Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2245 ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน…
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2245 ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน…
“ก็เป็นธรรมดาที่คนนอกอย่างคุณจะไม่รู้ จริงอยู่ว่ากระบวนการประเมินผลของการประชันทักษะนายแพทย์อาจไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับการวัดระดับทักษะของนายแพทย์คนหนึ่ง เราจำลองกระบวนการการรักษาขึ้นมา ซึ่งนายแพทย์จะต้องวินิจฉัยคนไข้และทำการรักษาผู้นั้น รูปแบบการประเมินที่เตรียมไว้จะทำให้เราตัดสินได้ว่านายแพทย์คนไหนมีทักษะเชี่ยวชาญที่สุด” ชายหนุ่มอธิบาย
ในเวลานี้ การประลองนายแพทย์คือวิธีที่เป็นทางการและน่าเชื่อถือที่สุดในการแบ่งแยกนายแพทย์ที่เก่งกาจออกจากผู้ที่อ่อนด้อยกว่า
ไม่ใช่ทุกวันที่จะมีคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคซึ่งรักษาได้ยาก ดังนั้น โอกาสที่เหล่านายแพทย์จะได้พิสูจน์ตัวเองจึงมีไม่มาก
ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์ส่วนใหญ่จึงเข้าร่วมการประลองนายแพทย์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นทักษะของพวกเขา ขอแค่ได้ชัยชนะในการประลอง ทุกคนก็จะให้การยอมรับในทักษะการรักษาโรคที่เขามี
“แต่ในการจำลองกระบวนการรักษา พวกคุณก็ต้องมีคนไข้ ถูกไหม? สมาคมนายแพทย์คงไม่ได้ยื้ออาการของคนไข้ที่เป็นโรคยากๆเอาไว้เพื่อนำมาใช้ในการประลองนายแพทย์หรอกนะ หรือไง?”
จางเซวียนเห็นด้วยว่าการจำลองกระบวนการรักษาคือวิธีที่ดีที่สุดในการประเมินทักษะของนายแพทย์ แต่หากไม่มีคนไข้ให้รักษา การจำลองใดๆก็เปล่าประโยชน์!
ซึ่งหากพวกเขาเตรียมคนไข้ไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการประลอง ก็คงทำให้ชื่อเสียงของสมาคมนายแพทย์เสื่อมเสียไม่น้อย ในฐานะบุคคลที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของคนไข้ คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้หากบรรดานายแพทย์เห็นชีวิตคนเป็นของไร้ค่า
“ไม่ใช่อยู่แล้วล่ะน่ะ! โดยลักษณะทั่วไปของการประลองนายแพทย์ มีการประลองบางส่วนที่ต้องใช้คนไข้ตัวเป็นๆ แต่บางส่วนก็ไม่ต้องใช้ ถึงอย่างไรการประลองก็คงไม่คืบหน้าถ้าจะจัดขึ้นได้เฉพาะเมื่อมีคนไข้ที่พร้อมรับการรักษา…” นายแพทย์หนุ่มตอบ
เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากในกระบวนการรักษาเกือบทุกรูปแบบ ซึ่งหากรอช้า กว่านายแพทย์ทั้งหมดจะมารวมตัวกันได้ คนไข้ก็คงตายไปเสียก่อนหรือไม่ก็เกินเยียวยา
ดังนั้น รูปแบบของการประลองนายแพทย์จึงต้องเปลี่ยนไป
จางเซวียนกำลังจะถามว่าการประลองนายแพทย์มีรายละเอียดอย่างไร ก็พอดีกับที่เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ขึ้นในห้อง
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวยาวๆขึ้นมาบนเวที
“นั่นคือประธานสมาคมนายแพทย์, ซุนเชี่ยน” ฉีหลิงเอ๋อกระซิบกับจางเซวียน
จางเซวียนตั้งใจพินิจพิจารณาอีกฝ่าย
ประธานสมาคมนายแพทย์เป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราว 40 ปี ดูสุขุมมั่นคงและเชื่อถือได้ ระดับวรยุทธของเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง
“ทุกท่าน น่านฟ้าแห่งมังกรเมฆได้ท้าทายน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเราเข้าสู่การประลองการรักษาโรค พวกเขายื่นข้อเรียกร้องให้เรายอมรับว่าพวกเขาเหนือชั้นกว่า และส่งนายแพทย์จากสมาคมนายแพทย์ของเราจำนวน 10 คนให้ไปทำงานฟรีที่น่านฟ้าแห่งมังกรเมฆเป็นเวลา 100 ปีหากเราแพ้ ก็อย่างที่พวกคุณรู้ ผมไม่อยากมีปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่เรื่องนี้ไม่อาจยอมรับได้ ผมอดทนกับการดูถูกเหยียดหยามของพวกเขาไม่ไหว พวกคุณที่เหลือคิดว่าอย่างไร?” ประธานซุนเชี่ยนคำรามก้อง
“พวกเราจะไม่อดทนกับการดูถูกเหยียดหยามเช่นกัน!”
