Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 167
‘ความโศกเศร้าที่ค่อยๆ กัดกินจิตใจและร่างกายของพวกเขา ทำให้พวกเขาอยู่อย่างสิ้นหวังและไร้อนาคตในที่สุด’
นี่คือสิ่งที่เกาเผิงได้รับรู้หลังจากที่ได้มาเยือนไบยี่แห่งนี้
เกาเผิงมองพวกเขาอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าบริษัทเซาท์เทิร์นสกายจะสามารถยึดครองที่นี่ได้อย่างง่ายดายเพราะที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลย
ที่นี่มีซู่หงเป็นผู้จัดการของที่นี่ เธอแต่งงานแล้วอายุประมาณสามสิบปี มีลูกชายสองคน ทั้งสองเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้น มีนิสัยไม่กระตือรือร้น
“เอ่อ เรื่องรับสมัครพนักงา…” เกาเผิงถามพลางขมวดคิ้ว
“นายน้อยเกาไม่ต้องกังวลไปครับ มีผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลในเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วครับ” หวังเหลียงกล่าวอย่างเร่งรีบ
เกาเผิงขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เรื่องที่เขาไม่ยอมหยุดเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ สักที
“ต่อไปนี้ให้เรียกผมว่าหัวหน้าเกา หากไม่ยอมทำตาม ผมจะไปบอกคุณตาให้ลดเงินคุณ ทุกครั้งที่คุณเรียกผมด้วยคำอื่น” เกาเผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้หวังเหลียงถึงกับชะงักเลย
“ครับ เข้าใจแล้วครับ หัวหน้าเกา” หวังเหลียงตอบรับอย่างช่วยไม่ได้
เกาเผิงรู้สึกพอใจอย่างมาก ที่ทำให้หวังเหลียงหยุดเรียกได้เสียที
“หัวหน้าเกาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการทำงานในสาขานี้มากนักหรอกครับ เพราะที่นี่มีผู้ทำในส่วนนั้นแล้วครับ งานของหัวหน้าเกามีแค่ดูแลการรับสมัครตำแหน่งเฉพาะทางกับการถ่ายโอนบุคลากรเท่านั้นเองนี้ ฉะนั้นช่วงนี้จะไม่มีงานอะไรให้หัวหน้าเกาทำหรอกครับ”
เกาเผิงไม่รู้จะว่าอะไรดี เขาทำได้แต่พยักหน้าเท่านั้น
เกาเผิงได้เดินสำรวจภายในอาคารสาขา เขาพบว่าที่นี่มีศูนย์ฝึกของสัตว์อสูรด้วย มันอยู่ด้านหลังอาคาร ที่นี่กว้างใหญ่ อุปกรณ์บางส่วนไม่มากนัก แต่ดูเหมือนที่นี่จะถูกร้างมานาน ทำให้อุปกรณ์ที่นี่ดูเก่าและทรุดโทรมมาก
“ทุกสาขามีศูนย์ฝึกแบบนี้ไหมครับ?” เกาเผิงถาม
“ใช่ครับ มีทุกสาขา แต่น้อยมากที่จะมีคนมาใช้ ส่วนใหญ่คนที่มาใช้งานที่เหล่านี้นั้นเพราะพวกเขาไม่มีที่เลยมาใช้ที่นี่” หวังเหลียงกล่าว “ส่วนคนในแผนกรักษาความปลอดภัย จะมีสถานที่ที่หรูหรากว่านี้ครับ เนื่องจากพวกเขาต้องเข้าป่าฝึกภาคสนามอยู่เป็นประจำ มันเลยต่างจากศูนย์ฝึกของแผนกอื่นๆ”
เกาเผิงเม้มครุ่นคิด เขามองดูอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพพวกนี้
