MPESIH-ระบบจักรพรรดิไร้เปรียบ - ตอนที่ 142
เหลียนป๋อพูดแบบนี้ ลู่เฟิง ก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้ เขาได้แต่งตั้งให้ เหลียนป๋อ เป็นผู้บัญชาการทหารคอยพิทักษ์ชายแดนของเมืองฉิวซาน และ เขายังทิ้งกองทัพมากกว่า 300,000 นายทิ้งไว้ที่นี่
สองวันต่อมา ลู่เฟิง ได้นำทหารม้ากว่าพันตัวพร้อมกับ เจี๋ยสวี่ และ ลิโป้ ออกจากเมือง ผิงกวง
เขาได้พา เตียวอุ๋น ไปด้วย
ตอนนี้ เกาชุน กำลังฝึกทหารจำนวน 1.25 ล้านคนอยู่แน่นอนว่าเขาคงไม่สามารถกลายเป็นผู้บัญชาการทหารองค์รักษ์พิทักษ์อาณาจักรได้อีกต่อไป เขาตั้งใจจะแต่งตั้งให้ เตียวอุ๋น เป็นแทน
อีกฝ่ายมีพรสวรรค์ในฐานะแม่ทัพและมีความสามารถที่ดีเกินพอที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารองค์รักษ์พิทักษ์อาณาจักร
อย่างไรก็ตามในความคิดของลู่เฟิง ผู้บัญชาการทหารองค์รักษ์พิทักษ์อาณาจักรที่ดีที่สุดก็คือ เสี่ยวจู้ แม่ทัพที่ดุร้ายและรู้จักกันในนามของ ‘พยัคฆ์เขลา’ แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ถูกเรียกตัวออกมา
กลับมาที่เมืองฉิวซาน ซุนฮก ได้พาทหารไปยังที่ราบลั่วซานและส่งพวกเขาไปให้เกาชุน เพื่อฝึกฝน
ส่วนที่เหลือมีทหารกว่า หนึ่งแสนนาย และทหารม้าอีกกว่าหมื่นคนได้มุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
ไม่ไกลจากที่ราบลั่วซาน จู่ ๆ ลิโป้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาได้กล่าวพูดขึ้น”นั่นใคร?”
เมื่อสิ้นเสียง คนทั้งหกคนก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้ากองทัพ
ทั้งหกคนมีลักษณะที่แตกต่างกัน
คนหนึ่งคลุมหน้าด้วยผ้าสีดำครึ่งหนึ่งและอีกคนปิดตาด้วยผ้าสีดำ
คนหนึ่งถือดาบสองเล่มไว้ข้างหลังส่วนอีกคนเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและหยิ่งผยอง
ในหมู่พวกเขามีหญิงสาวสองคนที่ดูเป็นลักษณ์น้ำหนึ่งเดียวกัน!
ทาสดาบทั้งหก!
ลู่เฟิง ได้หรี่ตาเล็กน้อยและรอให้พวกเขาเข้ามา
“พวกเจ้ามีธุระอะไร?”
ลิโป้ ได้จ้องมองไปที่คนทั้งหกคนที่อยู่ตรงหน้า ง้าวฟางเทียนในมือของเขาได้กำแน่นและพร้อมจะพุ่งโจมตีออกไปทุกเวลา
ทั้งหกคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกัน
นั่นคือกลิ่นอายสังหาร!
มันเป็นกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งมาก!
“พวกเราทาสดาบทั้งหกถวายบังคมฝ่าบาท!”
ชายผ้าสีดำปิดใบหน้าได้ก้าวเดินไปข้างหน้าและโค้งคำนับเล็กน้อย
ชายคนนี้ก็คือ เฉินกัง หัวหน้าทาสดาบทั้งหก ส่วนที่เหลืออีก 5 คนได้ยืนแน่นิ่งราวกับหุ่นที่ไร้ชีวิต
“ฝ่าบาท?”
ลิโป้ รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะพุ่งไปถึงระดับ 2 ขั้นปรมาจารย์ แต่เขารู้สึกว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากับคนทั้งหกคนที่เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
หากเขาต้องการจะชนะเขาคงต้องจ่ายราคาที่เหมาะสม!
เจี๋ยสวี่ ได้หรี่ตาลงเล็กน้อยและพึมพัมในใจ”กลุ่มคนเหล่านี้เป็นใคร ทำไมจินยี่เหว่ย ถึงไม่มีข่าวเลย?”
“ดูเหมือนว่าฝ่าบาท จะมีอะไรมากกว่าที่ข้าเห็น แต่เช่นนี้ก็ดี ในฐานะข้าราชบริพาร การที่ไม่สามารถหยั่งลึกถึงตัวจักรพรรดิได้ นี่แสดงให้เห็นถึงบารมีของจักรพรรดิ”
ซุนฮก ก็แอบคิดในใจ เขารู้สึกโล่งใจที่ทั้งหกคนนี้ เป็นคนของ ลู่เฟิง
แม้ว่า ซุนฮก จะเป็น ขุนนางในราชสำนัก แต่เขาก็มาถึง ระดับ 6 ขั้นเชื่อมจิตวิญญาณแล้ว โดยธรรมชาติเขาสามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของทั้งหกคนว่าทรงพลังเพียงใด เพียงแค่กลิ่นอายสังหารที่อยู่บนตัวของคนเหล่านี้ก็ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออกแล้ว
แต่สุดท้ายคนเหล่านี้กลับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาท!
