MPESIH-ระบบจักรพรรดิไร้เปรียบ - ตอนที่ 260
จิ้งซือหรง บนภูเขา ติงจิ้ง มองเห็น กองทัพของ ลู่เฟิง ที่ถอย และหยุดกระทันหัน สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างมาก”ไม่ดีแล้ว!”
“เร็ว ๆ เข้า รีบส่งทั้งสามทัพให้ถอยกลับมา!”
จิ้งซือหรง ตะโกนเสียงดัง องค์ชายที่อยู่ข้างหลังของเขาดูตะลึงเล็กน้อยเขามองไปที่ จิ้งซือหรง อย่างแปลกประหลาดและกล่าวถาม”จิ้งซือหรง เจ้าคิดว่า คำสั่งโจมตีนั้น เป็นเรื่องตลกล้อเล่นหรืออย่างไร?”
“เวรเอ้ย!”
จิ้งซือหรง เต็มไปด้วยความโกรธเขาได้ตะโกนออกมา”ท่านไม่เห็นหรืออย่างไรว่า ศัตรูได้เตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว พวกมันเพียงรอให้พวกเราเข้าชาร์จ และ จะสังหารเราทั้งหมด”
องค์ชาย ได้จ้องมองไปที่ จิ้งซือหรง ทันที”หุบปาก จิ้งซือหรง อย่าได้หลงลืมสถานะของตนเอง แม้เจ้าจะเป็นแม่ทัพแต่เจ้าก็เป็นเพียงสุนัขของราชวงศ์ของข้าเท่านั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าสามารถปลดยศตำแหน่งของเจ้าได้!”
เมื่อ จิ้งซือหรง ได้ยินดังนั้น หัวใจของเขาก็ขมขื่นมาก ไม่แปลกใจที่กองทัพของอาณาจักรอู๋เซียงจะไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการรบได้
ปรากฏว่าแม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรอู๋เซียงก็ยังเป็นเช่นนี้
สุนัข?
ไม่น่าเล่า เพราะอีกฝ่ายคิดว่าแม่ทัพที่หาญกล้าเป็นเพียงสุนัข ไม่แปลกใจที่จะไม่หลงเหลือแม่ทัพเก่ง ๆ อยู่
เขาไม่แปลกใจ
ไม่แปลกใจที่อัจฉริยะจำนวนมากจากตระกูลต่าง ๆ เลือกที่จะไปเรียนที่สำนักร้อยก๊ก แทนที่จะอยู่อาณาจักรอู๋เซียง ปรากฏว่าทัศนคติของราชวงศ์ที่มีต่อพวกเขามันต่ำต้อยมาก
ดังนั้น แม่ทัพของอาณาจักรอู๋เซียงตอนนี้ จึงเหลือเพียงทหารที่มีทักษะธรรมดา
ในเวลานี้ จิ้งซือหรง รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาไม่น่ามาที่อาณาจักรอู๋เซียงเพราะความสัมพันธ์เช่นนี้ ถ้าเกิดเขาไปที่ อาณาจักรหงเป่า ด้วยความสามารถของเขาสามารถเป็นแม่ทัพได้ไม่ยาก
ช่างน่าสมเพชเสียจริง!
เขาตัดสินใจมาที่อาณาจักรอู๋เซียงได้ยังไง!
“ท่านแม่ทัพ…นั่นมันขบวนพลซุ่มยิงหรือไม่?”
ขณะที่ หัวใจของ จิ้งซือหรง รู้สึกขมขื่น ทหารของเขาก็ชี้ไปที่สนามรบและมองดูกองทัพของ ลู่เฟิง ที่เปลี่ยนไป
จิ้งซือหรง ได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจอย่างมากกับองค์ชายแห่งอาณาจักรอู๋เซียง แต่เขาก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการ
เขาหันศีรษะมองไปที่สนามรบและมองดูการเปลี่ยนแปลงกองทัพของลู่เฟิงเขาได้ตะโกนเสียงดัง”สั่งการให้กองทัพถอนกำลังออกมา!”
