Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 101
“เราก็โตๆกันแล้ว อย่ามีเรื่องกันเลยดีกว่านะ” เกาเผิงพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา
“ไม่ต้องกลัวไป พวกเราไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก ก็แค่จะหักกระดูกแกสักสองสามท่อนเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มที่ใส่แจ็คเก็ตแดงที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่กล่าว เขาหัวเราะอย่างเย็นชา
“ลูกพี่สัตว์อสูรที่ใส่ฮู้ดตัวนั้นดูน่าเกรงขามนะครับ” คนในกลุ่มชี้นิ้วไปที่ดัมมี่
“เออ มันเป็นสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน” ชายแจ็คเก็ตแดงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “แต่แล้วยังไงล่ะ พวกเรามีจำนวนมากกว่า จะไปกลัวอะไร”
คนพวกนี้ไม่มีสามารถประเมินแบบเกาเผิงจึงคิดว่าจะเอาชนะได้หากเอาจำนวนเข้าสู้
‘ช่างอ่อนหัดเสียจริง’
“ลูกพี่เขามีสัตว์อสูรตั้ง 2ตัวนะ เหมือนในอนิเมะเรื่องคู่หูประจัญบานเลยนะ” ชายทรงผมครูว์คัตกล่าว “มันเป็นอนิเมะที่สนุกมาก”
“ฉันบอกให้แกเลิกดูการ์ตูนเรื่องนั้นซะที เขาก็แค่มีสัตว์อสูรสองตัวเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคู่หูประจัญบานซะหน่อย” ชายแจ็คเก็ตแดงเริ่มหัวเสียแล้ว “ไปจัดการเขาซะ วานรนิลทมิฬ”
วานรนิลทมิฬ ที่ดูแข็งแกร่งได้เดินออกมาจากด้านหลังชายแจ็คเก็ตแดงอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นวานรนิลทมิฬเขาก็นึกถึงสัตว์อสูรที่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ไห่หลานหยูที่เขาได้ซื้อมาเมื่อก่อนหน้านี้
พวกเขาไม่รู้หรือว่าพวกมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่รู้ว่าทำไมพวกเด็กๆถึงแห่ไปซื้อมันจัง
จากนั้นวานรนิลทมิฬได้หยิบกระบองเหล็กยาว 10เมตรออกจากด้านหลัง
‘พวกเขาถึงกับซื้อพวกอุปกรณ์ให้พวกสัตว์อสูรอย่างงั้นหรือ’ เกาเผิงประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งที่เกาเผิงได้เห็นพวกสัตว์อสูรพกอาวุธ ไม่ใช่ว่าพวกมันจะพกอาวุธไม่ได้ เพียงแต่ว่าลำพังแค่ร่างกายของมันก็เป็นอาวุธที่อันตรายที่สุดแล้ว
วานรนิลทมิฬเริ่มควงกระบองไปมาอย่างรุนแรง
ถึงแม้คนพวกจะอาจหาญแค่ไหนก็คงไม่กล้าฆ่าคนในใจกลางเมืองแบบนี้ ถึงโลกจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน กฎหมายก็ยังบังคับใช้อย่างเข้มงวดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นในบ้านเมืองที่วุ่นวายแบบนี้คงไม่สามารถรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้
เกาเผิงรู้สึกพอใจที่บ้านเมืองสงบเช่นนี้ บางทีเขาก็อยู่ในโลกที่สงบสุขได้ไปเรียนและกลับบ้านมานอนหลับอย่างสบายใจในทุกๆวัน เขาก็อยากออกไปคาเฟ่จิบกาแฟอร่อยๆ ดูรายการทีวีที่สนุกๆ หรือเล่นเกมเพลินๆโดยไม่คิดอะไรแบบนี้เหมือนกัน
“ดัมมี่สั่งสอนเจ้าลิงน้อยตัวนี้หน่อยสิ” เกาเผิงสั่ง เขาแค่อยากจะมอบบทเรียนให้เด็กพวกนี้ซะหน่อย เขาไม่ได้ต้องปลิดชีวิตพวกสัตว์อสูรของพวกเขา แต่หากพวกเขาไม่หยุดรังควาน มันก็ไม่แน่
วานรนิลทมิฬพุ่งไปในอากาศพร้อมกับเหวี่ยงกระบองหมายจะฟาดดัมมี่
ดัมมี่ยกมือขวาขึ้นรับกระบองที่ฟาดลงมากอย่างง่ายดา
วานรนิลทมิฬพยายามดึงกระบองออกแต่มันดึงไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว
เจ้าลิงกัดฟันด้วยความโกรธ มันปล่อยกระบองและพุ่งเข้าหาดัมมี่ด้วยหมัดลุ่นๆ
ผลที่ได้คือวานรนิลทมิฬถูกดัมมี่คว้าหมับไปที่คอของมันและถูกดัมมี่ยกขึ้นสูงในอากาศ
ด้วยความต่างของสัตว์อสูรสองตัวที่มากขนาดนี้ เหมือนกำลังดูผู้ใหญ่รังแกเด็กอยู่เลย
วานรนิลทมิฬพยายามทั้งดิ้นทั้งเตะ แต่ขาก็ไปไม่ถึงดัมมี่ ภาพที่ออกมาดูตลกมาก
ดัมมี่โยนกระบองเหล็กของวานรนิลทมิฬออกไปข้างทาง กระบองกระเด็นไปไกลหลายเมตร
ดัมมี่ยื่นมือขวาไปแตะที่ศีรษะของวานรนิลทมิฬเบา ราวกับพ่อที่กำลังสอนลูกน้อยที่ซุกซนของเขา
