Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2258 มันลอยได้อย่างไร
- Home
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร
- Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2258 มันลอยได้อย่างไร
“สำเร็จแล้ว…ผมแปลงร่างได้แล้ว!” ไก่น้อยร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
มันหันไปมองเจ้านาย หวังจะให้อีกฝ่ายร่วมยินดีปรีดาด้วย แต่เจ้านายกลับจ้องมันด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง ก่อนจะตบหน้าผากของตัวเองอย่างหมดหวัง
“ฮะ? มีอะไร? ผมดูไม่หล่อหรือ?” ไก่น้อยถามอย่างงุนงง
มันคิดว่าตัวมันแปลงร่างเป็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาแบบที่แม้แต่นายท่านก็คงอิจฉา ไม่คิดเลยว่านายท่านจะมีทีท่าแบบนี้ การที่เขาตบหน้าผากหมายความว่าอย่างไร?
ไก่น้อยใช้มือสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แต่แล้วก็ตัวแข็งทื่อ
“อะไรกัน? ทำไมหัวของผมถึงยังไม่เปลี่ยน?”
ตอนนี้ แม้ร่างของมันจะกลายเป็นมนุษย์แล้ว แต่ใบหน้ายังคงเป็นไก่น้อยสีเหลืองเหมือนเดิม เมื่อมองไกลๆ ก็ดูเหมือนไก่ปีศาจตัวหนึ่ง
มันหวังว่าตัวเองจะดูหล่อเหลาทันทีที่แปลงร่างสำเร็จ แต่หากเดินไปตามถนนในสภาพนี้ ผู้คนคงพากันวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้!
“ฉันว่าแกล้มเลิกความคิดเรื่องแปลงร่างดีกว่า พอใจกับการเป็นไก่อย่างที่เป็นอยู่เถอะ” จางเซวียนพูดอย่างหมดปัญญา
รู้ดีว่าหากคงสภาพนี้ไว้ก็มีแต่จะทำให้ใครๆหวาดกลัว ไก่น้อยรีบคืนร่างกลับสู่ก้อนขนสีเหลืองดังเดิม จากนั้นก็บินไปเกาะหัวไหล่ของจางเซวียน
“ไปกันเถอะ!”
จางเซวียนเดินเข้าหาอสูรสวรรค์สร้างบินได้ที่กำลังบาดเจ็บตัวหนึ่งและรักษาอาการบาดเจ็บของมัน ไม่ช้าทั้งคู่ก็อยู่บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่
“เจ้าราชันย์เทพเจ้าเมื่อครู่นี้เป็นนักรบพเนจร…”
ขณะที่กำลังต่อสู้ จางเซวียนใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบภูมิหลังของอีกฝ่าย ซึ่งก็ปรากฏว่าเขาคือนักรบพเนจรคนหนึ่งของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
ซึ่งเมื่อลองคิดดู ก็พอเข้าใจได้ เพราะผู้ที่สังกัดตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้ เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจต้องเผชิญกับการตอบโต้ของตระกูลฉี
ต่อให้ยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธจะมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ก็ไม่คุ้มค่าที่จะนำชะตากรรมของทั้งตระกูลเข้าไปเสี่ยง
เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีกลุ่มอำนาจไหนอยู่เบื้องหลังราชันย์เทพเจ้าที่เพิ่งโจมตีเขา จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงน่าเบื่อน่ารำคาญมากทีเดียวหากเขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆอีกมากมายที่เป็นผลจากการต่อสู้ครั้งนี้
โชคดีที่ระหว่างทางไม่มีการโจมตีจากนักรบคนไหนอีก เขาไปถึงค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่โดยปราศจากปัญหาใดๆ
บริเวณยอดเขามีเสาหินสูงตระหง่านหลายสิบต้น แต่ละต้นมีความสูงหลายร้อยเมตร ช่วยปกป้องพลังจิตวิญญาณในบริเวณโดยรอบ เป็นไปได้ว่าค่ายกลทะลุมิติน่าจะอยู่ที่ใจกลางเสาหินเหล่านี้
ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดจากกฎเกณฑ์แห่งมิติ พลังจิตวิญญาณในบริเวณโดยรอบจึงต้องมั่นคงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ เสาหินจึงถูกติดตั้งไว้เพื่อกำจัดสิ่งรบกวนใดๆก็ตามจากพื้นที่โดยรอบ
จางเซวียนบังคับอสูรสวรรค์สร้างบินได้ให้ร่อนลงห่างจากค่ายกลทะลุมิติ และเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงที่ตัวเขาบินได้ จึงเดินเท้าเข้าไป
ที่บริเวณทางเข้า องครักษ์คนหนึ่งก้าวออกมาขวางจางเซวียนไว้ “กรุณาแสดงตราสัญลักษณ์ของคุณด้วย!”