“เจ้าพวกน่านฟ้ามังกรเมฆก็มีดีแค่ที่สายเลือด จะรู้อะไรเรื่องการรักษาโรค? เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงท้าทายพวกเรา?”
“ต้องการให้เรารับใช้พวกเขา 100 ปี? ถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนเสียบ้าง พวกเราคงกลายเป็นตัวตลกให้ทั้งโลกหัวเราะเยาะ!”
ความโกรธเกรี้ยวอบอวลไปทั่วขณะที่ทุกคนหน้าตาบึ้งตึง
“ถ้าอย่างนั้น ก็รับคำท้าของพวกเขาแล้วเหยียบให้จมดิน! ศักดิ์ศรีของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคือเดิมพัน พวกเราจะแพ้ไม่ได้!” ซุนเชี่ยนประกาศอย่างวางมาด
“เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะประกาศรายชื่อของผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าประลองกับเหล่านายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ มีทั้งหมด 5 คน พวกเขาคือนายแพทย์ผู้ทรงเกียรติที่สุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของเรา ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านได้ แต่คุณต้องแน่ใจนะว่ามีเหตุผลดีพอ!”
ฝูงชนพากันพยักหน้า
ก็เหมือนกับวรรณคดีที่ไม่อาจหาผู้เป็นที่หนึ่งได้ การระบุตัวนายแพทย์ที่ดีที่สุดก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน แต่ทุกคนก็พอมีเกณฑ์ประเมินในใจว่าใครที่มีทักษะเชี่ยวชาญกว่า
“ในฐานะผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมนายแพทย์ คงเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หากผมไม่ยอมเคลื่อนไหวทั้งที่สมาคมของเราถูกคนนอกดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะฉะนั้น ผมขอเสนอตัวผมเองเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้เข้าประลองกับน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ มีใครในหมู่พวกคุณต้องการคัดค้านไหม?” ซุนเชี่ยนถาม
“พวกเราไม่มีปัญหาเลยถ้าประธานซุนจะท้าทายพวกน่านฟ้ามังกรเมฆ!” ฝูงชนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ส่วนหวังฉิง เย่เฉวียน และเสิ่นจื่อมู่ก็เป็นนายแพทย์ประจำสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง มีหน้าที่รับผิดชอบการเยียวยารักษานักรบระดับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติของแต่ละตระกูล ดังนั้น ทักษะการรักษาโรคของพวกเขาจึงย่อมเหนือชั้นกว่าใครๆ ผมขอเสนอชื่อพวกเขาให้เป็นตัวแทนของเราด้วย!” ซุนเชี่ยนประกาศ
ฝูงชนพยักหน้า
การที่ทั้งสามได้รับเลือกให้เป็นนายแพทย์ประจำตระกูลของสามตระกูลใหญ่คือหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนถึงความเชี่ยวชาญของพวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้เป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
หลังจากได้ตัวแทนทั้ง 4 คนแล้ว ซุนเชี่ยนกวาดสายตามองฝูงชนและพูดต่อ “ส่วนตัวแทนคนสุดท้าย ผมยังไม่มีใครอยู่ในใจ จึงขอยกให้เป็นการตัดสินใจของพวกคุณ มีใครอยากเสนอชื่อตัวแทนบ้าง?”
