Mars เจ้าสงครามครองโลก - บทที่ 924 พลทหารข้ามแม่น้ำ
“นายนี่มันคือยอดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์แห่งการฝึกฝนเสียจริง”
เห็นว่าภายในเวลาสั้น ๆ เพียงสองชั่วโมง เย่เซิ่งเทียนก็สามารถเข้าใจและใช้ ได้แล้ว เหย้ซูหลิงก็อดที่จะทอดถอนใจอย่างใจหายไม่ได้
“นี่มันยากมากเลยเหรอ? ก็แค่ควบคุมกล้ามเนื้อและโครงกระดูกในร่างกายไม่ใช่เหรอ? ”
เย่เซิ่งเทียนเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ได้มีความยากอะไรเลย
เหย้ซูหลิงพูดขึ้นอย่างจำใจว่า: “พูดน่ะมันง่าย แต่เมื่อกระทำแล้วมันยากมาก หากต้องการที่จะควบคุมกล้ามเนื้อและโครงกระดูกให้ได้โดยสมบูรณ์นั้น มันง่ายดายซะที่ไหนกันล่ะ ฉันเองก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะของตระกูลเหย้แล้ว แต่ในตอนนั้นที่ร่ำเรียน นี้ ยังต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ถึงจะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ ส่วนการที่จะควบคุมกล้ามเนื้อและโครงกระดูกทั้งหมดในร่างกายได้นั้น ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มเลยทีเดียว”
เป็นจริงว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างตัวบุคคลแล้วมันช่างน่าโมโหยิ่งนัก
เย่เซิ่งเทียนตื่นเต้นเล็กน้อย นับตั้งแต่ที่เลือดประหลาดแห่งตระกูลเย่ได้ตื่นตัวขึ้น ระดับความสามารถในการควบคุมร่างกายของเขานั้นก็พัฒนาขึ้นหลายขั้นเลยทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสานเข้ากับ หลังจากที่เลือดประหลาดตื่นตัวขึ้นเป็นครั้งที่สองนั้น ก็สามารถที่จะควบคุมส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้ทั้งหมด
ข้อกำหนดของ ก็คือการควบคุมร่างกายทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
เวลานี้ตนเองสำเร็จห้าสิบวิชาหล่อหลอมจาก แล้ว ซึ่งการควบคุมกล้ามเนื้อและโครงกระดูกในร่างกายนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“ดีเลย ตอนนี้นายสามารถเข้าใจและใช้งาน ได้แล้ว จากนั้น ฉันก็จะรอดูผลงานของนายแล้ว แผนการครั้งนี้ของพวกเราจะสำเร็จหรือไม่นั้น ส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่านายจะสามารถแกล้งตายแล้วเอาชีวิตรอดออกมาได้หรือไม่”
เมื่อเหย้ซูหลิงพูดจบ อันที่จริงในใจก็ยังไม่มั่นใจสักเท่าไร แต่ก็พูดต่อว่า: “ในอดีตตอนที่เผ่าซวนหยวนถูกสรวงสวรรค์พบเจอตัวนั้น ก็เพราะตระกูลเซียวทรยศหักหลังต่อเผ่าซวนหยวน นายเป็นคนเฉลียวฉลาด ควรจะทำอย่างไรนั้น ฉันก็คงไม่ต้องพูดมากอะไรแล้วนะ? ”
เย่เซิ่งเทียนพยักหน้า ซึ่งการแกล้งตายจะสำเร็จหรือไม่นั้น สำคัญที่อยู่ทางฝ่ายของตระกูลเซียว
แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับเผ่าซวนหยวน แต่นั่นเป็นเผ่าของคุณแม่ หากว่าสามารถแก้แค้นได้สำเร็จ ก็คงจะปลอบใจคุณแม่ได้บ้าง
อย่างนั้นก็เริ่มต้นจากตระกูลเซียวก่อนก็แล้วกัน
เหย้ซูหลิงพูดขึ้นอีกว่า: “หลังจากนี้ นายก็กลับไปที่ตระกูลเย่กับฉันเพื่อแต่งงานปลอม สร้างสถานะตัวตนว่าเป็นลูกเขยปลอมของตระกูลเย่ นายวางใจได้ ไม่ใช่ว่าจะให้นายเป็นคนรับช่วงต่อ นายคิดที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยของผู้ชายของฉันนั้น นายยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอหรอก ระหว่างพวกเราก็เพียงแค่การร่วมมือ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต่างฝ่ายต้องการก็เท่านั้น”