ฉีหลิงเอ๋อไม่ได้พูดเกินจริงเลยตอนที่เธอบอกว่าค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ได้รับการอารักขาอย่างเข้มงวด
มีนักรบกว่าร้อยคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนมีวรยุทธระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขา ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็คงฝ่าไปไม่ได้
ดูเหมือนน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะให้ความสำคัญกับค่ายกลทะลุมิติมาก นั่นอธิบายได้ว่าทำไมการจะได้รับสิทธิ์ให้เข้าใช้มันถึงมีความยากลำบากไม่น้อย
จางเซวียนยื่นตราสัญลักษณ์ของเขาออกไป
องครักษ์ตรวจสอบตราสัญลักษณ์อย่างถี่ถ้วนก่อนประสานมืออย่างนอบน้อม “นายน้อยจาง เชิญทางนี้”
ผู้ที่ได้ครอบครองตราสัญลักษณ์ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในสาขาวิชาชีพของตัวเองในแต่ละน่านฟ้า เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง
จางเซวียนตามองครักษ์ไปติดๆ ไม่ช้าก็มาอยู่ตรงหน้าค่ายกลทะลุมิติ
แต่มันออกจะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย ไม่มีค่ายกลรูปทรงกลมที่ต้องกะระยะศูนย์ถ่วงก่อนเปิดใช้งานเหมือนอย่างที่ค่ายกลทะลุมิติทั่วไปควรจะมี
สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงห้องรูปทรงกระบอกห้องหนึ่งซึ่งมีประตู 8 บาน
“นายน้อยจาง ไม่ทราบว่าคุณตั้งใจจะเดินทางไปน่านฟ้าไหน?”
“ผมจะไปเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด, น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด” จางเซวียนตอบ
“กรุณาใช้ประตูทางทิศใต้” องครักษ์ชี้ทาง
จางเซวียนพยักหน้า เขาเดินไปที่ประตูบานหนึ่งพร้อมกับไก่น้อย จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
ด้านหลังประตูบานนั้นคือลำแสงที่หมุนเป็นเกลียว
เมื่อจางเซวียนก้าวเข้าไป ตราสัญลักษณ์ของเขาก็เรืองแสงเจิดจ้าที่ห่อหุ้มตัวเขาและไก่น้อยไว้ด้วยกัน พริบตาต่อมา โลกรอบตัวก็หมุนติ้วขณะที่พลังงานลึกลับชนิดหนึ่งกลืนกินเขาทั้งตัว
ฟึ่บ!
จางเซวียนหายวับไปทันที
ประสิทธิภาพของค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่น่าสะพรึงกว่าค่ายกลทะลุมิติขนาดเล็กที่เขาเคยใช้หลายเท่า แม้วรยุทธของจางเซวียนจะเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงแล้ว แต่คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนทั้งร่างจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูอีกบานหนึ่ง จางเซวียนใช้เวลาขับเคลื่อนพลังงานเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อนจะเปิดประตูบานนั้น
องครักษ์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูตรวจสอบตราสัญลักษณ์ของเขาก่อนจะปล่อยให้เขาออกไป
“ที่นี่คือน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดหรือ?” จางเซวียนถาม
“ใช่ เมืองที่อยู่ตรงนั้นคือเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด” องครักษ์ตอบ
จางเซวียนมองตาม อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือภูเขาไฟขนาดมหึมาที่มีปล่องใหญ่โตอยู่ตรงกลาง รัศมีของปล่องภูเขาไฟน่าจะตกราวหลายพันลี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา ยากจะกะประมาณได้ว่ามันมีความลึกเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบภูเขาไฟได้
เหนือปล่องภูเขาไฟมีเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งลอยอยู่ ทั้งเมืองทำจากหินภูเขาไฟ
“เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นเมืองลอยได้?” จางเซวียนถึงกับผงะ
น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนมีภูเขาลอยได้อยู่หลายแห่ง แต่มีขนาดเล็กกว่าและเป็นที่พำนักของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆในเมืองเท่านั้น
แต่เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองเป็นเมืองลอยได้!
น่าสะพรึงจริงๆ!
“นายน้อยจาง ถ้าคุณอยากเข้าเมืองหลวง ผมให้คนของผมพาคุณไปได้นะ” องครักษ์พูดพร้อมกับยิ้มให้
เป็นธรรมดาที่ผู้มาเยือนน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นครั้งแรกจะมีทีท่าแบบนี้
พลังงานมหาศาลที่ทำให้ทั้งเมืองลอยตัวอยู่ได้ล้วนแต่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ไม่ว่าราชันย์เทพเจ้าหรือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ไม่อาจปล่อยพละกำลังระดับนี้ได้
ต้องเป็นฝีมือของระดับจอมราชันย์เท่านั้น!
ไม่ช้า องครักษ์ก็นำอสูรสวรรค์บินได้ตัวหนึ่งมา
เขาเชิญจางเซวียนให้ขึ้นขี่หลังอสูรสวรรค์ ก่อนที่ตัวเองจะขึ้นกุมบังเหียน จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าสู่เมืองลอยได้
ขณะที่กำลังเดินทาง จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบน
เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบ ก่อนจะตาโตด้วยความประหลาดใจ
จางเซวียนหันไปพูดกับองครักษ์ “ผมรู้สึกได้ว่าไม่มีค่ายกลที่ช่วยพยุงทั้งเมืองให้ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วมันลอยได้อย่างไร?”