“โอเค คุณกลับไปทำงานของคุณได้แล้วล่ะ หากมีเรื่องด่วนช่วยมารายงานผมด้วยนะครับ” ในเมื่อเขามีเวลาว่าง เขาก็ตั้งใจจะฝึกสัตว์อสูรของเขา
“เฟลมมี่มานี่สิ” เกาเผิงโบกมือเรียกเฟลมมี่
เฟลมมี่กึ่งเดินกึ่งบินมาหาเขา
ตอนนี้เฟลมมี่ เลเวลยี่สิบแล้ว มันเติบโตอย่างรวดเร็วมาก หากมันเติบโตไปเรื่อยๆ มันจะสามารถกลายเป็นชนชั้นราชวงศ์
และเฟลมมี่ที่สามารถเลื่อนชนชั้นเป็นนักรบได้ จะทำให้ศักยภาพการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะเขามีสัตว์อสูรที่บินได้มาช่วยต่อสู้
ที่ศูนย์แห่งนี้มีเสาเหล็กอยู่สองสามอัน บินยอดเสามีวงแหวนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสี่เมตรได้
อุปกรณ์นี้มีไว้ใช้ฝึกความคล่องแคล่วพื้นฐานของสัตว์อสูรที่บินได้ เสาเหล็กสามารถโยกย้ายเพื่อสร้างความกว้างในการฝึกได้
“แกยังบินได้ไหม” เกาเผิงถามเฟลมมี่อย่างจริงจัง
เฟลมมี่มองเกาเผิงด้วยสีหน้าว่างเปล่า มันก้มลงมองที่ท้องของมัน พร้อมกับลูบเบาๆ ดูเหมือนมันจะบินลำบากหน่อยเนื่องจากติดพุง
“แกลองพยายามบินก่อนนะ” จากนั้นเกาเผิงเดินไปที่เสาเหล็ก เขาจัดให้เส้นทางเป็นรูปตัวเอสที่ไม่ซับซ้อนมากนัก
“เฟลมมี่แกผ่านวงแหวนพวกนี้นะ ฉันอยากรู้ว่าแกบินเร็วได้มากแค่ไหน” เกาเผิงพูดกับเฟลมมี่
เฟลมมี่ได้ถอยหลังเผื่อเตรียมตัวก่อนจะเปิดปีกกระพืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะใช้ขาข้างเดียวของมันดีดตัวบินขึ้นไป
ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว เกาเผิงก้มหน้าปิดจมูกหลับตาทันที
เฟลมมี่ได้เหยียดตัวสะบัดปีกบินขึ้นไปอย่างสง่างาม จากนั้นมันก็กำลังจะบินผ่านวงแหวนอย่างความเร็วสูงดั่งขีปนาวุธ
ตึง!
เฟลมมี่ได้พุ่งชนวงแหวนอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้นดิน มันกลิ้งไปบนพื้นไปหลายตลบ มันลุกขึ้นมองสภาพของตัวเองด้วยความสิ้นหวัง
เกาเผิงยืนดูอยู่นิ่งๆ เขารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
“เฟลมมี่ แกลองบินง่ายๆ ดูก่อนที่จะทำอะไรยากนะ ไม่ต้องท้อไปนะ ฉันเชื่อว่าแกต้องทำได้” เกาเผิงเดินไปพยุงเฟลมให้ลุกขึ้นมาและพูดให้กำลังใจมัน
หลังจากนั้นตลอดทั้งช่วงบ่าย ศูนย์ฝึกแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงเชียร์ของเกาเผิงกับเสียงกระพือปีกของเฟลมมี่ หลังจากที่เฟลมมี่ฝึกไปสองชั่วโมง มันสามารถบินผ่านวงแหวนได้ในที่สุด
เจ้านกอ้วนได้หมุนควงสว่านผ่านวงแหวนทั้งหมด ก่อนจะร่อนลงสู้พื้นอย่างสวยงาม
เฟลมมี่ลืมตาก่อนจะท้องขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นมันก็เริ่มหัวเราะออกมา
