MPESIH-ระบบจักรพรรดิไร้เปรียบ - ตอนที่ 141
เมื่อเห็นกลุ่มลู่เฟิงและกองทัพของเขาเดินทางมาถึง เตียวอุ๋น และ แม่ทัพทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังได้คุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับกล่าวพูดเสียงดัง”ข้าน้อย เตียวเฮยฉี ผู้บัญชาการทหารพิทักษ์เมืองผิงกวง ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้พระองค์ทรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน”
“ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
เตียวอุ๋น และ และ แม่ทัพทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังได้ตะโกนขึ้น
ลู่เฟิง ได้ลงจากหลังม้า และ ไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้า เตียวเฮยฉี และกล่าวพูดขึ้น”แม่ทัพเฒ่าท่านยืนขึ้นเถอะ!”
จากนั้นเขาก็มองไปที่แม่ทัพด้านหลังและกล่าวพูดอีกครั้ง”พวกเจ้าทุกคนก็ด้วย!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
กลุ่มแม่ทัพได้ยืนขึ้นและมองไปที่ ลู่เฟิง ด้วยความเคารพ
เตียวเฮยฉี รู้สึกละอายใจอย่างมากเขาได้พูดขึ้น”ฝ่าบาทข้าน้อยรู้สึกละอายใจต่อพระองค์ยิ่งนัก!”
“ฮึ่ม เจ้าก็สมควรรู้สึกละอายใจจริง ๆ นั่นแหละ!”
ลู่เฟิง ยังไม่ทันได้ตอบกลับ แต่ เหลียนป๋อ ที่อยู่ข้าง ๆ เขาได้กล่าวพูดอย่างเย็นชา
“แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร?”ลู่เฟิง ได้กล่าวถาม เหลียนป๋อ เพราะเขาไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
ทำนองเดียวกัน เขาก็ไม่เข้าใจว่า ความละอายใจของ เตียวเฮยฉี คืออะไร
เตียวเฮยฉี ได้มองจ้องมองไปที่ เหลียนป๋อ ด้วยความละอายใจ เขาได้คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดขึ้น”ท่านแม่ทัพ ข้ารู้สึกละอายใจต่อท่าน ละอายใจต่อฝ่าบาท ละอายใจต่ออาณาจักร เป็นข้าที่ผิดเอง”
ลู่เฟิง ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่เขาได้กล่าวถาม เตียวเฮยฉี”พวกท่านกำลังพูดคุยอะไรกัน?”
เหลียนป๋อ ได้พูดขึ้น”ฝ่าบาท พระองค์อาจจะยังไม่รู้ เตียวเฮยฉี เดิม เป็นรองแม่ทัพที่เป็นผู้ช่วยของข้าเมื่อสิบปีก่อน! ในเวลานั้น จักรพรรดิองค์ก่อนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก ตอนนั้น ราชาลู่เว่ย ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อน รู้ถึง ความทะเยอทะยานของ ราชาลู่เว่ย ดี จึงส่งกองทัพทหาร 1.4 ล้านคนไปพิทักษ์เมืองเร้ดเมเปิ้ล อันที่จริงก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับป้องกันการก่อกบฏของ ราชาลู่เว่ย เพราะ จากเมือง เร้ดเมเปิ้ล ไปยังเมือง ฉิวซาน เส้นทางค่อนข้างใกล้กัน!”
“ข้าน้อยรู้ดีว่า ราชาเมกาทรอน มีทหารชั้นยอดจำนวนมากในมือและมันยากที่จะโจมตีเมืองฉิวซานจากทางน้ำ ดังนั้น ข้าแนะนำให้ จักรพรรดิองค์ก่อนส่ง เตียวเฮยฉี ไปคุ้มครองเมืองผิงกวง ด้วยกองทัพ 400,000 นาย ด้วยการสนับสนุนสองฝ่ายจากด้านหน้าและด้านหลัง พวกเราสามารถล้อมกรอบ เมืองฉิวซาน และ ราชาลู่เว่ยเอาไว้ได้ แต่สิ่งที่ข้าไม่คิดก็คือ เตียวเฮยฉี ที่ถูกส่งไปพิทักษ์เมืองผิงกวน กลับยอมจำนนต่อ ราชาลู่เว่ย อย่างง่ายดาย นี่ทำให้แผนของข้ากับจักรพรรดิองค์ก่อนล้มเหลว!”
