Mars เจ้าสงครามครองโลก - บทที่ 490 การยั่วยุ
Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 490 การยั่วยุ
หมอผีจั่วอู๋เต้าท่าทางดูตื่นเต้น ร้องไห้และหัวเราะว่า “เอี้ยะๆๆ เจ้าคิดว่าฉันกลายเป็นคนน่ากลัวดั่งผีเช่นนี้ ฉันอยากจะเป็นแบบนี้งั้นเหรอ? นี่คือผลทำร้ายของหัวเวิ่นยีไอ้คนไร้ยางอายคนนั้น! ในตอนนั้นฉันถูกเขาหลอกให้เข้าไปในถ้ำศพ ถูกพิษซากศพนับพันปี และเกือบตายอยู่ในนั้น หลังจากรอดพ้นมาได้เพราะความโชคดี ก็ได้กลายเป็นคนน่ากลัวดั่งผีอย่างไร้เป้าหมาย
เย่เซิ่งเทียนขมวดคิ้ว และคอยฟังต่อไป
ดวงตาที่ไม่มีตาขาวของหมอพิษหูชิงหนิว เป็นประกายด้วยไฟ และคำรามว่า “พวกเราไม่คู่ควรงั้นเหรอ? เจ้าลองไปถามเขาหัวเวิ่นยีดูว่ามันคู่ควรหรือไม่! ที่ฉันต้องกินยาพิษในทุกวันเป็นเวลามานานหลายปีเพราะอะไร?! เจ้าบอกฉันว่าฉันไม่คู่ควร?! ในปีนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ฉันเข้าคัดเลือกตำแหน่งผู้นำสมาคม เขาแอบลอบวางยาพิษฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันใช้ยาพิษแก้พิษได้โดยไม่ได้ตั้งใจและรอดชีวิตมาได้ ฉันคงโดนเขาวางยาพิษตายไปแล้ว! ”
“ทำไมฉันถึงต้องกินยาพิษในทุกๆวัน? ในปีนั้นเพื่อที่จะยับยั้งพิษในร่างกายของฉันที่เขาวางให้ ฉันกินยาพิษแทนอาหารมาสามปี ถึงมีชีวิตรอดมาได้! เป็นเพราะเขา ถึงทำหให้ร่างกายของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และทำได้เพียงต้องกินยาพิษอย่างต่อเนื่อง! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา กูแม่งจะยอมเป็นหมอพิษงั้นเหรอ?”
อดีตหกอัจฉริยะแห่งสมาคมทางการแพทย์ ในเวลานี้ได้ส่งเสียงคำรามจากส่วนลึกของหัวใจ!
ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหัวเวิ่นยี
เย่เซิ่งเทียนคอยรับฟังพวกเขาอย่างสงบ และแอบรู้สึกปวดหัวอย่างลับๆ
หากต้องการฟื้นฟูสมาคมทางการแพทย์ ก็ต้องแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคนเหล่านี้
และความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้น ไม่สามารถประนีประนอมได้
เย่เซิ่งเทียนเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้พูดโกหก แต่จากการคบหากับหัวเวิ่นยีมา เขาก็ไม่เชื่อว่าหัวเวิ่นยีจะสามารถทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะไม่มีการค้นพบที่เป็นรูปธรรม ก็ไม่สามารถสรุปทุกอย่างได้
“พวกเจ้าได้เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาตัวเองงั้นเหรอ?”
เย่เซิ่งเทียนถามด้วยความสงสัยว่า
หากหัวเวิ่นยีเป็นไอ้คนไร้ยางอายต่ำซามอย่างในปากของพวกเขา และเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยมืออำนาจของผู้นำสมาคมทางการแพทย์
และในความเป็นจริงแม้ว่าหัวเวิ่นยีจะเป็นผู้นำของสมาคมทางการแพทย์ แต่เขาไม่เคยดูแลในเรื่องของสมาคมทางการแพทย์เลย ตัวเขาเองก็เป็นเพียงแค่ไอ้คนเปล่าประโยชน์คนหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าพวกเราทั้งหมดเป็นคนโง่งั้นหรือ? ในตอนนั้นเขาให้คนมาบอกฉันว่าพ่อแม่ของฉันเกิดเรื่อง ฉันไปหาเขาเพื่อยืนยันข่าวและเขาก็บอกฉันด้วยตัวเอง!”
