Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 151
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้คุยต่อสักพัก พวกเขาก็ออกจากห้องไปที่ห้องอาหารที่ชั้นสองของโรงแรม เมื่อเข้าไปถึง ที่นี่เงียบมากไม่มีคนอยู่สักคน ราวกับเขาได้เหมาทั้งชั้นไว้
หลังจากทานอาหารเสร็จ เกาเผิงก็พาตาของเขาไปทำความรู้จักกับสัตว์อสูรของเขา
เมื่อต้าซื่อเห็นจีฮันอู มันก็มองอย่างสงสัย มันอยากรู้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร
จีฮันอูยิ้ม “เจ้าตะตาบน้อยตัวนี้น่ารักจัง”
เมื่อต้าซื่อได้ยินคำชม มันจึงโบกหนวดอย่างมีความสุข และหลังจากที่มันได้รู้ว่าจีฮันอูเป็นตาของเจ้านาย มันก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปอีก
ในทางกลับกันซิลลี่ดูหวาดกลัวมาก มันบินออกจากห้องอย่างรวดเร็วไปอยู่ตรงหน้าจีฮันอู พร้อมกับหยิบน้ำผลไม้จากช่องมิติประเคนให้เขา
“ดื่มสิ ดื่มสิ”
ซิลลี่บินรอบๆพยายามเอาใจจีฮันอู ท่าทีของมันเหมือนจะให้และไม่ให้น้ำผลไม้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อจีฮันอูปฏิเสธ มันจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พูชิ!!”
ซิลลี่ได้หร่อนที่ศีรษะของเกาเผิง พร้อมกับโบกหนวดอย่างมีความสุข
จีฮันอูจ้องมองเกาเผิงและสัตว์อสูรของหลานอย่างมีความสุขโดยที่ไม่พูดอะไรเลย
………….
“ตอนนี้หลานมีมหาวิทยาลัยที่สนใจจะเข้าแล้วรึยัง” จีฮันอูถาม
“มีแล้วครับ ผมมีมหาวิทยาที่เล็งไว้อยู่ เดี๋ยวผมจะไปสมัครที่นั่น” ที่จริงแล้วเกาเผิงสามารถใช้ผลสอบสมัครได้ตั้งนานแล้ว แต่เขาผ่อนผันไปเรื่อยๆไม่ไปสมัครซะที แค่ผลสอบของทั้งสองรอบ เขาก็จะมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ตามที่เขาต้องการ
“โอ้ ที่ไหนเหรอ” จีฮันอูถามอย่างไม่เป็นทางการ
“มหาวิยาลัยหยูโจว”
“หลานยังเด็ก ทำไมหลานไม่ลองไปที่ๆท้าทายกว่านี้ล่ะ” จีฮันอูพูดราวกับตั้งคำถามกับการตัดสินของเกาเผิง เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“ก็งั้นผมจะไปที่มหาวิทยาลัยนีออนล่ะกัน” เกาเผิงพูดอย่างทะเล้น
จีฮันอูหันมามองเกาเผิง “ก็ได้ๆ ไปมหาวิทยาลัยหยูโจวก็ดีแล้ว”
“ครับ”
เกาเผิงรู้ขบขันที่คุณตาของเขาพูดออกมาได้ตรงตามที่เขาคิด
หลังจากออกจากโรงแรม เกาเผิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้น เขาโทรไปเพื่อสละสิทธิ์การสอบของเขา แต่เมื่อเขากำลังจะกดเบอร์ เขาไม่รู้จะจะสามารถต่อติดใครในเรื่องนี้ได้ เขาดูลุกลี้ลุกลนมาก
เมื่อจีฮันอูเห็นแบบนี้ก็หัวเราะและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คุยแปปนึงจากนั้นก็วางสาย “เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว”
เขาเห็นว่าเกาเผิงมองเขาอย่างงๆ เขาจึงตบบ่าเกาเผิงเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลไป ตาได้จัดแจงทุกอย่างตามระบบ หลานก็มีชีวิตของหลาน ตาจะไม่เข้าไปยุ่ง..”
