Mars เจ้าสงครามครองโลก - บทที่ 710 โชคของเปาจี้จู่
Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 710 โชคของเปาจี้จู่
“อะไรนะ พี่เทียน พี่ให้ผมกินปลาตาย แล้วยังเป็นปลาที่ตายในสุสานอีกด้วย?”
เปาจี้จู่รู้สึกขยะแขยงจนเกือบจะอาเจียน ใครจะไปรู้ว่าปลาตายตัวนี้เคยกินอะไรมาบ้าง
ที่นี่คือสุสานบรรพบุรุษของตระกูลกู่ ถ้าเช่นนั้นก็…
อ้วก
ถ้าไม่คิดก็ยังไม่เป็นไร แต่เมื่อคิดแล้วทำให้เปาจี้จู่อาเจียนออกมาทันที
เย่เซิ่งเทียนถอนหายใจและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านายจะไม่โชคแล้ว งั้นก็ช่างมันเถอะ”
“โชคอะไร พี่เทียน พูดให้ชัดเจน ผมจะกิน”
เปาจี้จู่รู้สึกกังวล ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าพี่เทียนทำเพื่อประโยชน์ของเขาเอง
เมื่อสักครู่เขาได้ยินพี่เทียนพูดเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณเทือกเขามังกร หรือว่ามันเป็นปลาทองเล็กตัวนี้?
ไม่สนใจอะไรแล้ว กินก็กิน พี่เทียนคงไม่ถึงขนาดคิดที่จะทำร้ายตัวเองหรอก
หลังจากนั้นเปาจี้จู่ก็จับปลาที่ตายแล้วยัดมันเข้าไปในปาก จากนั้นก็กลืนมันเข้าไป ซึ่งมันติดอยู่ในลำคอ เขาสำลักจนตาปลิ้น และใช้เวลานานกว่าจะกลืนมันเข้าไปได้
เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่ามันเป็นโชคของนายจริง ๆ”
เปาจี้จู่อยากจะอาเจียนอีกครั้ง รีบจับคอตนเองอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้คายออกมา และถามด้วยความโมโห “พี่เทียน โชคอะไร?”
“ต่อไปนายก็จะรู้เอง”
เย่เซิ่งเทียนยิ้มอย่างลึกลับ
เปาจี้จู่มีภัยพิบัติ และตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ถ้าภายในหนึ่งปีเขายังไม่เลิกยุ่งกับผู้หญิง และทำเครื่องรางป้องกันตัวใหม่ เกรงว่าเขาจะไม่สามารถเลี่ยงพ้นได้
ปลาหยินหยางตัวนี้เกิดจากเทือกเขามังกรของสถานที่แห่งนี้ พลังชั่วร้ายถูกขจัดออกไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโชคอยู่บ้าง ซึ่งสามารถขจัดภัยพิบัติบนตัวของเพลย์บอยอย่างเขาได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพลย์บอยที่ใช้ชีวิตไร้สาระ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลว มิฉะนั้นเย่เซิ่งเทียนคงไม่ช่วยเขาหรอก
“อย่างไรก็ตาม การเชื่อฟังพี่เทียนนั้นไม่มีอะไรผิดอยู่แล้ว”
เปาจี้จู่จับคอตนเองเอาไว้ และเลือกที่จะไว้ใจเย่เซิ่งเทียนโดยไม่ลังเล
เพราะเขารู้สึกว่าด้วยพลังความแข็งแกร่งของเย่เซิ่งเทียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องโกหกตนเอง
นอกจากนี้ เขาและเย่เซิ่งเทียนไม่มีความแค้นอะไร แล้วเย่เซิ่งเทียนจะทำร้ายเขาทำไม?
ถึงแม้ตอนที่อยู่บนเครื่องบินจะมีเรื่องกันเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าเย่เซิ่งเทียนไม่ใช่คนใจแคบ มิฉะนั้นเขาคงไม่ยอมให้ตนเองเรียกเขาว่าพี่เทียน
ถึงแม้ว่าเปาจี้จู่จะเป็นเพลย์บอย แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่เขลา
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าความรู้สึกวางใจของเขาในวันนี้ ต่อไปจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แต่นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งตอนนี้เป็นสิ่งที่เปาจี้จู่นึกไม่ถึง
“น้องเย่ ตอนนี้นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม? นายต้องการให้ผมทำอะไรอีกไหม?”