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คำสั่งของเขาส่งมาช้าเกินไป กองทัพของอาณาจักรอู๋เซียง ได้รีบเร่งไปถึงระยะโจมตีของพลธนูแล้ว
“ยิงได้!”
เมื่อทหารของอาณาจักรอู๋เซียงมาถึงระยะโจมตีที่เหมาะสม แม่ทัพที่ดูแลขบวนซุ่มยิงได้สั่งการทันที
มีการวางเกาทันฑ์มากกว่าสองร้อยคันที่นี่
ลูกศรหน้าไม้ขนาดใหญ่ได้พุ่งออกไปกลายเป็นการโจมตีที่ร้ายแรง
ลูกศรหน้าไม้เหล่านี้ถ้าโชคดีย่อมสามารถฆ่าทหารหลายสิบคนของอาณาจักรอู๋เซียงได้ในคราวเดียว
ถึงแม้จะโชคร้ายยิงไม่ดีแต่ก็ยังฆ่าคนได้หลายคน
หลังจากการซุ่มโจมตีเพียงระลอกเดียว ทหารของอาณาจักรอู๋เซียงมากกว่า 1,500 นายได้ล้มลงกับพื้น
ทหารของอาณาจักรอู๋เซียง แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้
“ปะทะ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่เฟิง ได้สั่งให้ทหารราบเข้าชาร์จ
แม้ว่าคำสั่งถอยทัพจะถูกส่งลงมา แต่เขาก็ต้องมองหาโอกาสให้ เสี่ยวจือ ยึดครองภูเขาติงจิ้ง ตอนนี้เขามีโอกาสที่จะฆ่าศัตรูมากขึ้นทำให้เขาไม่ปล่อยให้ศัตรูหลบหนีไปได้ง่าย
ทหารของอาณาจักรหนานหยาน เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจที่สูงส่ง
ทหารของอาณาจักรอู๋เซียงล้วนสูญเสียขวัญกำลังใจอย่างหนักเมื่อเผชิญหน้ากับทหารชั้นยอดของอาณาจักรอู๋เซียง การสังหารย่อมเกิดขึ้นอีกครั้ง
ฟวั่บ!
ฟวั่บ!
ฟวั่บ!
จิ้งซือหรง รู้ว่าทหารของอาณาจักรอู๋เซียง ย่อมไม่สามารถต่อกรกับทหารของอาณาจักรหนานหยานที่มีขวัญกำลังใจทหารสูงได้
หลังจากรอให้ ลู่เฟิง ไล่ฆ่าได้สักพัก เขาก็สั่งให้ทหารถอยหนีออกมา
ตอนนี้สงครามเริ่มมานานแล้วและมันยืดเยื้อจนสถานการณ์เริ่มเหนื่อยหน่ายหากการสู้รบดำเนินต่อไปยากที่จะบอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป
กองทัพของทั้งสองฝ่ายได้ถอนทัพออกมาและกลับไปที่ค่ายของตนเอง
ช่วงเวลาพลบค่ำ!
ในอีกด้านหนึ่งของสนามรบสถานที่ตั้งของทัพพยัคฆ์ตอนนี้การต่อสู้ได้ยุติลงแล้ว
“ท่านแม่ทัพ เราสูญเสียพี่น้องไป 30,000 คนในการสู้รบครั้งนี้ แต่ฆ่าศัตรูไปได้ 60,000 คน จับได้อีก 10,000 กว่าคนที่เหลือสามารถหลบหนีไปได้”ทหารคนหนึ่งได้เข้ามารายงาน
เสี่ยวจือ รู้สึกปวดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ทัพพยัคฆ์ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การสูญเสียพี่น้องไปมากกว่า 30,000 คนมังช่างปวดใจจริง ๆ
แม้ผลลัพธ์ที่ได้จะยิ่งใหญ่กว่าแต่เขาไม่มีความสุข
เขาได้สูดลมหายใจเข้าลึก”ส่งคำสั่งลงไป ฆ่าทัพมังกรอู๋เซียงทั้งหมดอย่าให้เหลือ”
ทหารมองไปที่เสี่ยวจือและพยักหน้ารับคำสั่ง”ขอรับ!”
