Mars เจ้าสงครามครองโลก - บทที่ 931 ตระกูลเซียว
Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 931 ตระกูลเซียว
เย่เซิ่งเทียนยิ่งอ่านดูก็ยิ่งหวาดกลัวหนักขึ้นไปอีก
มิน่าล่ะที่ทำไมตระกูลลี้ลับถึงไม่กล้าต่อต้านสรวงสวรรค์
เพราะพลังความสามารถของสรวงสวรรค์ ช่างแข็งแกร่งทรงอานุภาพอย่างมากเลยทีเดียว
เพียงแค่แดนเหนือโลกีย์ ก็มีมากถึง 108 คน และนี่ยังเป็นเพียงแค่ขั้นแดนที่ต่ำที่สุด
แดนลอยเมฆทรงพลังมากแค่ไหน เขาเองก็รับรู้เป็นอย่างดี
ครั้งนั้นที่พญาดำปรากฏตัวขึ้น เขากับอดีตจอมพลร่วมมือกัน ยังสังหารไปได้เพียงแค่ผู้พิทักษ์ชุดม่วงหนึ่งคน ซึ่งนั่นก็คือแดนลอยเมฆเช่นกัน
สำหรับยอดฝีมือแดนลอยเมฆที่เหลืออีกกี่คนนั้น ก็เป็นทางคุณพ่อที่ใช้วิชาต้องห้ามลงมือสังหาร
ในส่วนของเทวดาหมายเลขสิบแดนฉ่องทิพย์นั้น เมื่อปรากฏตัวขึ้นก็กดทับเขากับอดีตจอมพลจนเคลื่อนไหวไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เป็นคุณพ่อที่ยอมพลีชีพตายลงไปพร้อมกันกับเขา
แต่ยอดฝีมือระดับเทวดาหมายเลขสิบนี้ ในสรวงสวรรค์แล้ว ก็ยังอยู่แค่ในระดับสามเท่านั้น
ตระกูลลี้ลับ แน่นอนว่าก็มียอดฝีมือแดนฉ่องทิพย์ แต่จะไปเปรียบเทียบกับสรวงสวรรค์ได้อย่างไร?
แม้ว่าจะมียอดฝีมือแดนสะพานเทพที่มีพลังความสามารถระดับเดียวกันกับพญาดำ แต่สรวงสวรรค์มีอยู่มากถึงแปดคน
ต่อให้ตระกูลลี้ลับไม่เกรงกลัวยอดฝีมือทั้งแปดคนนี้ แล้วห้าเทพอาวุโสล่ะ?
เมื่อดูจากข้อมูลแล้ว ห้าเทพอาวุโสคือยอดฝีมือแดนทะลุเทพ เก่งกาจเหนือชั้น เพียงพร้อมด้วยพลังความสามารถที่ทรงอานุภาพมหาศาล
มิน่าล่ะที่กู่ชางหลงกับมู่หุน ถึงได้แอบซ่อนตัวมาเป็นเวลานานขนาดนี้
เย่เซิ่งเทียนสูดลมหายใจลึก
แรงกดดันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
หากคิดที่จะช่วยชีวิตคุณแม่ออกมา มันไม่ใช่ความยากระดับทั่วไปเลย
มันยากมากกระทั่งเขามองไม่เห็นถึงความหวัง
จะสามารถเอาชนะได้จริงเหรอ?
การเผชิญหน้ากับพลังความสามารถระดับนี้ เขารู้สึกไร้สิ้นความหวัง
ในข้อมูลกล่าวไว้ว่า แดนทะลุเทพ นั่นคือขั้นแดนที่ใกล้กับเทพอย่างที่สุด
นับพันปีมานี้ หลังจากที่เทพเจ้าได้หายสาบสูญไป ผู้ที่สำเร็จถึงขั้นแดนนี้ได้นั้น ทั่วทั้งโลกมีไม่เกินสิบคน
อาจจะกล่าวได้ว่า แดนทะลุเทพนั้น ก็คือเทพแห่งโลกใบนี้
มิน่าล่ะที่พวกเขากล้าที่จะเรียกขานตนเองว่าสรวงสวรรค์
“ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็จะไม่ละทิ้งโอกาส ถ้าไม่ตาย ก็ต้องชนะ”
เย่เซิ่งเทียนกำหมัดแน่น เขาถอยหลังกลับไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชีวิตคุณแม่ แก้แค้นให้กับคุณพ่อ หรือว่าจะปกป้องคุ้มครองซีเอ๋อร์กับซือซือ เขาจำเป็นต้องทำมัน
ถึงแม้เขาคิดที่จะละทิ้งโอกาส สรวงสวรรค์เองก็ไม่ปล่อยให้เขาละทิ้งโอกาสในครั้งนี้ไป
“ฉันจะต้องได้ตำราวิชาที่เหนือกว่าแดนเหนือโลกีย์มาก่อนให้จงได้”
เย่เซิ่งเทียนแอบพูดอย่างลับ ๆ
ต้องทำให้พลังความสามารถของคนรอบข้างตนเองนั้น เพิ่มสูงขึ้นก่อนให้ได้
นี่ก็คือวัตถุประสงค์ที่เขามาตระกูลลี้ลับในครั้งนี้
เพียงแต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทางตระกูลเหย้คงจะไม่มอบตำราวิชาให้กับเขาเป็นแน่ จำเป็นต้องคิดหาวิธีด้วยตนเอง