กู่เหอถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เย่เซิ่งเทียนกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเทือกเขามังกรตายไปแล้ว แต่เนื่องจากสถานที่นี่สามารถหล่อเลี้ยงเทือกเขามังกรได้ นั่นหมายความว่าที่นี่เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีมาก แต่ถ้าตระกูลกู่ต้องการอาศัยโชคนี้เพื่อทำให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีกระดับ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำให้ตระกูลอยู่อย่างสงบสุขนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้”
กู่เหอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ตระกูลกู่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน และพวกเขาไม่ได้แสวงหาสิ่งไร้สาระเหล่านั้น ส่วนเรื่องต่อไปให้นายคนวางแผน แล้วผมจะให้ความร่วมมือ จะเริ่มต้นเมื่อไหร่ นายกำหนดแล้วค่อยแจ้งผมอีกที”
สิ่งที่เขาพูดก็คือเรื่องที่จะจัดการหกตระกูลเก่าแก่
เย่เซิ่งเทียนพยักหน้า ถึงแม้ว่าตอนนี้ตระกูลกู่จะอยู่ข้างเขา แต่ก็ไม่ควรมองข้ามหกตระกูลเก่าแก่ที่เหลือ
โดยเฉพาะตระกูลฉิน ตระกูลเซียว ตระกูลกู่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีตัวประหลาดแก่ที่เหมือนกู่ชางหลงอีกสองคน
อีกสามตระกูลที่เหลือ ทุกตระกูลอาจมีคนหลบซ่อนอยู่ในที่ลับด้วย มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ตระกูลกู่จะมีตัวประหลาดแก่ระดับนี้ แล้วตระกูลที่เหลือจะไม่มี
“เรื่องนี้จำเป็นต้องมีโอกาสที่เหมาะสม ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อน”
เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาต้องการปรึกษาหารือกับขุนหลวง แล้วเคลื่อนไหวพร้อมกัน
มิฉะนั้นเมื่อแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว เกรงว่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เอง
กู่เหอพยักหน้า
เมื่อเห็นท่าทางที่อึก ๆ อัก ๆ ของกู่ฉิงฉิงแล้ว กู่เหอก็เข้าใจว่าเธออยากจะพูดอะไร เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “ลูกวางใจเถอะ พ่อจะจัดการเรื่องของลูกเอง ลูกอย่าเพิ่งใจร้อน”
กู่ฉิงฉิงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “พ่อ เรื่องนี้พ่อเป็นคนพูดเองน่ะ ถึงแม้ว่าจะต้องตาย ฉันก็จะไม่แต่งงานกับเซียวจ้าน!”
เย่เซิ่งเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า เดิมทีผมมาเพื่อดื่มเหล้ามงคลของเธอ ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ผมจะมาเสียเที่ยวแล้ว”
กู่ฉิงฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “ฉันไม่ได้ขอให้คุณมาที่นี่สักหน่อย ดื่มเหล้ามงคลอะไร มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
เปาจี้จู่เบ้ปากและกล่าวว่า “ทำดีไม่ได้ดี เหมือนหลี่ต้งปินที่ถูกหมากัดเลย”
“แกเรียกใครว่าหมา!”
กู่ฉิงฉิงเตะก้นเปาจี้จู่และถามด้วยความดุร้าย
เปาจี้จู่รีบกล่าวว่า “ฉันเป็นฝ่ายผิดยังไม่ได้อีกเหรอ? ฉันบอกว่าฉันเป็นหลี่ต้งปิน ไม่ได้บอกว่าแกเป็นหมา”
กู่ฉิงฉิงยืนกอดอกแล้วกล่าวว่า “ค่อยยังชั่ว”
กู่เหอจับหน้าผากด้วยความปวดหัว
ลูกสาวคนโตของตนเอง เป็นคนโง่หรือเปล่า?