ยังไม่คิดที่เขาจะพูดจบ จีฮันอูได้หวนไปนึกถึงลูกสาวของเขา ที่เธอหนีออกจากบ้านไป เพียงเพราะว่าเธอทนไม่ไหวที่เขาบงการชีวิตของเธอมากเกินไป
“งั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมสามารถทำอะไรได้ตามใจโดยไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะมองยังได้มั้ยครับ” เกาเผิงถามทันที นี่เป็นสิ่งที่เขากังวลมาเป็นเวลานาน เขาไม่รู้จะคุยเรื่องนี้กับใคร
เนื่องด้วยแผงข้อมูลของเขา ทำให้เขาระแวงเรื่องความคิดของคนอื่นที่มีต่อเขามากจนเกินไป
“ทำไมต้องสนพวกนั้นด้วยล่ะ หลานก็ไม่ได้ไประรานใครสักหน่อย ใช่มั้ย” จีฮันอูถามกลับ
เกาเผิงนิ่งไปพักนึง ก่อนที่จะส่ายหน้า
“ถ้าตาต้องมานั่งแคร์ความรู้สึกของคนอื่น ตาคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้หรอก” จีฮันอูหัวเราะเสียงดัง “แต่หลานจำไว้อย่างหนึ่งนะ การทำแบบนั้นต่อไป หลานต้องเป็นวายร้ายในสายตาของพวกเขาอย่างแน่นอน”
“แล้วคุณตาล่ะครับ”
“ฉันเหรอ” จีฮันอูหยุดพักหนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ตาโด่งดังกลับการเป็นวายร้ายมาตั้งนานแล้ว ฮ่ะฮ่าๆ”
……….
เนื่องจากคุณตามีธุระของบริษัทที่ต้องสะสาง จีฮันอูต้องออกจากเมืองเจียงหนานทันทีหลังจากที่คุยเสร็จ
เกาเผิงก็ออกจากเมืองเจียงหนานเหมือนกันแต่ไปคนละเมือง เขานั่งเครื่องบินที่คุณตาจัดเตรียมไว้ให้ เขาบินกลับไปที่เมืองฉางอาน
แม้ว่าเขาจะตั้งใจไปที่เมืองหยู่โจว แต่เขาต้องกลับไปที่เมืองฉางอานเพื่อจัดแจงธุระของเขก่อน อาทิเช่น เรื่องห้องเก่าของเขา เรื่องสำนักงานนกร็อคทะยานฟ้า และเรื่องคฤหาสน์ของเขาที่ซื้อมาแต่อยู่ไปแค่ไม่กี่ครั้ง
เกาเผิงเป็นผู้โดยสารคนเดียวเครื่องบิน เขามีพนักงานบนเครื่องบินถึง 12คนคอยบริการเขาตลอดการเดินทาง
เมื่อมาถึงเมืองฉางอาน นักบินก็กล่าวเกาเผิงว่า
“นายน้อยครับ หากนายน้อยต้องการจะบินไปไหนสามารถบอกพวกเราได้ครับ เราจะจอดเครื่องบินไว้ที่นี่ นายน้องเพียงบอกวันแล้วเวลามาพวกเราจะใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้า 1วันครับ”
“อ่อ พวกคุณไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอครับ” เกาเผิงถามหลังจากที่อึ้งอยู่พักหนึ่ง
“นายน้อยต้องอำพวกเราเล่นแน่ๆ พวกเราถูกจ้างมาให้บริการนายน้อยตลอดเวลาครับ” นักบินตอบด้วยรอยยิ้ม
“อืม เข้าใจแล้ว”เกาเผิงพยักหน้า เขาต้องพยายามทำความคุ้นเคยเรื่องพวกนี้ให้เร็วที่สุด