แน่นอนว่า หากคิดที่จะให้ตระกูลเหย้ยอมมอบตำราวิชาออกมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นั่นก็คือทำตามดั่งที่คุณท่านเหย้พูดเอาไว้ ต้องแต่งงานกับเหย้ซูหลิงอย่างแท้จริง
แต่เย่เซิ่งเทียนทำไม่ได้
หวางซียอมเสียสละเพื่อเขาตั้งมากมาย เขาไม่สามารถทำให้เธอผิดหวังได้
นี่คือขอบเขตจำกัดของเขา
ทั้งชีวิตนี้ เขาจะมีหวางซีเป็นภรรยาเพียงแค่คนเดียว
เพียงแต่ว่าการปฏิเสธต่อคุณท่านเหย้นั้น จะทำให้เดินต่อไปด้วยความยากลำบาก แต่จะยากลำบากแค่ไหน ก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป
“ตระกูลเซียว ดูเหมือนว่าเรื่องของตำราวิชานั้น จะต้องคิดหาวิธีการจากตระกูลเซียวเสียแล้ว”
เย่เซิ่งเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย
ภายในข้อมูลนั้นก็มีในส่วนของตระกูลเซียวด้วย
ในอดีตตระกูลเซียวกับเผ่าซวนหยวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ในตอนท้ายตระกูลเซียวทรยศต่อเผ่าซวนหยวน ทำให้เผ่าซวนหยวนถูกสรวงสวรรค์ทำลายลง
การสูญสิ้นไปของเผ่าซวนหยวน เย่เซิ่งเทียนไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเขาไม่มีความผูกพันธ์อะไรกับเผ่าซวนหยวน
เพียงแต่ ในข้อมูลกล่าวไว้ว่า เรื่องของคุณแม่ในอดีตนั้น ตระกูลเซียวเองก็คือผู้ผลักดันเบื้องหลัง
กลุ่มของคุณแม่นี้ เดิมทีแอบซ่อนตัวเป็นอย่างดี แต่ก็ถูกตระกูลเซียวตามหาจนพบ
สุดท้าย ก็เป็นตระกูลเซียวที่เสนอว่า ให้คุณแม่ไปเป็นลูกเลี้ยงของตระกูลหมิง จากนั้นก็รู้จักกับคุณพ่อ
เวลานี้เย่เซิ่งเทียนก็ได้รู้แล้วว่า ผู้ที่เป็นต้นเหตุของชีวิตที่เศร้าสลดของตนเองนั้น ก็คือตระกูลเซียว!
เพราะว่าในตอนนั้นก็คือทางตระกูลเซียวที่เป็นฝ่ายเสนอว่า ให้ผสมผสานเลือดเทพของเผ่าซวนหยวนกับเลือดประหลาดแห่งตระกูลเย่เข้าด้วยกัน จากนั้นก็ทดลองดูว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไรขึ้น
ครั้นแล้ว จึงก่อให้เกิดชะตาชีวิตที่เศร้าสลดของเขาในช่วงยี่สิบกว่าปีมานี้
“ตระกูลเซียว หากฉันไม่ทำลายกวาดล้างพวกนายให้สิ้นซาก แล้วฉันจะคู่ควรเป็นลูกของคุณแม่ได้อย่างไร! ”
ดวงตาของเย่เซิ่งเทียนเต็มไปด้วยเส้นเลือด แต่เขารู้ดีว่า ห้ามใจร้อนเด็ดขาด
จะต้องค่อยเป็นค่อยไป
เย่เซิ่งเทียนเองก็เคยสงสัยถึงความถูกต้องน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านี้ เพียงแต่ความเป็นไปได้ที่ตระกูลเหย้จะทำการปรับแก้ไขข้อมูลนั้นคงเป็นไปได้น้อย เพราะว่าไม่มีความจำเป็น
“ในเมื่อตอนนั้นตระกูลเซียวกับเผ่าซวนหยวนใกล้ชิดปรองดองกันดั่งพี่น้อง ถ้าหากตอนนี้ฉันไม่ไปยังตระกูลเซียวดูบ้าง แล้วจะคู่ควรกับมิตรภาพความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร? ”
เย่เซิ่งเทียนยิ้มอย่างเย็นชา มิน่าล่ะที่เหย้ซูหลิงถึงได้ใช้ตระกูลเซียวมาเป็นจุดเริ่มต้น ในการคิดวางแผนการดังกล่าว
เพราะว่ามีเพียงแบบนี้ ถึงจะสามารถหลอกสรวงสวรรค์ได้
ตนเองไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียว หรือว่าไปแก้แค้น ก็อยู่ภายใต้การคาดการณ์ของของสรวงสวรรค์ทั้งหมด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฉันก็ยิ่งควรที่จะไปสักรอบแล้ว”
เย่เซิ่งเทียนตัดสินใจแน่ชัด แล้วก็ไปบอกกับเหย้ซูหลิง โดยหลังจากที่เหล่าอู๋แปลงโฉมเป็นหยวนเย่แล้ว เขาก็จากไปอย่างเงียบ ๆ