Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 113
ดัมมี่ได้ลากค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินออกมาจากกรงในสภาพที่ปางตาย
“โอ๋มันช่างน่าสงสารที่ถูกทุบตีขนาดนี้”
“นี่สินะที่เขาเรียกว่าขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมา”
นักเรียนที่อยู่รอบต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการต่อสู้เมื่อกี้ พวกเขาต่างทึ่งกับความสามารถของดัมมี่และยินดีในความโชคร้ายของ ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงิน
แม้ว่าค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินจะสัตว์อสูรธาตุอันเดทแต่ร่างของมันก็ไม่ได้เป็นโครงกระดูกไปซะทั้งหมด มันยังมีบางส่วนที่ยังเป็นร่างเนื้ออยู่บ้าง
“ผู้ฝึกสอนครับ หวังว่าคุณคงจะรักษาคำพูดนะครับ ผมสามารถเอาค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินไปได้เลยใช่มั้ยครับ” เกาเผิงถาม
“คุณสามารถเอามันไปได้เลย” หัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉินไม่ว่าอะไร ให้มันไปอย่างยินดี สำหรับทางกองทัพค้างคาวตัวนี้ก็เป็นแค่สัตว์อสูรธรรมดาๆ ไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่สำหรับพวกเขา
หากพวกทหารต้องการจริงๆก็ไปจับพวกมันในป่าก็ได้ ที่นั่นมีให้เลือกมากมาย ไม่มีตัวไหนที่พวกเราจับไม่ได้
จำนวนสัตว์อสูรที่นำมาขายครึ่งหนึ่งในตลาดก็เป็นผลงานของทางกองทัพนี่แหละ
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเกาเผิงก็รู้โล่งใจและพยักหน้า
เกาเผิงหันไปหากลุ่มนักเรียนที่พร้อมกับส่งเสียงว่า
“มีใครสนใจค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินมั้ย แค่ 500เครดิตพันธมิตรเอง โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆที่จะได้สัตว์อสูรระดับนี้ ใครเงินถึงก่อนก็ได้มันไปเลย”
หัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉินรู้สึกโกรธ เขาไม่คิดว่าเกาเผิงจะมาไม้นี้ ใครจะคิดว่าเขาจะขายมันต่อหน้าเขาแบบนี้
เขาหลับตาเพื่อสงบใจ
‘ถ้าเขาอยากก็ขายไป นั่นมันเรื่องของเขา’
เกาเผิงไม่สนใจค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินเลย พลังโจมตีก็ต่ำ มีดีแค่บินได้เท่านั้น ประโยชน์ใช้สอยน้อยแบบนี้เขาก็เลยอยากขายมันให้ไวๆ
สัตว์อสูรที่บินได้ก็ยังมีสัตว์อื่นที่บินเร็วกว่ามันเยอะและได้เปรียบแค่สัตว์อสูรเลเวลต่ำๆเท่านั้น หากเจอสัตว์อสูรเลเวลสูงๆคงจะโดนตบร่วงลงมาในฝ่ามือเดียว
ก่อนหน้านี้เขาก็อยากฝึกสัตว์อสูรที่บินได้นะ แต่เขามีดัมมี่ ต้าซื่อและสตีปี้แล้ว เขาจึงไม่ต้องการค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงิน
แม้ว่าเขาจะสามารถยกระดับพลังของมันได้หลังจากนี้แต่เขาก็ไม่มีเงินและเวลามากขนาดนั้น ระดับและชนชั้นที่สูงขึ้นก็จะยิ่งใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล
ดังนั้นเขาอยากจะได้สัตว์อสูรที่บินได้ที่มีพลังต่อสู้สูงๆเพื่อเอามันมาเป็นพรรคพวก
มู่ไทยิงเดินเข้ามาและพูดว่า “ขายให้ฉันสิ ฉันต้องการจะซื้อมัน”
เกาเผิงรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าทู่ไทยิงจะต้องการมัน
“เธอแน่ใจหรือ ที่จะเอาค้างคาวตัวนี้” เกาเผิงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจ
“ใช่แล้ว ถึงในสายตาของนายจะคิดว่าค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินไม่ค่อยเก่งแต่พวกเราไม่” เธอกลอกตา
เกาเผิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ การที่พูดในสิ่งที่เขาคิดออกมาตรงๆแบบนี้เขาก็รู้สึกเขินเหมือนกันนะ
ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินมันรับรู้สิ่งที่เกาเผิงได้ มันรู้ว่าไม่มีหวังแต่มันส่งสายตาอ้อนวอนให้ปล่อยมันกับเกาเผิง
