Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 148
- Home
- Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ
- Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ - ตอนที่ 148
ตอนที่ 148 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (5)
อี้เป่ยซีกินไปเพียงไม่กี่คำ ก็รู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว ดึงลั่วจื่อหานออกไปทันที ทิ้งให้หลิงจื่อเซี่ยยังคงยืนงงอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
มันง่ายขนาดนั้นเลย เธอสามารถไล่อี้เป่ยซีออกไปจากห้องของพี่จื่อหานได้ง่ายมาก เธอมองดูห้องที่ว่างเปล่า ในใจรู้สึกไม่ดีมาก นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะทำ แต่มักจะรู้สึกว่ามันมีปัญหาตรงไหนสักแห่ง
เธอมองดูเก้าอี้ที่ว่างเปล่า ขาอ่อนเล็กน้อย กดโทรออกไปหาหมายเลขหนึ่งด้วยความสั่นเทา
อารมณ์ของอี้เป่ยซีก็พูดไม่ได้ว่าดีมาก นั่งอยู่บนรถไม่พูดไม่จา และไม่ต้องการสนใจคนข้างๆ จึงมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า หน้าต่างลดถูกเปิดในทันใด สายลมปะทะใบหน้าของอี้เป่ยซี
“นายตั้งใจ!”
“อย่าโมโหเลย แค่ระบายลม”
“นายมันน่ารังเกียจที่สุด”
“เมื่อก่อนไม่สนใจคำพูดของจื่อเซี่ยไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ประโยคเดียวถึงกระตุ้นเธอได้ขนาดนั้นล่ะ?”
อี้เป่ยซีหันหน้าไปอีกทาง “เปล่าซะหน่อย มีอะไรน่าโมโหเหรอ ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ฉันกลับอยากให้เธอใจแคบซะอีก”
“งั้นนายก็จะใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก คุณอาลั่ว”
“หายโกรธแล้วเหรอ?”
“เปลี่ยนล็อคประตูเถอะ”
ลั่วจื่อหานคิดอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบในทันที อี้เป่ยซีนึกว่าเขากำลังลังเล จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง “เป่ยซี ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป”
ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป ฉะนั้นล็อคประตูจึงยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ฉันนึกว่าเธอจะกลับไป ฉะนั้นของทุกอย่างจึงยังไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เคยคิดที่จะกลับไปเลยสักครั้ง ฉันเคยหวังไร้สาระว่าสักวันหนึ่งเมื่อกลับถึงบ้าน จะเจอเงาที่คุ้นเคย ฉันนึกว่าการเก็บรักษาสิ่งที่เธอชอบก็จะสามารถรักษาเธอได้
“ทำไมนายถึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไอ้ขวัญรอไอ้เรียมอยู่อย่างโดดเดี่ยวยังไงยังงั้นเลย” อี้เป่ยซีหวั่นไหว เข้าใกล้เขาแล้วยิ้ม ลั่วจื่อหานรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของเด็กสาวที่อบอวลอยู่ข้างกาย อารมณ์ก็เบิกบานอย่างอดไม่ได้ ราวกับพายุลูกเล็กนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้วจริงๆ
เมื่อลั่วจื่อหานส่งอี้เป่ยซีกลับถึงบ้าน คุณแม่อี้กับอี้เป่ยเฉินก็กินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว อี้เป่ยซีลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ลั่วจื่อหานเข้าไปด้วยกันกับเธอ
“นายรีบกลับไปเถอะ อย่างลืมเปลี่ยนล็อคล่ะ”
“อืม”
“แล้วก็” อี้เป่ยซีเข้าไปใกล้แล้วหอมแก้มเขา “อย่าลืมให้กุญแจฉันล่ะ”
ลั่วจื่อหานกอดเธอ “โอเค”
วันเปิดภาคเรียนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าพลังของตัวเองน้อยลงทุกวันๆ ปิดภาคฤดูร้อนนี้เธอไม่ได้ทำอะไรเลย การที่มันผ่านไปแล้วช่างชวนให้น่าเสียดายที่ไม่ได้รักษามันไว้ให้ดี
เมื่อถึงวันที่เปิดเรียนจริงๆ ตอนแรกอี้เป่ยซีนึกว่าวันแรกนั้น เพียงแค่อ้อยอิ่งเรื่อยเปื่อยก็จะผ่านไปเหมือนทุกที ใครจะรู้ว่าทันทีที่เข้าประตูมหาวิทยาลัยก็ได้รับแจ้งเรื่องการสอบย้ายคณะแล้ว
ต่อให้เธอแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า ก็ไม่สามารถปรับตัวตามได้เร็วขนาดนั้นหรอก ถ้าสอบได้ไม่ดี ก็ไม่เท่ากับว่าทำให้ลั่วจื่อหานขายหน้าหรอกหรือ
เชอะ แล้วก็หน้าของตัวเองด้วย
ยังดีที่ภาคเรียนก่อนเธอทำผลการสอบได้ไม่เลว เธอสามารถเข้าสอบย้ายคณะได้ตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย วิชาภาษาอังกฤษก็นับว่าแข็งแรง ตอนที่สอบจึงไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายนัก แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจที่สุดก็คือ ทำไมต้องสัมภาษณ์ในช่วงบ่ายด้วย
แม้ในใจจะไม่ค่อยยินดีนัก อี้เป่ยซีก็ยังลากสังขารอันอ่อนล้าไปยังอาคารสำนักงานแล้ว การสอบครั้งนี้ลั่วจื่อหานทำเพื่อเธอเป็นพิเศษ ขณะที่เข้าสนามสอบ อี้เป่ยซียังรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
มีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับพฤติกรรมนี้ บางคนก็ข่มเอาไว้ บางคนก็ถามคำถามที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก อี้เป่ยซีตอบคำถามทีละข้อ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่นอบน้อมตลอดเวลา
ทำไมเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากเรียนปีหนึ่งซ้ำ ก็ไม่ยอมทำเรื่องแบบนี้หรอกนะ
อาการของเธอคงดูฝืนใจที่จะสบตากรรมการ เมื่ออี้เป่ยซีเห็นพวกเขาพยักหน้าแล้วจึงออกไปอย่างโล่งอก ทันทีที่ออกไปก็รอแทบไม่ไหวโทรหาลั่วจื่อหาน
“เป็นไงบ้าง”
“ก็โอเค แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าทำแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไร”
“คุณสมบัติเธอไม่ตรงกับกฏการย้ายคณะเหรอ?”
