบปรมาจารย์ด้วยความรีบร้อนเพื่อให้ได้กระแสจิตปรารถนาในปริมาณมาก ดังนั้น จึงไม่มีเวลามากพอที่จะขัดเกลาทีละขั้นเพื่อทำให้อาชีพนี้พัฒนาไปตามรูปแบบที่ควรจะเป็น
ปรมาจารย์ขงดำเนินกระบวนการของเขาอย่างรวดเร็ว ท้าทาย 9 จอมราชันย์คนแล้วคนเล่า ถ้าเขารอช้า สภาปรมาจารย์คงถูกกลุ่มอำนาจอื่นๆเล่นงานตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง
บ้านพักของจางเซวียนอยู่ห่างจากสมาคมนายแพทย์ไม่น้อย ขนาดขี่อสูรสวรรค์สร้างบินได้ไปก็ยังใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ที่นี่เหมือนกับสภาปรมาจารย์ อาคารสมาคมนายแพทย์ดูไม่โอ่อ่าหรูหราเท่าไหร่
หากจะให้จางเซวียนบรรยาย ก็คงต้องบอกว่าเหมือนคลินิกส่วนตัวมากกว่า
มีผู้คนอยู่ในนั้นแน่นขนัด ส่วนใหญ่สวมเสื้อคลุม แต่ละคนมีสีหน้ากระวนกระวาย
“นายแพทย์หวังฉิง, นายแพทย์เย่เฉวียน, นายแพทย์เสิ่นจื่อมู่…”
ฉีหลิงเอ๋อจดจำฝูงชนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ได้หลายคน เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“พวกเขาโด่งดังมากเลยหรือ?” จางเซวียนถาม
“คนเหล่านั้นคือนายแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน โดยปกติพวกเขามักมีธุระยุ่งเสียจนไม่ได้พบปะกันเลยแม้จะอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกันก็ตาม น่าประหลาดมากที่ทั้งสามคนมารวมตัวกันที่สมาคมนายแพทย์ในวันนี้” ฉีหลิงเอ๋อตอบ
นายแพทย์หวังฉิงคือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลฉี รับหน้าที่ดูแลปัญหาสุขภาพของสมาชิกชั้นสูงของตระกูลฉีทุกคน
นายแพทย์เย่เฉวียนคือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลเป่ยถัง ส่วนนายแพทย์เสิ่นจื่อมู่คือนายแพทย์ใหญ่ประจำตระกูลเสิ่นถู
แม้โดยเผินๆ ทั้ง 3 ตระกูลจะดูเหมือนมีความสัมพันธ์อันดี แต่แท้ที่จริงแล้วต่างซุ่มแข่งขันกันอยู่ในเงามืด แม้ในการพบปะที่จัดโดยสมาคมนายแพทย์ พวกเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จึงออกจะประหลาดที่เห็นทั้ง 3 ปรากฏตัวพร้อมกันที่นี่
“คงต้องถามใครสักคนแล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น” จางเซวียนพูดยิ้มๆ
เขารั้งตัวนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาและมอบเงินสิบเหรียญสวรรค์ให้อีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
นายแพทย์หนุ่มรับเงินไว้ “มันคือการประลองนายแพทย์!”
“การประลองนายแพทย์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เขาเคยได้ยินว่ามีการแข่งขันเรื่องความเชี่ยวชาญในการหลอมยาและการตีเหล็ก แต่ความสามารถในการรักษาคนไข้…มันประชันกันได้ด้วยหรือ?
นักปรุงยาที่สามารถสกัดพลังงานทางยาจากสมุนไพรและหลอมยาเม็ดที่มีศักยภาพสูงสุดได้ย่อมเป็นนักปรุงยาที่มีทักษะเชี่ยวชาญที่สุด ส่วนช่างตีเหล็กที่สามารถหลอมอาวุธที่ทนทานและคมกริบที่สุดก็คือช่างตีเหล็กที่มีทักษะเป็นเลิศ…
แล้วนายแพทย์จะประชันทักษะของพวกเขาอย่างไร?
วิถีทางของการรักษาโรคนั้นกว้างขวางและมีมากมาย โดยนายแพทย์แต่ละคนก็มีความถนัดเฉพาะทางของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันปลอดภัยแล้วหรือที่จะทดสอบการรักษาโรคกับคนไข้เพื่อดูว่าวิธีของใครมีประสิทธิภาพมากกว่า?
นั่นคือการเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยนะ! ให้คุณค่ากับคนไข้ของพวกเขาน้อยไปหรือเปล่า?