ลู่เฟิง มองไปที่ ทาสดาบทั้งหก และ พยักหน้า”พวกเจ้าคอยติดตามรับใช้ข้าในอนาคต”
“พวกเราทาสดาบทั้งหกรับคำสั่ง!”
ทั้งหกคนได้โค้งตัวลงเล็กน้อย ลู่เฟิง สั่งให้ทหารยามมอบม้าทั้ง 6 ตัวให้ทั้ง 6 คน
ทั้งหกคนได้เข้ามาร่วมขบวนกองทัพและกองทัพก็ออกเดินทางต่อไป
เขาไม่ได้ดาบทาสดาบทั้งหกมากนักเพราะทั้งหกคนเป็นนักฆ่าทุกคนเป็นเครื่องจักรสังหาร
คุณยังจะคาดหวังที่จะคุยกับเครื่องจักรงั้นเหรอ?
กองทัพยังคงมุ่งหน้าเดินทัพต่อไปยังเมืองหลวง
แต่ในเวลานี้ภายในราชอาณาจักรกำลังดุเดือด
ข่าวเรื่องที่ จักรพรรดิลู่เฟิง นำกองกำลัง 800,000 นาย ไปจัดการ ราชาเมกาทรอน ที่เมืองงูหยก ไม่กี่วันต่อมา ราชาเมกาทรอนก็พ่ายแพ้ กองทัพทั้งหมดแตกสลาย ราชาเมกาทรอนถูกฆ่าตาย! เขาได้รับทหารราบ 200,000 นาย และ ทหารม้าอีก 80,000 นาย กลับมา!
เจี๋ยสวี่ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของจักรพรรดิลู่เฟิง นำทหาร 50,000 นายไปสร้างแผนการพิษ สังหารโหดปล่อยน้ำท่วมจุดไฟเผากองทัพ 650,000 นาย ของลู่เฟิง ชื่อเสียงของ นักวิชาการพิษได้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งโลก!
จักรพรรดิลู่เฟิง สามารถตัดศีรษะ แม่ทัพฝ่ายศัตรูที่นำกองทัพ 700,000 นาย ตามแผนของ ข้าราชการคนสนิท เขาได้สังหารกองทัพ 100,000 นาย และ ได้รับทหารกลับมา 750,000 นาย
จักรพรรดิลู่เฟิง นำกองทัพ 400,000 นาย โดยมี อัครมหาเสนาบดีเจี๋ยสวี่ และ เสนาบดีซุนฮก รวมถึง แม่ทัพลิโป้ บุกโจมตีเมืองฉิวซาน เพียงใช้เวลาไม่กี่วัน ปราการเมืองชั้นนอกก็แตก และ ไม่กี่วันต่อมาปราการเมืองชั้นในก็แตก ทั้งยังได้รับทหาร 150,000 นายกลับมา!
จักรพรรดิลู่เฟิง นำกองทัพ 300,000 นาย บุกโจมตีเมืองเสี่ยวหลิงตู่ โดยมีแม่ทัพเฒ่าเหลียนป๋อ ซุ่มโจมตีคอยช่วยเหลือ ร่วมมือกันตัดหัวศัตรู 450,000 นาย และ มีทหารยอมจำนนกว่า 150,000 นาย!
จักรพรรดิลู่เฟิง นำกองทัพ ไปสยบทหารผ่านศึกอย่าง เตียวเฮยฉี และ ได้รับกองทัพกลับมาอีก 400,000 นาย!
จักรพรรดิลู่เฟิง นำกองทัพ 700,000 นาย ประทับที่เมืองผิวกวงเพื่อเขย่าขวัญคนจากอาณาจักรหงเป่าและบังคับให้กองทัพของอีกฝ่ายที่รวมตัวกันถอยร่นกลับไป
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือนกองกำลังอันยิ่งใหญ่ของราชาเมกาทรอนที่มีมากกว่าสามล้านคนได้ถูกทำลายลง เพียงระยะเวลาหนึ่งเดือน จักรพรรดิ ลู่เฟิง สามารถนำกองทัพเหล่านี้ไปสู่ความพ่ายแพ้ได้อย่างสมบูรณ์
กองทัพสามล้านกว่า 1.5 ล้านคนได้ถูกตัดศีรษะ และมีจำนวนทหารทั้งหมด 1.73 ล้านคนที่ยอมแพ้!
นอกจากนี้ แม่ทัพเกาชุนยังรั้งอยู่ที่ราบลั่วซานโดยการตั้งค่ายฝึกทหารชั้นยอดหลังจากนี้อีกสามเดือนกองทัพภายใต้บัญชาของจักรพรรดิลู่เฟิงจะมีมากกว่า 2.6 ล้านคน!