“ผมขอเสนอชื่อนายแพทย์เฉินเฉ่า เมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่เกิดหายนะภัยครั้งใหญ่ เขาคือผู้ให้การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยชีวิตผู้เชี่ยวชาญไว้ได้หลายพันคน ในแง่ของทักษะและความสำเร็จ ไม่น่าจะมีใครคู่ควรกว่าเขาอีกแล้ว!”
“ผมเสนอชื่อนายแพทย์จ้าวชง! ทุกคนที่นี่ได้เห็นกับตาแล้วว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรให้สมาคมนายแพทย์ของเราบ้าง เขารักษาอาการป่วยที่รักษาได้ยากทุกรูปแบบได้อย่างสบาย และตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็ช่วยชีวิตผู้คนไว้อย่างน้อยหลายร้อยชีวิต ประชากรในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนเรียกขานเขาว่าหมอเทวดา! ผมเชื่อว่าเขาคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าร่วมการประลองกับน่านฟ้ามังกรเมฆ”
“แต่ในแง่ประสบการณ์ นายแพทย์เฉียนไห่คือผู้เหมาะสมที่สุดนะ ชื่อเสียงของเขาอาจไม่ระบือลือลั่นเท่าคนอื่นๆ แต่เขาทำงานด้านนี้มาหลายปีแล้ว ถ้าจะพูดกันถึงความน่าเชื่อถือ ผมไม่คิดว่าจะมีใครอื่นในสมาคมนายแพทย์เทียบชั้นกับเขาได้หรอก…”
เพียงครู่เดียว ฝูงชนก็เสนอชื่อตัวแทนที่ดูจะมีศักยภาพถึง 8 คน
สำหรับนายแพทย์เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นคนดัง เป็นผู้ที่ผู้คนในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนต่างให้ความเคารพยกย่อง
เสียงหารือของฝูงชนดังขึ้นเรื่อยๆ และเผ็ดร้อนขึ้นทุกขณะเมื่อพวกเขาโต้แย้งกันว่าทำไมตัวแทนที่ตนเองเสนอจึงมีความเหมาะสมที่สุด
ระหว่างนั้น จางเซวียนหันไปถามฉีหลิงเอ๋อ “ตัวแทนทั้ง 5 คนที่ได้รับเลือกจะมีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่หรือเปล่า?”
เขามาที่นี่ด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ แต่จากสถานการณ์ที่เห็น ดูเหมือนไม่น่ามีใครอยู่ในสภาพพร้อมจะทดสอบเขา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เข้าแข่งขันเพื่อชิงที่นั่งสุดท้ายก็น่าจะดีกว่า
“เอ่อ…เท่าที่ฉันรู้ หวังฉิง เย่เฉวียน และเสิ่นจื่อมู่ไม่มีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ในบรรดานายแพทย์ทั้งหมดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน มีแต่ประธานซุนเชี่ยนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้มัน”
“ถ้าคุณอยากพิสูจน์ตัวเองว่ามีคุณสมบัติเพียงพอล่ะก็ นอกจากจะต้องได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ตัวแทนแล้ว คุณยังต้องเอาชนะคู่ต่อสู้จากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆและคว้าชัยชนะในการประลองนายแพทย์มาให้ได้ด้วย” ฉีหลิงเอ๋อพูด
“อะไรกัน? เงื่อนไขการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่เข้มงวดอย่างนั้นเลยหรือ?” จางเซวียนชะงัก “ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็…แปลว่าทั้ง 9 น่านฟ้าคงไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันใช่ไหม?”