เมื่อเธอพูดขึ้นแบบนี้ เย่เซิ่งเทียนก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว
“ตระกูลเย่ของพวกเธอจะมีปฏิกิริยาตอบรับอะไรบ้างล่ะ? แผนการนี้ จำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์อย่างที่สุด พวกเราแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
เย่เซิ่งเทียนสอบถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
หากว่าคนตระกูลเย่ไม่เห็นด้วย ก็คงจะมีปัญหาความยุ่งยากมากมายเป็นแน่
นอกจากนี้สำหรับตระกูลเย่ที่เป็นตระกูลลี้ลับนั้น ในสายตาของพวกเขาแล้วลูกเขยที่ย้ายมาอยู่กับทางฝ่ายหญิงก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนรับใช้เลย
หากว่าเป็นเพราะสถานะดังกล่าว แล้วก่อให้เกิดเรื่องราวที่ไม่สบายใจขึ้น ก็อาจจะทำให้แผนการล้มเหลวลงได้
เหย้ซูหลิงพูดขึ้นอย่างสงบว่า: “วางใจได้ พวกคุณปู่ของฉันเห็นด้วยกับแผนการของฉันอย่างมาก นายคิดว่าตระกูลลี้ลับต่างก็ยินยอมที่จะเป็นทาสรับใช้ของสรวงสวรรค์อย่างนั้นเหรอ? การที่ถูกสรวงสวรรค์บังคับข่มเหงมาเป็นเวลานาน จิตใจก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น รอเพียงแค่มีใครคนหนึ่งที่เป็นผู้นำปรากฎตัวขึ้น ซึ่งนายนั้น เหมาะสมอย่างมาก และนายเองก็มีความแค้นอันลึกซึ้งกับสรวงสวรรค์อยู่แล้วด้วย โดยพวกเราเองก็ไม่ต้องกังวลด้วยว่าในตอนท้ายนายจะทรยศหักหลัง”
“แน่นอนว่า พวกเราสนับสนุนนายได้เพียงแต่ลับหลังเท่านั้น ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรนายอย่างเปิดเผยได้ หากว่านายจะต้องตายลงจริง ๆ ก็ต้องตายไป เข้าใจไหม? โดยก่อนหน้าที่นายจะมีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งไปต่อกรกับสรวงสวรรค์ได้นั้น พวกเราไม่มีทางที่จะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน พวกเราไม่สามารถที่จะนำทั้งตระกูลไปเดิมพันไว้กับที่ตัวนายได้ หากต้องการให้ตระกูลลี้ลับยืนอยู่ทางฝั่งเดียวกับนายอย่างแท้จริง นายจะต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยจะต้องมีพลังความสามารถที่ต่อกรได้กับห้าเทพอาวุโสของสรวงสวรรค์ได้”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เย่เซิ่งเทียนก็ถึงกับเบาใจลงได้บ้าง
นี่ถึงจะเป็นเรื่องปกติทั่วไป ตระกูลเย่ไม่มีทางที่จะไปเผชิญหน้าต่อความเสี่ยงพร้อมกับเขาเป็นแน่
หากว่านำทั้งตระกูลมาเดิมพันเอาไว้ที่ตัวของเขาแล้ว เขาเองก็คงไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เย่เซิ่งเทียนเองก็รู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไร
แต่ก็ต้องอดทนเก็บกดเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยตนเองเท่านั้น
เมื่อตนเองแข็งแกร่งแล้ว จึงจะถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มต้นคิดที่จะเข้ามาสู่ตระกูลลี้ลับ เขาก็รู้เป็นอย่างดีว่า จะต้องพึ่งพาตนเอง
ไม่สามารถที่จะเชื่อถือใครได้ทั้งหมด
ต่อให้เป็นเหย้ซูหลิงในเวลานี้ เขาเองก็ยังคงระแวดระวังอยู่ในใจตลอดเวลา
เขารู้ว่า สำหรับตระกูลเหย้ที่เป็นตระกูลลี้ลับนั้น พูดตามตรงว่าตัวเขาเองก็เป็นเพียงแค่พลทหารในหมากรุกก็เท่านั้น