เกาเผิงกลับไปคฤหาสน์ของเขา หลังจากอาบน้ำเสร็จเดินไปบ้านลุงหลิวเพื่อไปรับเฟลมมี่กลับมา
เมื่อเขาไปถึงกลับเจอเพียงแค่นกเพนกวินสีขาวที่อ้วนท้วมเดินมาต้อนรับเขา
“ลุงหลิวครับ” เกาผิงส่งเสียงเรียกแต่ไม่มีใครตอบกลับมา
‘เขาไปอยู่ที่ไหน’ เกาเผิงไม่รู้ว่าปกติลุงหลิวแกไปไหนบ้าง
“แกว๊ก แกว๊ก”
เจ้าเพนกวินวนรอบเกาเผิงหลายครั้ง พร้อมมองเขาอย่างกังวล
‘ลุงหลิวแกไปเลี้ยงเพนกวินตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย’
เกาเผิงลอบสังเกตเพนกวินตัวนี้อย่างระมัดระวัง เขาพบว่ามันวิธีเดินของมันแปลกๆ ดูเหมือนมันกระโดดมากกว่าเดิน แต่มันอ้วนเกินไปจึงทำได้แค่กระเถิบทั้น
แต่ละก้าวของมันช่างยากเย็น มันต้องกางปีกเพื่อทรงตัวตลอดเวลา
‘ทำไมพนกวินตัวนี้ดูคุ้นๆจังเลย’
เกาเผิงครุ่นคิดอย่างหนัก
ขนาดนี้ซิลลี่ที่กลัวพวกนกจนขี้ขึ้นสมองยังกล้ามาดูเพนกวินตัวนี้ใกล้ๆอย่างไม่กลัวเลย
“แกว๊ก แกว๊ก” เพนกวินได้ร้องเสียงดังที่เท่าที่มันจะทำได้
แต่มันอ้วนเกินไปเสียงที่ควรจะแหลมกลับเปลี่ยนเป็นทุ้มแทน
จู่ๆ เกาเผิงก็นึกอะไรบางอย่างออก เขามองเพนกวินด้วยตาที่กระตุก
“กะ แกคือ เฟลมมี่ใช่มั้ย”
เมื่อเห็นว่าเจ้านายจำมันได้ มันจึงกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
แต่เกาเผิงแทบจะกระอักเลือดออกมา
‘จากนกกระเรียนกลายเป็นเพนกวิน ลุงหลิวให้กินอะไรไปบ้างเนี่ย’
เฟลมมี่กำลังรอโอบกอดแสนอบอุ่นจากเจ้านาย แต่เขาไม่กอดมันซะที เฟลมมี่จึงเริ่มส่งเสียงไม่พอใจ
‘เจ้านายไม่ชอบฉันแล้ว’
เฟลมมี่ส่งเสียง ตีปีกโวยวาย มันได้เริ่มพังข้าวของ มันเจาะรูที่โซฟา ทำลายผ้าม่าน พังเก้าอี้โบราณ
ในระหว่างในมันก็เหลือบมามองปฏิกิริยาของเจ้า แล้วพบว่าเขาไม่เข้ามาปลอบมันอีก ด้วยความโมโห มันเริ่มพังบ้านต่อ
*พึ่บ*
เงาสีดำได้พุ่งผ่านร่างของเฟลมมี่ ทำให้มันหมุน 360องศาก่อนจะล่วงสู่พื้น
ด้วยความที่มันอ้วนเกินไปมันจึงกลิ้งไปมาบนพื้น มันลุกขึ้นไม่ได้
แมวสีดำขนาดใหญ่นั่งมองมันอย่างเงียบๆ มันเลียอุ้งเท้าพลางมองเฟลมมี่ด้วยสยตาที่ดูถูกดูแคลน ราวกับพูดว่า
‘แกยังจะกล้าพังบ้านของฉันอีกมั้ย’
เกาเผิงได้พบเจอเรื่องที่ชวนหงุดหงิดและตลกพร้อมๆกัน เขาถอดหายใจ ก้มลงไปอุ้มนกกระเรียนที่อ้วนตุ้บตัวนี้ขึ้นมา เขามองไปที่ซอฟตี้และพบว่า เจ้านกอ้วนนี่ไม่ได้ทำลายข้าวของในบ้านลุงหลิวครั้งนี้เป็นครั้งแรก