แต่เกาเผิงก็ไม่แยแสมัน เขารู้สึกมีความสุขมากที่ได้รับเงินมา
“ดีมากดัมมี่ ฉันจะเลี้ยงอาหารอร่อยๆแก” เกาเผิงพูดอย่างอารมณ์ดีและตบบ่าดีมมี่
ดัมมี่พยักหน้าอย่างงุนงง เมื่อมันเห็นค้างคาวที่นอนอยู่บนพื้นมันก็คิดว่า
’ฉันจะได้กินของอร่อยก็ต่อเมื่อฉันทุบตีค้างคาวสินะ’
มู่ไทยิงได้ดำเนินธุรกรรมของการเงินเสร็จอย่างรวดเร็วและเกาเผิงก็ได้รับการแจ้งเตือนเป็นที่เรียบร้อย
เกาเผิงรู้สึกทึ่ง ‘รู้สึกว่ามู่ไท่ยิงจะเป็นลูกคุณหนูที่ร่ำรวยสินะ’
การจะทพันธะสัญญาเลือดต้องได้รับการยินยองจากทั้งสองฝ่าย การใช้กำลังทุบตีไม่สามารถทำให้มันยอมทำสัญญาได้ ยังไงมันก็เป็นสัตว์ป่า เกาเผิงจึงเตือนมู่ไทยิงว่า
“เธอควรให้ความสนใจเรื่องการโจมตีด้วยเสียงของมัน ในระหว่างที่ทำการปฏิสัมพันธ์กับมัน เธอเองก็ระวังด้วย”
มู่ไทยิงพยักหน้าแสดงว่าเธอเข้าใจ
หลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็ยังมีนักเรียนเตรียมทหารหลายคนยังคงฝึกซ้อมต่อไป เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ใกล้จะถึงการสอบเอนทรานซ์ของพวกเขาแล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
ทั้งสองกำลังออกจากโรงเรียน มู่ไทยิงก็พูดขึ้นมาว่า “สุดสัปดาห์นี้ ฉันของจองคิวนายได้มั้ย”
“จองคิวอะไร?” เกาเผิงถามด้วยความสงสัย
“ก็คิวสำนักงานของนายไง นี่ยังคิดว่าสำนักงานนกร็อคทะยานฟ้าเป็นสำนักงานเล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียง ใครจะเข้าก็ได้รึไง” มู่ไทยิงกล่าว “นี่รู้มั้ยชื่อเสียงในวงการนี้ของนายเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความโลภของนาย แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินมากขนาดไหนก็ตาม คนจำนวนมากก็ยังใช้บริการของนายอยู่ดี ฉันก็เลยอยากจะขอจองคิวไงล่ะ แต่เอาเถอะถ้านายไม่สะดวกก็ลืมๆมันไปซะเถอะ”
“เธอต้องการยกระดับของเม็ดบัวอย่างงั้นรึ” เกาเผิงรู้สึกไม่ดี หากต้องยกระดับของเม็ดบัวขึ้นมันก็จะกลายเป็นระดับมหากาพย์
เกาเผิงไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาสามารถยกระดับสัตว์อสูรให้กลายเป็นระดับมหาพาพย์ได้ง่ายๆ
แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าที่เม็ดบัวอยู่ในระดับมหากาพย์เพราะการเจริญเติบโตของมัน พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าเกาเผิงจะทำได้ แต่ก็เพื่อความไม่ประมาท อะไรก็เกิดขึ้นได้
“ไม่ๆ ฉันต้องการให้ยกระดับเจ้านี่ต่างหาก” มู่ไทยิงชี้ไปที่ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินที่อยู่ใกล้ๆเท้าของเธอ
“เธอแน่ใจหรอกว่าจะให้มันทำพันธะสัญญาเลือดได้ภายในหนึ่งสัปดาห์” เกาเผิงรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด “โอ๊ะ เธอคงมีวิธีสินะ”
วิธีการที่ทำให้พวกสัตว์อสูรเชื่องนั้นมีมากมาย บางครอบครัวก็มีวิธีการลับที่รู้กันแค่ในสมาชิกครอบครัวเท่านั้น
ถึงพวกสัตว์อสูรจะสติปัญญาแต่พวกมันก็เดาความคิดได้ง่ายมาก หากเจอความต้องการของมันและใช้ความชอบนั้นทำให้มันเชื่องและยอมทำสัญญาอย่างง่าย
“อืมใช่แล้ว งั้นฉันไปกอ่นล่ะ คนขับรถมารับฉันแล้ว แล้วเจอกันนะ บ๊ายบาย” มู่ไทยิงกล่าวพลางโบกมือและเดินข้ามถนนไป
มีรถบรรทุกแปดล้อจอดอยู่ตรงนั้น
เกาเผิงรู้สึกอิจฉา เธอเป็นลูกคุณหนูจริงๆ ถึงขนาดมีรถหรูราคาหลายล้านมารับกลับบ้าน
ประตูด้านหลังได้เปิดออก มีแผ่นเหล็กลงมาให้เหยียบขึ้นไปเหมือนบันไดให้เม็ดเดินขึ้นไปพร้อมกับค้างคาวที่บาดเจ็บอยู่หลังของเม็ดบัว
รถบรรทุกได้กลายเป็นยานพาหนะอันหรูหราและยอดนิยมหลังโลกได้ก้าวสู่ยุคใหม่ เพราะพวกรถเก๋งกับรถสปอร์ตมีขนาดเล็กเกินไป ไม่สามารถนำสัตว์อสูรเดินทางไปด้วยได้ จึงทำให้อุตสหกรรมรถยนต์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่