Monster Pet Evolution – วิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงกลายพันธุ์ - ตอนที่ 168
เกาเผิงรีบตรวจสอบข้อมูลของเฟลมมี่ทันที เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีลักษณะพิเศษของเฟลมมี่ที่ถูกปลุกขึ้นมา
ลักษณะพิเศษของมันค่อนข้างเรียบง่ายและเข้าใจง่ายแต่เกาเผิงไม่แน่ใจว่ามันใช้งานอย่างไร
ชื่อสัตว์อสูร นกกระเรียนชาดเปลวอัคคี
เลเวล ยี่สิบเอ็ด
ระดับ สมบูรณ์
คุณสมบัติ ธาตุไฟ
ลักษณะพิเศษ ขนประกายเพลิง รูปแบบติดตัว จะเริ่มค่าต้านทานไฟให้กับนกกระเรียนชาดเปลวอัคคี
รูปแบบแสดงผล หากนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีผลัดขนออกจากร่างกายใส่ศัตรู ขนจะติดไฟหลังจากทำปฏิกิริยาในอากาศ หลังจากนั้นจะทำให้เกิดการระเบิดในที่สุด
ความต้องการในการยกระดับ คริสตัลเทวาเพลิงกัลป์ห้าร้อยจิน ผลไม้ลึกลับอย่างน้อยสามผล และเยื่อไขกระดูกอัคนีหนึ่งอัน
เกาเผิงรู้สึกงงกับคำอธิบายมาก มันบอกแค่ว่าระเบิดเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าระเบิดแรงแค่ไหนและการระเบิดไม่ได้มาขนนกแต่เกิดจากการทำปฏิกิริยาบางในอากาศ อาจเป็นไปได้ระเบิดของขนนกนี้จะกินบริเวณกว้างเหรอ อย่างไรก็ตามที่นี่ดูเหมือนจะไม่เหมาะจะใช้ทดสอบลักษณะพิเศษอันนี้
ข้อเสียอย่างเดียวของลักษณะนี้ก็คือ จำเป็นต้องใช้ขนของเฟลมมี่ เป็นสื่อกลางในการระเบิด หากเขาใช้มันบ่อยเกินไป มันคงไม่เหลือขนไว้ปกคลุมร่างกายของมันแน่ๆ
เฟลมมี่ที่โบยบินอย่างมีความสุขบนอากาศโดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เจ้านายของมันคิดนั้นน่ากลัวเพียงใด
เกาเผิงได้เงยหน้าไปมองเฟลมมี่ เขามองและเม้มปากเบาๆ
มันช่างต่างตอนแรกที่มาหาเขา มันทั้งเศร้าทั้งเคียดแค้น ราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่เพื่อการแก้แค้นเท่านั้น เขากลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะตกหลุมพรางของศัตรูเข้าสักวัน
เขาไม่ต้องการให้ความแค้นของมันหายไป แต่เขาก็ไม่ต้องการให้มันใช้ชีวิตต่อไปโดยที่มันถูกความโกรธครอบงำเช่นกัน
ถึงตอนนี้เฟลมมี่จะมีความสุขในทุกวันๆ แต่เขาไม่รู้มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
“เฟลมมี่ แกรู้ไหม ต่อให้แกจะเลื่อนชนชั้น ความอ้วนของแกไม่มีวันหายไปไหนหรอกนะ แกจะอ้วนอย่างนี้ตลอดไปและไม่มีหายอ้วนไปได้” เกาเผิงพูดเรื่องนี้กับเฟลมมี่ออกมาดังๆ
เฟลมมี่ที่กำลังบินอย่างมีความสุข มันก็ได้ชะงักอย่างกะทันหัน โชคดีที่มันไม่ได้ชนเสาอีกในคราวนี้ มันได้ร่อนลงสู่พื้นและพลางสำรวจร่างกายของมัน จากนั้นใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและมันก็เริ่มสะอื้นออกมา
“ฮ่าๆๆ ฉันแค่ล้อเล่น แกต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้” เกาเผิงหัวเราะกับปฏิกิริยาของเฟลมมี่
หลังจากนั้นเฟลมมี่ก็ทำการฝึกฝนต่อไปเพื่อให้คุ้นเคยกับร่างใหม่ของมัน ผ่านไปสักพักเกาเผิงก็ให้มันไปพัก จากนั้นเขาก็เดินมาหาดัมมี่ที่กำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่และพูดว่า
“ดัมมี่มานี่สิ”
ตามตัวของดัมมี่มีถุงเหล็กหนึ่งโหลผูกตามตัวของมัน หลังจากที่เจ้านายได้ส่งเสียงเรียกมัน มันก็ปล่อยดัมเบลยักษ์ลงและเดินตามเจ้านายของมันไปพร้อมกับเฟลมมี่และซิลลี่
หลังจากนั้นศูนย์ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งและอากาศก็เริ่มเหม็นอับ ท้องฟ้าได้มืดลงเรื่อยๆ
ตรงมุมศูนย์ฝึกได้มีของบางอย่างเคลื่อนไหวและมีอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากตรงนั้น
ที่ศูนย์ฝึกแห่งนี้มีทางเข้าออกเดียวและต้องผ่านคลังสินค้าก่อนจะผ่านมาได้ จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนมา
‘แล้วทำไมอุปกรณ์ที่ดูทรุดโทรมอย่างผิดปกติ’