โดยทั่วไป จะต้องใช้ค่ายกลทรงพลังเพื่อพยุงเมืองใหญ่ระดับนี้ให้ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ แต่แม้จะใช้ดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนก็ยังไม่เห็นอะไรทำนองนั้น
ได้ฟังข้อสังเกตของผู้มาใหม่ องครักษ์หัวเราะหึๆก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ “เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไม่ต้องอาศัยค่ายกลเพื่อพยุงให้มันลอยได้หรอก”
“อย่างนั้นหรือ? แล้วใช้อะไรล่ะ?” จางเซวียนถามต่อ
กฎเกณฑ์ของสรวงสวรรค์เข้มงวดมาก ข้อเท็จจริงที่ว่ามีแต่นักรบระดับราชันย์เทพเจ้าขึ้นไปเท่านั้นที่บินได้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี
แต่เมืองใหญ่ขนาดนี้คงไม่อาจเป็นราชันย์เทพเจ้าได้หรอก จริงไหม?
ก็ถ้าอย่างนั้น นอกจากค่ายกล จะมีอะไรที่ทำให้มันลอยตัวอยู่กลางอากาศได้?
“มันคือขนนก” องครักษ์ตอบยิ้มๆ “เมื่อแรกสร้างเมืองนี้ ไม่ว่าเราจะทำอย่างไรมันก็ลอยไม่ได้ ขณะที่ทุกคนหมดปัญญา ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็พบขนนกลึกลับจากที่ไหนสักแห่งและนำมันมารองใต้เมือง น่าประหลาดใจมากที่เมื่อมีขนนกรองรับ ทั้งเมืองก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้!”
จางเซวียนออกจะประหลาดใจกับเรื่องเล่าที่ได้ฟัง
เขาพยายามส่องดูด้านล่างเมืองที่ลอยอยู่ ซึ่งก็มีขนนกขนาดมหึมาที่มีความยาวหลายร้อยลี้อยู่ตรงนั้นจริงๆ ดูเหมือนมันมีพละกำลังบางอย่างที่ทำให้ทั้งเมืองลอยนิ่งอยู่กลางอากาศได้
ในตอนนั้นเอง เสียงไก่น้อยสีเหลืองก็ดังขึ้นข้างหู “ผมอยากกิน…”
“กินหัวแกเถอะ!” จางเซวียนพูดไม่ออก ในหัวของแกมีแต่เรื่องอาหารหรือไง?
ตอนที่แกเป็นแค่ไก่น้อยตัวจ้อยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้แกเป็นถึงราชันย์เทพเจ้าแล้ว! ใส่ใจรักษาหน้าของตัวเองหน่อยดีไหม?
แกอาจไม่แยแสชื่อเสียงของตัวเอง แต่ฉันยังสนใจอยู่!
“ไม่เอา…ผมไม่ได้อยากกินหัวของผม ผมอยากกินขนนกนั่น” ไก่น้อยตอบ
“หยุดพล่ามเลอะเทอะเสียที แกกินขนนกนั่นไม่ได้!” จางเซวียนตอบอย่างเฉียบขาด
นอกจากเป็นไปไม่ได้ที่ไก่น้อยจะกินขนนกอันมหึมานั้น ลำพังแค่รังสีแผดกล้าที่มันแผ่ออกมาก็หนักหน่วงเกินกว่าที่ราชันย์เทพเจ้าทั่วไปจะรับมือไหวแล้ว!
แถมเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองก็อาศัยขนนกนี้เพื่อพยุงให้มันอยู่ได้ ถ้าไก่น้อยกินเข้าไป เขาแน่ใจว่าทุกคนในเมืองจะต้องสับเขาเละแน่!
“ก็ได้…”
เห็นเจ้านายไม่อนุญาตให้กินขนนก ไก่น้อยได้แต่ส่ายหน้า มันกระโดดลงจากไหล่ของจางเซวียนและกลับเข้าไปในจุดตันเถียน
ในเมื่อไม่ได้กินขนนกนั่น ก็สู้ไม่เห็นเลยดีกว่า เผื่อจะลืมๆไปได้ ไม่อย่างนั้น มันคงหิวแล้วหิวอีกถ้ายังเห็นขนนกอยู่เรื่อยๆ
อสูรสวรรค์บินด้วยความเร็วสูงลิ่ว เพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองลอยได้
“คุณจะบอกเรื่องที่ผมควรจำให้ขึ้นใจเมื่ออยู่ในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดให้ผมรู้สักหน่อยได้ไหม? อีกอย่าง ผมอยากรู้เพิ่มเติมเรื่องราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟที่คุณพูดถึงเมื่อครู่นี้” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางเม็ดหนึ่งให้องครักษ์
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงทั่วไป ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นกลางก็น่าจะดีพอสำหรับเขา
———–
1 ลี้ = 0.5 กิโลเมตร