Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 116
นอกสถานที่สอบมีนายทหารติดอาวุธหลายคนคอยเฝาประจำการอยู่ หนึ่งในพวกเขาได้ตะโกนเสียงดังออกมา
“หยุด!!”
เนื่องจากมีพวกนักข่าว สามคนเดินเข้ามาในบริเวณ หนึ่งถือกล้อง อีกคนถือไมโครโฟนไว้ที่มือและถือสมุดโน้ตคอยจดบันทึก
“พวกเรามาจากสถานีโทรทัศน์ฉางอานค่ะ และนี่ก็เป็นใบอนุญาตของเราที่ได้รับการอนุมัติจากเมืองฉางอานที่อนุญาตให้เราเข้าไปทำงานในสถานที่สอบได้ค่ะ”
ดวงตาของนายทหารฉายแววเย็นชา “เราได้รับคำสั่งว่าห้ามให้คนที่ไม่มีบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบหรือใบอนุญาตที่ทางเราเป็นคนออกให้เข้ามาในสนามสอบแห่งนี้”
นักข่าวหญิงยิ้มรับอย่างไม่พอใจ เธอยอมถอยและหันหลังโทรไปคุยกับหัวหน้าอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าคะ เราเข้าไม่ได้…”
“เราบอกไปแล้วค่ะ ว่าได้รับอนุญาตของเมืองฉางอานค่ะ พวกเขาก็ปฏิเสธเช่นกัน”
ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้ แต่พวกเขากลับไปมือเปล่าไม่ได้ พวกนักข่าวเลยส่งโดรนไปถ่ายรูปสถานที่โดยรอบ ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ไม่อย่างนั้นหัวหน้าก็จะโมโหมาก
“ทำไมเราไม่ดักรอสัมภาษณ์ผู้สอบหลังจากที่สอบเสร็จล่ะ” ผู้ช่วยหญิงที่ถือสมุดโน้ตเสนอความเห็น ถึงพวกเราจะเข้าไปข้างในไม่ได้ แต่พวกเราก็สามารถสัมภาษณ์เหล่าผู้สอบที่ออกมาได้ คงไม่มีใครมาห้ามพวกเราได้หรอก
แต่อย่างไรก็ตามผู้เข้าสอบที่ออกมานั้น พวกเขาอาจจะผิดหวังจากผลลัพธ์ที่ได้จึงทำให้ได้คำตอบแบบกลางๆจากพวกเขา จนทำให้คนดูเปลี่ยนช่องหนีทันทีก็เป็นได้
“เฮ้ ดูนั่น ดูนักเรียนคนนั้นสิดูน่าสนใจดีนะ ไปสัมภาษณ์กันเถอะ” ตากล้องกล่าวและเพนกล้องไปที่เด็กคนนั้นที่กำลังเข้าในสถานที่สอบ เขากำลังขี่แมงมุมเข้ามา
ที่ด้านหลังของเขามีสัตว์อสูรตัวใหญ่ใส่เสื้อคลุมสีดำและยังมีตะขาบยาว 6เมตร
‘เขามีสัตว์อสูร 3ตัว’
นี่เป็นจำนวนสัตว์อสูรที่มากที่สุดที่พวกเคยเจอในหมู่ผู้เข้าสอบ จึงทำให้พวกเขาวิ่งกรูไปหาเกาเผิง
ตากล้องเริ่มบันทึกภาพทันที
“สวัสดีค่ะ พวกเรามาจากสถานีโทรทัศน์เมืองฉางอาน เราขอสัมภาษณ์คุณได้มั้ยคะ?” นักข่าวสาวยิ้ม เธอทัดผมแนบหูเพื่อโปรยเสน่ห์ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์
“ไม่ได้” เกาเผิงตอบอย่างห้วนๆและให้สตีปี้เดินจากไป
นักข่าวสาวตกใจกับปฏิกิริยาที่เย็นชานี้มาก เธอทำอะไรไม่ถูกเลย
ซิลลี่ที่อยู่บนไหล่ของเกาเผิง มันมองนักข่าวสาวอย่างสนใจ มันได้ทิ้งไหล่ของเกาเผิง บินไปร่อนลงที่ศีรษะของนักข่าวสาว
ภาพทุกอย่างถูกบันทึกโดยตากล้อง มีตัวอะไรไม่รู้มาตกลงบนศีรษะของเพื่อนร่วมงานของเขา
ส่วนนักข่าวสาวก็รู้สึกถึงความผิดปกติ มีบางอย่างเหนียวอยู่บนศีรษะของเธอ เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร เธอตกใจส่งเสียงกรี๊ดออกมา
“อะไรอยู่บนหัวของฉัน” นักข่าวสาวได้ถามช่างภาพ เสียงของเธอฟังดูเหมือนจะร้องไห้
“มะ มงกุฎ”
“มงกุฎอย่างงั้นหรือ?” นักข่าวสาวตกตะลึง ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’
หลังจากที่เกาเผิงได้เห็นความวุ่นวายพวกนี้ เขาก็รีบหลบฉากหนีไปทันที เขาไม่อยากออกทีวีด้วยเรื่องพวกนี้
ที่ด้านหน้าสถานที่สอบมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ถึงจะผ่านเข้าไปข้างในได้
เกาเผิงลงจากหลังของสตีปี้ไปหานายทหาร ทำการยื่นบัตรประจำตัวของเขาให้พวกทหารตรวจสอบ
หลังจากเกาเผิงได้รับบัตรคืน เขาก็เดินไปต่อแถวเพื่อรอเข้าไปเข้าใน
ระหว่างที่เกาเผิงกำลังต่อแถวอยู่ก็มีนักข่าวสาวเดินดุ่มๆเข้ามาหาเขา ท่าทางของเธอดูโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือของซ้ายของเธอจับซิลลี่เอาไว้
เกาเผิงรู้สึกปวดหัวทันที