เมื่อวานรนิลทมิฬถูกดัมมี่ทำอย่างนั้น ทำให้มันได้โกรธจัด มันกัดไปที่มือของดัมมี่แต่ดัมมี่ก็ไม่รู้สึกอะไร ดัมมี่ได้ตบไปที่หน้าของมันอย่างแรง
*เพี๊ยะ*
ทุกคนต่างตกตะลึง
*เพี๊ยะ* ดัมมี่ได้ตบมันอีกครั้ง
ตอนนี้หน้าของวานรนิลทมิฬได้บวมปูดเหมือนขนมปัง
จากนั้นดัมมี่ก็แตะที่ศรีษะของวานรนิลทมิฬอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ต่อต้าน มันจ้องดัมมี่อย่างหวาดกลัวก่อนที่น้ำตาจะรื้นออกมา
ดัมมี่พยักหน้าอย่างพอใจ ‘นี่สิที่เขาเรียกกันว่าการเคารพเชื่อฟัง’ ดัมมี่คิด
ดัมมี่ได้วางวานรนิลทมิฬลง หางของมันหด ก่อนจะวิ่งไปหาเจ้านายของมันราวกับเด็กน้อยที่ถูกรังแก
ชายแจ็คเก็ตแดงดูหมดอาลัยตายอยาก ‘ลิงที่ตัวสูง 2เมตรอย่างแก หลบอยู่ข้างหลังฉันเนี่ยนะ แกควรจะจะอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องฉันสิ’ เขาคิด
ส่วนสัตว์อสูรอีก 3ตัวที่เหลือ พวกมันไม่กล้าออกไปสู้เลยเมื่อได้เห็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันยังโดนทุบตีแบบนี้ แล้วพวกมันจะเหลือเหรอ
ชายแจ็คเก็ตแดงรู้สึกเข่าอ่อนทันที เขาหัวเราะแบบแห้งๆ “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ หากท่านได้เมตตาพวกเรา ท่านสามารถปล่อยพวกเราออกไปได้มั้ยครับ พวกเรายอมแพ้แล้ว” เวลาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขนาดนี้ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด
ขนาดที่เขากำลังจะร่ายคำพูดต่อ เกาเผิงก็ได้เดินผ่านพวกเขาไปพร้อมกับดัมมี่และต้าซื่อ
‘จะหักกระดูกของเขางั้นเหรอมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก’ เกาเผิงไม่ใช่คนเลือดร้อน เขาไม่มีทางสร้างเรื่องที่จะทำให้ส่งผลกระทบต่อเขาในอนาคตได้หรอก หากเขาลงมือรุนแรงเกินไปอาจจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาภายหลังได้
ชายแจ็คเก็ตแดงจ้องมองเกาเผิงอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าเกาเผิงจะปล่อยพวกเขาไปแบบเป็นๆ เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
ฝ่ายตรงข้ามปฏิบัติกับพวกเขาอย่างมดปลวก ไม่มองไม่แยแสใดๆ
ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรออก เขาหันมาปลอบวานรนิลทมิฬของเขาอย่างเงียบๆ
“ฉันขอโทษที่ทำแกต้องเจ็บ อย่าร้องเลยนะ ไว้คืนนี้ฉันจะให้แกกินเกี๊ยวย่างของโปรดของแกคืนนี้เอามั้ย?”
วานรนิลทมิฬมองเจ้าอย่างสงสัย ปกติหากมันทำพลาดเจ้านายจะโกรธมันมากและให้อดข้าวเย็นด้วย
‘วันนี้เจ้านายกินยาไม่เขย่าขวดรึไง’ เจ้าลิงคิด
ชายแจ็คเก็ตแดงตระหนักได้ว่าความโกรธและความอิจฉาพวกนี้มันดูไร้ค่าไปเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียเวลาและจะทำช่องว่างของพลังระหว่างเขาก็ยิ่งห่างออกไปไกลเรื่อยๆ
เขาต้องมั่นฝึกฝนสัตว์อสูรของเขาให้หนักเพื่อที่จะได้แข็งแกร่งและยืนต่อหน้าเขาได้อย่างไม่อายใคร
“ลูกพี่ครับ คืนนี้เราไปดื่มที่บาร์มั้ยครับ” ชายทรงผมครูว์คัตแนะนำ
“พวกแกไปเลย พอดีคืนนี้ฉันมีเรื่องตัองทำน่ะ ฉันไปก่อนนะแล้วเจอกัน” ชายแจ็คเก็ตแดงกล่าวและส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม
…….
“เกาเผิงฉันมีงานใหญ่ของรัฐบาลให้นายทำอีกแล้ว เธออยากมาทำงานนี้มั้ย ได้ค่าเหนื่อยถึง 500เครดิตพันธมิตรเลยนะ นอกจากนี้เธอจะได้แก่นคริสตัลสัตว์อสูรธาตุไฟฟ้าชนชั้นนักรบอีกด้วย” ผู้อำนวยการเฉินพูดผ่านโทรศัพท์ เขารู้เกาเผิงต้องการอะไรจึงเสนอเขาไปแบบตรงๆ
ไม่มีสิ่งใดทำให้คนหน้ามือตาบอดได้แค่กับเงินอีกแล้ว
เกาเผิงตาเป็นประกายทันที เงินตั้ง 500เครดิตพันธมิตรไม่ใช่น้อยๆเลยนะนั่น นอกจากนี้ยังได้แก่นคริสตัลสัตว์อสูรธาตุไฟฟ้าชนชั้นนักรบอีกด้วย
“ผู้อำนวยการเฉินครับในฐานะที่ผมก็เป็นพลเมืองคนหนึ่ง การที่ได้ช่วยได้ช่วยเหลือรัฐบาลถือหน้าที่สำคัญของพลเมืองทุกคนนะครับ ผมยินดีที่ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่เลยครับ” เกาเผิงกล่าวดวงตาที่เปล่งประกาย