เมื่อเขาพูดจบเขาก็มองไปที่ เตียวเฮยฉี ด้วยสีหน้าที่รุนแรง”ถ้าก่อนหน้านี้เจ้าส่งกองกำลังมาช่วยเมืองฉิวซานล่ะก็ ข้าคงตัดศีรษะของเจ้าไปแล้ว”
เตียวเฮยฉี รู้สึกละอายใจอย่างมาก”จากใจจริงของข้าตอนนั้นข้ากลัวว่ากองทัพของอาณาจักรหงเป่า จะบุกโจมตี ดังนั้นข้าจึงได้ปฏิเสธคำร้องขอความช่วยเหลือจากราชาลู่เว่ยไป ส่วนอีกแง่นึง…”
“อีกแง่นึงก็คือ เจ้าเห็นว่า ฝ่าบาททรงอ่อนเเอ และการยอมจำนนต่อราชาลู่เว่ย เป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่?”เหลียนป๋อ ตะคอกอย่างเย็นชา
เตียวเฮยฉี รู้สึกละอายใจ เขาไม่ได้ตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะยอมรับคำพูดของเหลียนป๋อ
ลู่เฟิง รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาไม่ชอบให้คนเหล่านี้มาอยู่ใต้บัญชาของเขาเพราะมันมีโอกาสที่จะทรยศเขา
“ระบบ แสดงความภักดีของ เตียวเฮยฉี !”ลู่เฟิงกล่าวพูดขึ้น
ในไม่ช้า ความภักดีของ เตียวเฮยฉี ก็ปรากฏขึ้นในกรอบสายตาของลู่เฟิง : 83 แต้ม
ไม่สูงมาก แต่ก็โอเค!
เขายังสามารถใช้งานได้แต่ไม่สามารถใช้งานเป็นแกนนำหลักป้องกันชายแดนได้
เขาได้ยิ้มและตอบกลับ”แม่ทัพเฒ่าเหลียนป๋อ คราวนี้แม่ทัพเฒ่าเตียวเฮยฉี ไม่ได้ส่งกองกำลังทหารมา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่าเขายังคงภักดีต่อข้าอยู่ ดังนั้น ข้าขอให้เรื่องนี้มันผ่านไปก็แล้วกันเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก!”
เตียวเฮยฉี ยังคงมีความภักดีต่อเขาอยู่ ซึ่ง ลู่เฟิง ก็ไม่อยากบั่นทอนกองกำลังของเขาไปมากกว่านี้
เหลียนป๋อได้ตอบกลับทันที”ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”เตียวเฮยฉี ได้กล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว
เตียวเฮยฉี รู้สึกโล่งใจ เขากลัวว่า ลู่เฟิง จะหาทางจัดการเขา
ไม่กี่วันผ่านไป ลู่เฟิง ไม่ได้เร่งรีบเคลื่อนกองทัพ แต่ได้คุ้มกันอยู่ในเมืองผิงกวงเพื่อรอการมาถึงของอาณาจักรหงเป่า
เจ็ดวันต่อมาลู่เฟิงได้รับข่าวจากจินยี่เหว่ยถึงกองทัพที่รวมตัวกันของอาณาจักรหงเป่า แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถอยกลับไป
ข่าวนี้ทำให้ ลู่เฟิง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในปัจจุบัน สถานการณ์ของพวกเขาไม่เหมาะกับการทำสงครามครั้งใหญ่ในตอนนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากที่อาณาจักรหงเป่า ล่าถอยออกไป
รอจนถึงปีหน้าเขาค่อยกลับไปคิดบัญชีอีกฝ่ายทีหลัง!
“ฝ่าบาท ข้าน้อยได้ บอกให้ จินยี่เหว่ย ไปกระจายข่าวทั่วราชอาณาจักรแล้ว คาดว่าไม่กี่วันข่าวกองกำลังทั้งหมดของราชาเมกาทรอนลู่เว่ยที่ถูกทำลาย น่าจะแพร่กระจายไปทั่วราชอาณาจักร ตระกูลขุนนางเหล่านั้นจะต้องไม่นิ่งแน่นอนใจอย่างแน่นอน!”
ในวันนี้ เจี๋ยสวี่ ได้เข้ามายังห้องศึกษา สถานที่ที่ลู่เฟิง พำนักอยู่ เขาได้กล่าวรายงานเรื่องนี้ให้ลู่เฟิงทราบ
ลู่เฟิงได้พยักหน้าและตอบกลับ”ให้จินยี่เหว่ย ให้ความสำคัญกับตระกูลเหล่านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ข้าน้อยให้ จินยี่เหว่ย เฝ้าติดตามตระกูลขุนนางเหล่านี้ทั้งกลางวันและกลางคืนแล้วพะยะค่ะ”เจี๋ยสวี่ ตอบกลับ
ลู่เฟิง พยักหน้าและกล่าวถาม”เหวินเหอ เจ้าคิดว่า ใครเหมาะที่จะดูแลเมืองฉิวซานต่อไป?”
นี่เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก
ลู่เฟิง กำลังจะกลับไปที่เมืองหลวง เมืองฉิวซาน จำเป็นจะต้องมีใครมาปกป้อง เตียวเฮยฉี ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน แม้ว่า เตียวเฮยฉี จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ลู่เฟิง ก็ไม่กล้าส่งมอบอำนาจทางการทหารจำนวนมากให้ โดยเฉพาะอีกฝ่ายที่มีกองทหารอยู่ที่เมืองผิงกวงด้วยแล้ว
ดังนั้นการหาคนที่จะมาปกป้องเมืองฉิวซาน จึงเป็นเรื่อสำคัญ
เจี๋ยสวี่ ได้ครุ่นคิดและตอบกลับ”ฝ่าบาทข้าน้อยแนะนำว่าให้เป็น แม่ทัพเฒ่าเหลียนป๋อ!”