ข่าวดังกล่าวได้ถูกแพร่ออกไปยังมณฑลต่าง ๆ ของอาณาจักรผ่านจินยี่เหว่ย ทำให้ทั่วโลกสั่นสะเทือนผู้คนหลายร้อยล้านคนต่างก็ตกตะลึงโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังมีอีกหลายพันตระกูลที่สั่นสะท้าน
โดยเฉพาะตระกูลเหล่านี้
พูดให้ชัดก็คือ ตระกูลเหล่านี้ ลุกขึ้นมาและสนับสนุน ราชาเมกาทรอนลู่เว่ย ให้ยกกองทัพบุกโจมตีเมืองหลวงเพื่อสังหารจักรพรรดิลู่เฟิง
พวกเขาล้วนตกใจ!
พวกเขาตื่นตระหนก!
นี่เป็นความผิดพลาดของพวกเขา!
ราชาเมกาทรอนลู่เว่ย ตายแล้ว กองทัพทั้งหมดพ่ายแพ้ และ อาณาจักรหนานหยาน ถูกปกครองโดยลู่เฟิงโดยสมบูรณ์
ใครจะสามารถยืนหยัดต่อต้าน จักรพรรดิทรราช ลู่เฟิงได้อีก?
ไม่มีใครกล้าออกมา!
ไม่มีใครกล้าพูด
บรรดานักวรรณกรรมของราชวงศ์ได้ขับร้องบทกวีเพื่อล้อเลียนราชาเมกาทรอนและแม้แต่ตระกูลขุนนางของอาณาจักรที่หวาดกลัว
เดิมตระกูลขุนนางเหล่านี้ไม่มีใครกล้าทำให้พวกเขาเดือดร้อน
ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ลู่เฟิง สามารถแก้ไขวิกฤติปัญหาไปได้แล้ว อีกฝ่ายจะกลายเป็นผีร้ายคอยหลอกหลอนพวกเขา
ตระกูลบางตระกูลที่ชาญฉลาดพวกเขารีบส่งคนไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าพบขุนนางอาวุโส ขอให้พวกเขาได้กลับมารับใช้จักรพรรดิลู่เฟิงต่อ
บางตระกูลที่ฉลาดกว่า พวกเขาเลือกที่จะออกจากอาณาจักรพร้อมกับทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูล แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกจากอาณาจักร คมดาบของ จินยี่เหว่ย ก็ได้ปลิดชีวิตของพวกเขาไปแล้ว
ชัวขณะเดียวกัน ตระกูลขุนนางทั้งหมดได้ตกอยู่ในความโกลาหล
มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่เหลืออยู่และรอให้ลู่เฟิงไปจัดการกับพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
ไม่กี่วันต่อมา ลู่เฟิง ได้นำกองทัพกลับมาถึงเมืองหลวง
ในวันเดียวกันเขาก็ได้จัดการประชุมขึ้นและสั่้งให้ขุนนางในราชสำนักทุกคนไปรอที่ห้องโถงเจิ้งหลง
“ฝ่าบาท พระองค์กลับมาแล้ว!’
ฮวามู่หลาน ได้จ้องมองไปที่ ลู่เฟิง ด้วยความตื่นเต้น
“มู่หลาน ข้ากลับมาแล้ว มาให้ข้ากอดเจ้าหน่อยเถอะ!”ลู่เฟิง ได้อ้าแขนรอและสวมกอดมู่หลานด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของ มู่หลาน ได้แดงก่ำพร้อมกับกล่าวพูดกับลู่เฟิง”ฝ่าบาทยังมีคนอยู่ที่นี่นะเพคะ!”
ตอนนี้ ทาสดาบทั้งหกคนได้ออกไปยืนรออยู่นอกประตูวังอย่างเงียบ ๆ
“ฮ่าฮ่า!’
ลู่เฟิง ได้จ้องมองไปที่ มู่หลาน ที่มีใบหน้าแดงก่ำเขาได้กล่าวพูดขึ้น”มู่หลาน รอข้าก่อนนะ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะกลับมาหาเจ้า!”
หลังจากพูดจบเขาก็สวมเสื้อคลุมมังกรและออกจากห้องนอนไปที่ห้องโถงเจิ้งหลง
บรรดาขุนนางราชสำนักของอาณาจักรได้รออยู่ในห้องโถงเจิ้งหลงหมดแล้ว
เขาไม่สามารถปล่อยให้ขุนนางในราชสำนักรอนานได้
ใบหน้าที่สวยงามของ ฮวามู่หลาน ได้แดงก่ำราวกับลูกท้อเธอก้มหน้าลงและไม่ได้พูดอะไร
คนที่สามารถทำให้ วีรสตรีหญิงในประวัติศาสตร์สามารถทำตัวเหมือนเด็กสาวเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่ลู่เฟิงเพียงคนเดียว