เกาเผิงทำทีเดินออกมาข้างนอก หลังจากนั้นเขาก็เดินไปหลบอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลๆ เขามองไปที่กระดานที่ถูกเปิดออก จากนั้นก็มีหนูสีน้ำตาลเข้มโผล่ออกมา แต่สีของมันน่าจะเป็นสีเลือดแต่มันสกปรกเกินไปทำให้สีของมันเปลี่ยนไปแบบนี้
เจ้าหนูสีน้ำตาลมันได้สูดจมูกฟุดฟิดไปทั่ว แววตาของมันดูหวาดวิตกมาก มันกลัวใครจะมาเห็นมัน
มันได้สูดกลิ่นมาทางทิศที่เกาเผิงอยู่แต่มันก็ไม่เจออะไร
จากนั้นเจ้าหนูก็กลับหลังไปและส่งเสียงจี๊ดๆ ออกมา
ผ่านไปสักพักก็มีเด็กชายตัวเล็กโผล่ออกมาจากแผ่นกระดานที่เปิดออกมา
เด็กชายคนนี้ดูสกปรกมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้ามอมแมม เขาใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่มีรูขาดเล็กน้อย ถึงแม้เด็กคนนี้จะสภาพแบบนี้แต่ดวงตาของเขากลับมีแววตาที่สดใส
เขามองซ้าย มองขวา จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีอยู่ที่นี่
จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่ศูนย์ฝึก เขาไปหยิบอุปกรณ์ที่ฝึกสัตว์อสูรจำพวกหนูออกมา จากนั้นเจ้าหนูก็ออกฝึกอย่างต่อเนื่อง มันคุ้นเคยกับอุปกรณ์ที่มากราวกับว่ามันฝึกที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เจ้าหนูเริ่มเหนื่อยไม่มีแรง บางทีมันอาจไม่ได้รับสารอาหารของเพียงพอ จึงทำให้มันฝึกได้ช้าลงและหยุดในที่สุด
เด็กชายได้เดินไปถอดอุปกรณ์ของเจ้าหนูออกและนำไปเก็บไว้ที่เดิม จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดและเริ่มทำความสะอาดศูนย์ฝึก
สำหรับเด็กเล็กงานประเภทนี้มันค่อนข้างเหนื่อยไปหน่อย ทำให้ร่างของเด็กชายเต็มเหงื่อ เมื่อเขาทำความสะอาดเสร็จ เด็กชายได้โค้งคำนับสามครั้งไปในทิศทางของห้อง จากนั้นเขาก็พาเจ้าหนูไปที่รูบนกำแพง
เกาเผิงจำสิ่งที่หวังเหลียงได้พูดกับเขาไว้ว่าผู้คนในเขตไบยี่แห่งไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่ของที่นี่ พวกเขาต่างทำงานหนักเพื่อที่จะออกไปจากที่นี่ไปหมดแล้ว ส่วนคนที่ยังอยู่ที่นี่พวกเขาก็อยู่อย่างเรื่อยเปื่อยไม่คาดหวังอะไรกับอนาคต
‘ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเล่ามา จะไม่ใช่ความจริงซะทั้งหมดนะ’
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนต้องก็มีผู้คนที่ต้องการหนีจากความมืดมน ออกไปสู่หนทางของแสงสว่างในที่สุด
พวกเขาเต็มไปด้วยความหวังแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เด็กชายได้คลานกลับออกมาจากรูบนกำแพงอีกครั้ง เขาคลานไปชนอะไรบางอย่าง ทำให้เขาล้มลงก้นกระแทกพื้น
เขามองไปข้างหน้า ก่อนเงยหน้ามองไปด้านบน
มีร่างขนาดใหญ่ยืนขวางเขาอยู่ ที่ตาของเขามีไฟสีฟ้าลุกโชนอยู่ ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่มืด
ดวงตาของเด็กชายได้เบิกกว้างกับภาพข้างหน้า เขาตกใจเป็นอย่างมาก
หนูสีน้ำตาลที่อยู่ข้างหลังเขาพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ดัมมี่
“เธอแอบเข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” เกาเผิงเดินออกมาจากหลังของดัมมี่อย่างเงียบๆ
เด็กชายได้ตัวแข็งทื่อทันที เขาก้มหน้าไม่กล้าสบตาของเกาเผิง หลังจากนั้นเขาก็พึมพำว่า
“ผะ…ผมเข้ามาที่นี่ได้ครึ่งปีแล้วครับ”
“อืม หลังจากนี้ก็เธออย่าใช้มันอีก” เกาเผิงกล่าว
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วครับ พี่ชาย” เด็กกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“แต่ให้เธอมาที่ประตูหน้าแทนในครั้งต่อไป ฉันจะหาคนมาทำบัตรประจำตัวให้เธอ” เกาเผิงหันหลังและเดินจากไป “หากเธอจะมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ ก็บอกคนที่ในอาคารว่า เกาเผิงได้ส่งให้เธอมา”
………………………………….