หากมีแต่ผู้ที่ได้เป็นเลิศในแต่ละวิชาชีพเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ จำนวนผู้ที่มีโอกาสใช้มันก็น่าจะต่ำมาก
ถ้าการเข้าถึงน่านฟ้าอื่นๆมันยากเย็นแบบนั้น พวกเขาทำธุรกิจกันอย่างไร? แต่ละน่านฟ้ามีการทำธุรกิจซึ่งกันและกันหรือเปล่า?
หรือว่าแต่ละดินแดนแยกตัวเป็นเอกเทศต่อกันอย่างสิ้นเชิงและแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เหมือนน้ำนิ่งหย่อมหนึ่ง
“คุณก็คิดมากไป!” ฉีหลิงเอ๋อส่ายหน้า “สิ่งที่คุณจะต้องแข่งขันเพื่อไขว่คว้ามันมาคือสิทธิ์ในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ ไม่ใช่สิทธิ์ในการเข้าสู่น่านฟ้าอื่นๆ ชายแดนระหว่างน่านฟ้าของเรากับน่านฟ้าอื่นๆนั้นเปิดอยู่เสมอ คุณเข้านอกออกในได้ตามสบาย”
“ด้วยอายุขัยอันยาวนานของนักรบ ผู้คนส่วนใหญ่จึงสามารถเสียเวลา 2-3 ปีไปกับการเดินทางไปยังน่านฟ้าอื่นๆ พวกเขาขี่อสูรสวรรค์บินได้ หรือไม่ก็อสูรสวรรค์สร้าง”
“ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน…” จางเซวียนกุมขมับอย่างจนปัญญา
ฉีหลิงเอ๋อพูดถูก
โอกาสในการเข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ควรเรียกว่าเป็นสิทธิพิเศษ สิทธิพิเศษนี้ทำให้นักรบคนหนึ่งทะลุมิติไปสู่ใจกลางของอีกน่านฟ้าหนึ่งได้ในชั่วพริบตา จึงอันตรายมากถ้าใครสักคนใช้มันด้วยวัตถุประสงค์สัพเพเหระ
ดังนั้น การเข้าถึงสิทธิพิเศษนี้จึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขเข้มงวด
ในโลกที่นักรบทั่วไปต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่พวกเขาจะใช้เวลาหลายปีเพื่อเดินทางไปยังอีกน่านฟ้า
สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าทั่วไป การใช้เวลาเดินทาง 2-3 ปีดูจะเป็นความสิ้นเปลืองใหญ่หลวงเพราะพวกเขามีอายุขัยสั้น แต่สำหรับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างนั้นไม่เหมือนกัน เพราะพวกเขาอยู่ได้เป็นพันปี อีกทั้งยังใช้เวลาหลายเดือนในการปลีกวิเวก การเดินทางจากน่านฟ้าหนึ่งไปอีกน่านฟ้าหนึ่งโดยเสียเวลาไปสองสามปีจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
ขณะที่จางเซวียนยังพูดคุยกับฉีหลิงเอ๋อ ซุนเชี่ยนก็ส่งเสียงแทรกความอื้ออึงเซ็งแซ่ของฝูงชน “ในเมื่อพวกเรายังตกลงกันไม่ได้ ทำไมไม่ให้นายแพทย์ที่ได้รับการเสนอชื่อแข่งขันกันล่ะ? ใครที่พิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีศักยภาพที่สุดก็จะได้เป็นตัวแทนของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรา!”
“อย่างนั้นก็ได้”
ฝูงชนพยักหน้ารับ
แต่ละคนมีความเห็นส่วนตัวว่าใครคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้แม้จะผ่านการโต้แย้งถกเถียงยาวนาน ดังนั้น จึงย่อมดีที่สุดถ้าสามารถจัดการประลองเพื่อหาตัวผู้ชนะ
วิธีนี้จะทำให้ทุกคนยินดียอมรับผลการตัดสิน