นักข่าวสาวยื่นมือที่จับซิลลี่ไว้แล้วพูดว่า “ฉันเอาหมวกมาคืนคุณ ฉันไปล่ะ”
คนที่มาต่อแถวต่างมุงดูเกาเผิงด้วยความสงสัย
หลังจากที่นักข่าวได้คืนซิลลี่แล้วเธอก็เดินออกไปทันที ซิลลี่บินมาเอาหนวดแตะๆมือเกาเผิงแล้วพูดว่า
“เอาน้ำผลไม้มากให้หน่อย อยากกินน้ำผลไม้” ซิลลี่ส่งเสียงผ่านหัวเกาเผิง
“แกอยากจะกินน้ำผลไม้งั้นเหรอได้ เมื่อไปถึงบ้านฉันจะปั่นแกให้เป็นน้ำผลไม้เลย” เกาเผิงตอบ
เขาจับซิลลี่ยัดใส่กระเป๋าและรูดซิป
หลังจากความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป เกาเผิงต่อแถวเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคิวของเกาเผิง
เกาเผิงที่เครื่องแสกนใบหน้าและลายนิ้วมือ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาสวมรอยมาสอบแทนกัน
และเขาก็เดินมาเครื่องในเครื่องถัดไป ในเครื่องนี้จำเป็นต้องวางสัตว์อสูรเอาไว้เพื่อตรวจสอบว่าทั้งสองได้ทำพันธะสัญญาเลือดกันจริงๆรึเปล่า หากทำสัญญากันจริงไฟที่เครื่องเครื่องจะเป็นสีเขียว
ส่วนถ้าไม่ใช่ก็จะเป็นสีแดงแบบเครื่องอื่นที่อยู่ไม่ไกลจากเกาเผิง
*บี๊บ บี๊บ บี๊บ*
เครื่องไม่ส่งสัญญาณทำให้ทหารเลยนายได้มุ่งหน้ามาที่เครื่องนี้ ข้างหลังพวกเขามีหมาป่าจันทราสีเงิน
“ลองอีกครั้งสิ” เจ้าหน้ากล่าวพลางมองนักเรียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ข้างในเครื่องสแกนมีบิฮีมอท สูงถึง 3เมตร ขนสีแดงยาวทั่วทั้งตัว
ทันใดนั้นบิฮีมอทก็คำรามด้วยความโกรธ มันกระโดดออกจากเครื่องและเริ่มวิ่งหนี
พวกหมาป่าจันทราสิเงินเริ่มไล่ตามทันทีโดยไม่รอคำสั่งของนายทหารที่อยู่ข้างๆ พวกมันทำการโจมตีและจับกุมบิฮีมอทได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที
นักเรียนคนนั้นหน้าซีดทันที เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาและคืนบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบให้กับเขา
“ผลการสอบของคุณเป็นโมฆะ เชิญออกไปได้แล้ว”
นักเรียนคนนั้นตกตะลึง ตาของเขาเป็นสีแดงทันที เขาเริ่มอ้อนวอนกับเจ้าหน้าที่
“ได้โปรดเถอะครับ อย่าตัดสิทธิ์ผมเลยนะครับ” เขาคุกเข่าลงไปจับต้นขาของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ได้ยกตัวนักเรียนคนนั้นให้ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆและปัดฝุ่นที่กางเกงของเขา
“คุณเป็นลูกผู้ขาย อย่าเพิ่งคุกเข่าโดยไม่จำเป็น สิ่งที่สำคัญของลูกผู้ชายก็คือศักดิ์ศรี ฉะนั้นรักษามันไว้ดีๆ”
สายตาของเขาฉายแววดีใจ เขาคิดว่าจะได้รับข่าวดีแน่ๆ
เจ้าหน้าที่ยิ้มและปลอบโยนเขา “ไว้กลับมาใหม่ปีหน้านะ ปีนี้คุณถูกตัดสิทธิ์แล้ว กฎก็ย่อมเป็นกฎ หากผมแหกกฎซะเองต่อไปคงจะบังคับใช้กฎกับใครไม่ได้แน่ๆ ความผิดของคุณก็คือนำสัตว์อสูรที่ไม่ได้ทำสัญญามาสอบถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงและอีกอย่างหากคุณยืนกรานว่าสัตว์อสูรตัวนั้นเป็นของคุณ ทางเรายินดีที่จะตรวจสอบให้อีกครั้ง”
ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดมาก เขารู้อยู่เต็มอกว่าสัตว์อสูรตัวนั้นไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของพ่อเขา เขาพามันออกมาอย่างลับๆในระหว่างที่พ่อของเขาออกทำงาน ส่วยสัตว์อสูรของเขานั้นอ่อนแอเกินไป
ที่เขานำมันมาก็เพื่อเสี่ยงดวงว่าเจ้าหน้าที่ต้องไม่สังเกตแน่ๆเพระคนมาสอบเยอะมากแต่เขาคิดผิด เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้มงวดกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ย้อนกลับมาที่เกาเผิง ดัมมี่ ต้าซื่อ สตีปี้ และซิลลี่ ทั้งหมดเดินผ่านเครื่องสแกนอย่างฉลุย
เจ้าหน้าที่จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เกาเผิง
‘ไม่น่าเชื่อเด็กคนนี้จะมีสัตว์อสูรเยอะขนาดนี้’