“เอ่อ ตรงทุกอย่าง”
“แล้วมันไม่ดีตรงไหน คืนนี้ว่างไหม?”
อี้เป่ยซีมองนาฬิกา “ไม่ได้ วันนี้ต้องกินข้าวกับคุณแม่อี้ เขาบอกว่าจะอยู่ประเทศ C อีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้ว”
“อ๋อ”
“เขาน่าจะอยากอยู่ถึงวันเกิดพี่ชาย”
“เมื่อไร?”
“ยี่สิบเจ็ดกันยา”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “โอเค ฉันรู้แล้ว”
เมื่อวางสาย อี้เป่ยซีก็คิดอยากกลับไปนอน เพิ่องออกจากรั้วมหาวิทยาลัยก็เห็นรถของลั่วจื่อหานจอดอยู่หน้าประตู เธอวิ่งกระโดดเข้าไป เปิดประตูรถ
“ทำไมนาย…”
“ยินดีด้วยนะ” อี้เป่ยซีรับกล่องที่ลั่วจื่อหานยื่นมาให้ ดวงตาเป็นประกาย
“ว้าว ให้ฉันเหรอ?”
“เปิดดูสิ”
อี้เป่ยซีพยักหน้าหงึกหงัก เปิดกล่องด้วยความระมัดระวังมาก มันคือนาฬิกาข้อมือสั่งทำอันละเอียดอ่อน เธอมองไปที่นาฬิกาของลั่วจื่อหานโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะสังเกตเห็นสายตาของอี้เป่ยซี ลั่วจื่อหานจึงตั้งใจขยับข้อมือ และเป็นไปตามคาดจริงๆ
มันคือนาฬิกาของคู่รัก
“ช่วยฉันใส่ไหม?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า ใส่นาฬิกาที่ข้อมือซ้ายของเธอด้วยความพิถีพิถัน สายรัดข้อมือสีฟ้าเข้ากับผิวที่อ่อนโยนของเธอ ยิ่งเผยความบอบบางอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้อ…” เขาส่ายหัว
“เป็นอะไรไป?”
“ผอมเกินไปแล้ว”
“ทำไม นายปวดใจหรือไง?”
“อืม” ลั่วจื่อหานนวดคลึงศีรษะของเธอ อี้เป่ยซีดึงข้อมือของลั่วจื่อหานมาอยู่ตรงหน้าของเธอ แล้วเปรียบเทียบกับของตัวเอง
“ก็โอเคแหละ ตรงข้ามกับนายพอดี” เธอยิ้มเหมือนเด็ก ลั่วจื่อหานเชิดคางของเธอขึ้น
“ไม่เจอกันสองสามวัน พูดจาเก่งขึ้นทุกทีแล้ว”
เธอเงยคางขึ้นอย่างว่าง่าย “ใช่แล้ว นายยังไม่พอใจเหรอ” พูดพลางเล่นหูเล่นตากับเขา ลั่วจื่อหานหลับตา หลังจากจูบปากของเธออย่างดุเดือดแล้วก็จูบที่หูของเธอ “พอใจมาก”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเขา “ไม่ต้องรักฉันมากเกินไป ขับรถเถอะ”
“โอเค”
รถมาจอดที่หน้าประตูจิ่นหยวน อี้เป่ยซีกระโดดโลดเต้นเข้าบ้านไป ทุกการกระทำเผยให้เห็นความสุขของเธอ
ลั่วจื่อหานมองดูเงาของเธอที่ค่อยๆ ไกลออกไป มุมปากก็ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้ว
หรือว่าช่วงเวลาที่ดีก็คือแบบนี้สินะ
ข้างกายเขามีเธอ ข้างกายเธอมีเขา ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในทุกๆ วัน
เขามองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ต้องการจะขับรถจากไป แต่กลับมีผู้หญิงในชุดแดงคนหนึ่งยืนอยู่หน้ารถของเขา พร้อมความกล้าที่เข้ามาขวางรถ เขาไม่ได้ลงจากรถ ลดมือลง มองคนที่อยู่เบื้องหน้า ผู้หญิงคนนั้นก็รวบรวมความกล้าเดินมาข้างหน้าต่าง เคาะกระจกรถด้วยความใจร้อน
ลั่วจื่อหานค่อยๆ ลดกระจกลง ได้ยินเสียงหายใจหอบที่คุ้นเคย คิ้วผูกกันแน่น “คุณมีอะไรอีก”
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน คุณคบกับอี้เป่ยซีจริงๆ เหรอ?”
“ไม่เกี่ยวกับคุณมั้ง ไม่อะไรก็รีบพูด”
เธอเบะปากบ่นพึมพำสองสามคำ “ก็แค่อยากบอกคุณว่าดูแลอี้เป่ยซีให้ดี อย่าให้เขาไปกวนพี่สาวฉัน ตอนนี้พี่สาวฉันไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว เขาทนการรบกวนไม่ไหว” พูดจบก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว…
————