เจียงหมิงเฉิงหัวเราะอย่างประชดประชัน “ผู้หญิงคนที่จิตใจโหดเหี้ยมและเลือดเย็นในปีนั้น ก็คือคนที่หัวเวิ่นยีแนะนำให้รู้จักกับโก้วหวย! ยาพิษที่หูชิงหนิวดื่มลงไปหัวเวิ่นยีก็เป็นคนต้มเอง! ถ้ำศพที่จั่วอู๋เต้าเข้าไปนั้นก็คือหัวเวิ่นยีมันพาไปเอง เหตุผลที่หวังหลิงเปลี่ยนตัวเองเป็นกู่ ก็คือหัวเวิ่นยีเป็นคนชักชวน! ทำไมเผยชุนชิวถึงแตกแยกออกจากแพทย์แผนจีน? ก็คือถูกหัวเวิ่นยีใส่ร้ายป้ายสีในเวลานั้น! นี่คือสิ่งที่พวกเราเห็นกับตาและประสบมากับตัวเราเองทั้งหมด!”
เย่เซิ่งเทียนไม่ได้รีบร้อนที่จะพูดปกป้องหัวเวิ่นยี แม้ว่าในนี้มันจะมีแผนร้ายอะไรก็ตาม ตอนนี้มันก็ไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้
ความขุ่นเคืองมานานหลายปี ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
อีกอย่างในตอนนี้เย่เซิ่งเทียนก็ยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของในปีนั้น
เขาเหมือนจะรู้แล้วว่าทำไมหัวเวิ่นยีถึงไม่ปรากฏตัวมานานหลายปีขนาดนี้ เพราะไม่สามารถอธิบายไม่ชัดเจนนั่นเอง
“ฮึ่ม ไอ้หนุ่ม ในเมื่อเจ้ารู้จักกับหัวเวิ่นยี งั้นก็บอกเราทีว่า หัวเวิ่นยีอยู่ที่ไหน เราจะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า ตราบใดที่เจ้าพูดออกมา พวกเราก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
เผยชุนชิวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ระหว่างเราไม่มีความแค้นใดๆเลย แต่ถ้าเจ้ายังจะปิดบังแทนหัวเวิ่นยีอีก ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องกลั่นแกล้งผู้น้อยแล้วล่ะ!”
เย่เซิ่งเทียนยังคงไม่มีการแสดงทางอารมณ์ใดๆ และกล่าวด้วยสีหน้าอย่างว่างเปล่าว่า “ตามกฎของวงการทางการแพทย์ ถ้าฉันเอาชนะพวกเจ้าในด้านทักษะทางการแพทย์ พวกเจ้าต้องสัญญากับฉันเรื่องหนึ่ง”
จั่วอู๋เต้ากล่าวอย่างน่ากลัวว่า “เอี้ยะๆๆ จะให้เราปล่อยหัวเวิ่นยีไป นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก! แม้ว่าสมาคมทางการแพทย์จะจบลง พวกเราก็จะฆ่าหัวเวิ่นยีให้ตาย!”
“ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน”
เย่เซิ่งเทียนรู้ดีว่าทั้งหกคนนี้มีนิสัยที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างก็เป็นคนหยิ่งผยอง ตราบใดที่ท้าทายพวกเขาในด้านทักษะทางการแพทย์ พวกเขาจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน!
“ได้!”
โก้วหวยเดินออกมา “ตราบเท่าที่เจ้าสามารถเอาชนะฉันในทักษะทางการแพทย์ ฉันก็สามารถสัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่งได้”
เผยชุนชิวหรี่ตาลงเล็กน้อย “ตราบใดที่ไม่ใช่ให้ฉันปล่อยหัวเวิ่นยีไป ฉันก็จะสัญญากับเจ้าได้ ในเมื่อเจ้าอยากจะรนหาที่ตาย งั้นก็อย่าโทษฉันที่ไม่เกรงใจแล้ว!”