จู่ๆ เฟลมมี่ก็เกิดอาการสะอึกขึ้นมา หลังจากนั้นก็มีเปลวไฟสีแดงโผล่ออกมาจากปากของมันและไฟสีแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากทั่วทั้งร่างกายของมัน
เลเวล ยี่สิบเอ็ด
‘หืม เลเวลอัปเหรอ’
ดวงตาขอเกาเผิงได้กระตุกทันที
การที่เฟลมมี่ได้เลื่อนชนชั้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขามากนัก เพราะที่ผ่านมามันกินอาหารที่มีโภชนาการสูงในปริมาณมากกับการฝึกฝนที่ผ่านมามีรุนแรงสูงมากและสุดท้ายคือพรสวรรค์โดยธรรมชาติของมันที่ทำให้มันสามารถเลื่อนชนชั้นได้
แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นเกาเผิงก็อดทึ่งไม่ได้
ไฟที่อยู่บนตัวของเฟลมมี่ได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไฟได้แพร่กระจายไปทั่ว
มันได้ยกคอขึ้นและปากของมันชี้ไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็กางปีก ไฟสีส้มที่แพร่กระจายตัวอยู่ ได้โอบล้อมรอบตัวมันเป็นทรงกลม
ไฟนี้ได้ดึงดูดพนักงานในอาคารที่กำลังทำงานอยู่ พวกตกใจนึกว่าเกิดเหตุอัคคีภัยที่ศูนย์ฝึกแห่งนี้ พวกเขาวิ่งมาพร้อมกับถังดับเพลิง
แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าสาเหตุเกิดมาจากสัตว์อสูรของเกาเผิงพวกเขาไม่รู้จะอยู่ต่อหรือเดินออกไปดี
จนในที่หวังเหลียงก็เดินมาและไล่พวกเขาให้กลับไปทำงาน
“เหตุการณ์ปกติ ทุกคนไม่ต้องตกใจ นี่เป็นสัตว์อสูรของหัวหน้าเกา ทุกคนกลับไปทำงานได้แล้ว”
จากนั้นเหล่าพนักงานก็ทยอยเดินออกจากศูนย์ฝึก เมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้วหวังเหลียงก็เดินออกไป
เกาเผิงไม่คิดว่าการเลื่อนชนชั้นของเฟลมจะอลังการงานสร้างขนาดนี้
เขาคาดหวังเป็นอย่างมากว่าลักษณะพิเศษของเฟลมมี่จะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับพลังไฟฟ้าของต้าซื่อ พลังดินของสตีปี้ หรือพลังกล้ามเนื้อของดัมมี่นั้น พลังไฟของเฟลมมี่ต้องทรงมากกว่าสัตว์อสูรตัวอื่นของเขาแน่ๆ
สิบนาทีผ่านไป เปลวไฟที่อยู่รอบตัวมันก็ค่อยๆ ดับลง ตัวมันยังอ้วนเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปก็คือขนของมันจากที่เป็นสีขาวตอนนี้ได้กลายเป็นสีแดงอ่อนแล้วและขนาดร่างกายของมันใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้มันสามารถบินขึ้นอย่างง่ายดายและมั่นใจมากขึ้น แม้ว่ามันพุงมันจะป่องอยู่แต่มันก็สามารถบินได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก
มันบินผ่านวงแหวนแต่ละวงได้อย่างง่ายดาย มันดูมีความสุขมาก
เกาเผิงอดไม่ได้ที่ยิ้มและมีความสุขที่เห็นมันทำได้ยอดเยี่ยมแบบนี้
การที่ได้เห็นความสุขที่เรียบง่ายของเฟลมมี่นั้น ทำให้เกาเผิงนึกถึงวลีหนึ่งขึ้นมา
‘ฉันจะไม่มีทางเหงาและเดียวดาย ตราบใดที่ฉันรู้สึกมีความสุขในทุกวัน’
………………………………….