ลู่เฟิง ครุ่นคิดและกล่าวถาม”แม่ทัพเฒ่าถือเป็นตัวเลือกที่ดี ในแง่ของความแข็งแกร่งและคุณสมบัติเขาล้วนไร้ที่ติ แต่ข้าไม่รู้ว่าแม่ทัพเฒ่าจะเต็มใจหรือไม่!”
“ฝ่าบาท ข้าน้อยว่าเรื่องนั้นไม่จำเป็น ข้าเชื่อว่าแม่ทัพเฒ่าอาจจะขออาสามาปกป้องเมืองนี้ด้วยตนเอง”เจี๋ยสวี่ ได้ยิ้มออกมา
ลู่เฟิงผงะและกล่าวถาม”เหวินเหอ ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นทำไมแม่ทัพเฒ่าถึง…”
ก่อนที่ลู่เฟิงจะพูดจบเสียงของทหารยามด้านนอกประตูก็ได้ดังขึ้น
“ฝ่าบาท แม่ทัพเฒ่าเหลียนป๋อ มาขอเข้าพบ!”
หลังจากนั้นไม่นาน เหลียนป๋อ ก็เดินเข้ามาและกล่าวพูด”ข้าน้อย เหลียนป๋อ ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
เขาได้คุกเข่าคำนับ
ลู่เฟิง ได้พยุงเหลียนป๋อขึ้นและกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม”แม่ทัพเฒ่า ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพ!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
“แม่ทัพเฒ่ามาหาข้ามีอะไรงั้นหรือ?”ลู่เฟิงกล่าวถาม
เหลียนป๋อตอบกลับทันที”ฝ่าบาท ข้าน้อยขออาสาเฝ้าพิทักษ์แนวหน้าของเมืองฉิวซาน!”
ลู่เฟิง ผงะ นี่เป็นไปตามที่ เจี๋ยสวี่ ได้พูดก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นว่าลู่เฟิงไม่ตอบ เหลียนป๋อ ได้พูดต่อ”ฝ่าบาท นอกเหนือจากข้าน้อย พระองค์ยังมี แม่ทัพเกาชุน และ แม่ทัพเมิ่งเถียน อยู่อีก แม้ทั้งสองคนจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ก็คงไม่เหมาะที่จะให้คุม เตียวเฮยฉี ข้าน้อยเกรงว่า แม่ทัพเกาชุน และ แม่ทัพเมิ่งเถียน จะไม่สามารถปราบปรามเขาได้ และ มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป”
“สำหรับข้าน้อย ข้าเคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของ เตียวเฮยฉี ข้าน้อยคิดว่า เขาไม่น่าจะกล้าทำอะไรมากเกินไป ถ้าเขากล้า ข้าจะมอบบทเรียนแก่เขาด้วยตนเอง”
ทันใดนั้น ลู่เฟิง ก็เข้าใจแล้วว่าทำไม เจี๋ยสวี่ ถึง พูดว่า เหลียนป๋อ จะมาขอเป็นคนพิทักษ์เมืองฉิวซานด้วยตัวเองที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เขาได้ครุ่นคิดตามที่เหลียนป๋อพูด เกาชุน และ เมิ่งเถียน ต่างก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่สำหรับ ทหารผ่านศึกอย่าง เตียวเฮยฉี มันคงเป็นเรื่องยากที่จะปราบปรามเขา โดยเฉพาะกับคนที่อายุน้อยกว่าตนเอง เขาคงไม่มีทางยอมรับให้อีกฝ่ายเป็นนายของตนเองอย่างง่าย ๆ
ดังนั้น มีเพียง เหลียนป๋อ เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ และไม่ต้องกังวลว่า เตียวเฮยฉี จะปฏิเสธ
แต่…
ลู่เฟิง มองไปที่ เหลียนป๋อ และกล่าวถาม”แม่ทัพเฒ่า ข้าเข้าใจความคิดของท่านแล้ว หากท่านรั้งอยู่ที่เมืองฉิวซาน และ เมืองเร้ดเมเปิ้ลล่ะ?”
เหลียนป๋อได้ยิ้มและตอบกลับ”ฝ่าบาทข้าน้อยอยู่ปกป้องเมืองเร้ดเมเปิ้ลมาร่วมสิบปีแล้ว ตอนนี้ข้าสมควรสละตำแหน่งที่ว่านั้นและใช้กระดูกเก่า ๆ ของข้าเพื่อรับใช้ฝ่าบาทโดยการอยู่พิทักษ์เมืองฉิวซาน”