ตามคำสั่งของ เสี่ยวจือ เสียงกรีดร้องได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมันคงอยู่เป็นเวลานานกว่าจะหยุดลง
เสี่ยวจือที่ได้ยินเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนใบหน้าของเขา
เขาฆ่าทหารเหล่านี้ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายฆ่าพี่น้องร่วม 30,000 คนของเขา เพื่อแก้แค้น แต่เขารู้ดีว่าตนอนี้งานหลักของเขาคือการยึดครองภูเขาติงจิ้ง
ดังนั้น เขาจะต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก ถ้าเขาทิ้งทหารไว้ที่นี่เพื่อปกป้องเชลยศึกด้วยพลังการต่อสู้ของทัพมังกรเขาจะต้องส่งคนคุ้มกันมากกว่า 10,000 คน
ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถใช้ทัพพยัคฆ์ได้เพียงแค่ 60,000 นายเท่านั้น
เมื่อดูจากจำนวนของศัตรูที่เขาเผชิญ การจะยึดครองภูเขาติงจิ้ง เขาจะต้องใช้ทหารจำนวนมาก
ดังนั้นเขาไม่สามารถทิ้งทหารหมื่นนายไว้ที่นี่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว เขาจะต้องยึดครองภูเขาติงจิ้งให้ได้โดยเร็วที่สุด
“พี่ต้วนชุย รบกวนท่านไปรายงานต่อฝ่าบาทว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ในขณะเดียวกัน ให้แจ้งต่อฝ่าบาทว่า ข้า เสี่ยวจือ จะหาทางยึดครองภูเขาติ้งจิ้งก่อนรุ่งสาง!”เสี่ยวจือ ได้มองไปที่ ต้วนชุย
ต้วนชุย ได้พยักหน้าและไม่พูดอะไร ร่างของเขาได้หายไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวจือ ได้สั่งให้กองทัพพักที่นี่เพื่อฟื้นกำลัง หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบรุดหน้าไปยังภูเขาติงจิ้ง
ถนนสายนี้เดินยากมาก!
เนื่องเพราะพวกเขากำลังจะบุกยึดภูเขาติงจิ้ง เส้นทางหลักจึงไม่สามารถใช้ได้ ทั้งด้านหน้าของภูเขาติงจิ้ง ยังมีกองทัพสองล้านนายของอาณาจักรอู๋เซียง ตั้งอยู่นอกเมืองเป็งหยวน หากถูกค้นพบ แม้จะเป็นทัพพยัคฆ์ 70,000 นายก็ยังยากจะต่อกร
โชคดีที่ทหารของ เสี่ยวจือ ได้รับการฝึกฝนปกปิดร่องรอยทำให้พวกเขาไม่ถูกสอดแนมโดยหน่วยลาดตระเวณ พวกเขาได้ออกจากเส้นทางป่ามุ่งหน้าสู่ภูเขาติงจิ้ง
เสี่ยวจือ ไม่เร่งรีบที่จะโจมตี เขาได้ปล่อยให้กองทัพได้พักผ่อนขณะที่รอความมืดอันสั้นใกล้จะสิ้นสุดก่อนที่รุ่งสางจะมาถึง
เพราะตอนนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ศัตรูประมาทง่ายที่สุด!
…
“ฝ่าบาทกองทัพของเราสูญเสียทหารน้อยกว่า 40,000 นาย ในขณะที่ศัตรูสูญเสียไม่น้อยไปกว่า 200,000 นาย หากดูจากผลลัพธ์อาจเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่!”
ภายในค่ายของ ลู่เฟิง หลิวจี๋ ได้รายงานอย่างตื่นเต้นกับผลลัพธ์ในวันนี้