My Cold and Elegant CEO Wife - ตอนที่ 618
ตอนที่ 618 คัมภีร์จักรพรรดิยุทธ์ ! (Martial Emperor Technique)
แปล Tarhai
หลินเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนนุ่มนวลและคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวขึ้น ในขณะที่หลิวหรูหยานก็ทําแบบกัน ทั้งคู่เล็งไปที่ปากของฉิงเฟิง ซึ่งทําให้เขารู้สึกอึดอัดมาก สิ่งที่เขาทําได้ก็คืออ้าปากให้กว้างกว่าปกติเพื่อกินทั้งสองทางในคราเดียว
หลินเสวี่ยและหลิวหรูหยานไม่มีใครยอมใคร พวกเธอบังคับป้อนอาหารฉิงเฟิงไม่หยุด
ลู่ซวนจี้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆยกมือปิดปาก พยายามอย่างหนักเพื่อจะไม่ให้หัวเราะออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นภาพบอสผู้ยิ่งใหญ่ของตัวเองถูกผู้หญิงป้อนอาหาร แถมยังขัดขืนไม่ได้อีกด้วย
โชคดีที่ฉิงเฟิงกินจุ แม้ว่าเขากินอาหารที่พวกเธอทําจนหมดเกลี้ยงก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม
” ที่รัก ไหนคุณบอกซิก๋วยเตี๋ยวชามไหนอร่อยกว่า?” หลินเสวี่ยถามพร้อมกระพริบตาปริบๆ
“ใช่แล้ว ฉิงเฟิง คุณบอกพวกเรามาที่ว่าคุณก๋วยเตี๋ยวที่ใครทํามากกว่า ?” หลิวหรูหยานเผยอริมฝีปากสีแดงที่ดูเร่าร้อนและถาม
ฉิงเฟิงกลอกตาและพูดไม่ออก เขารู้สึกว่าคําถามนี้ช่างบาดลึกจนเจ็บปวด
“พวกคุณถามคําถามให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ได้ไหม? ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะ ฉันไม่ตอบหรอก”
ฉิงเฟิงไม่ต้องการตอบคําถามนี้ แต่พวกเธอก็ไม่ยอม พวกเธอต้องการเปรียบเทียบเพื่อจะเอาชนะอีกฝ่าย
“โอ้ๆ บอส ผมลืมบอกไป ท่านอาจารย์ฝากบอกว่าถ้าบอสตื่นแล้วให้ไปหาท่านด้วย”
อู่ซวนจี้พูดแทรกขึ้นเพื่อช่วยให้ฉิงเฟิงพ้นอันตรายในครั้งนี้
“ได้เลย ในเมื่ออาจารย์ของนายต้องการพบฉัน ฉันจะไปทันที เอาละ พวกคุณสองคนรอที่นี่นะ” ฉิงเฟิงตอบลู่ซวนจีและกล่าวกับผู้หญิงทั้งสองคน
หลังจากพูดจบฉิงเฟิงก็รีบเดินออกไปทันทีเพื่อหลบหนีความวุ่นวายนี้ เขาเดินตามลู่ซวนจี้เข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของวัด พวกเขามาสุดทางเดินและยืนอยู่ตรงหน้าห้องโบราณที่ดูเรียบง่าย มันเป็นห้องที่ปราศจากข้าวของเครื่องใช้และตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ลู่ซวนจี้เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับฉิงเฟิง ห้องนี้เรียบง่ายมาก มันไม่มีแม้แต่เตียง มีแค่เบาะรองนั่งและเครื่องหอมเท่านั้น
ในขณะนี้ ลู่เต๋าซางกําลังนั่งหลับตาทําสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเขาก็ลืมตาขึ้น
“ฉิงเฟิง เจ้าฟื้นแล้วหรือ ? อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง ?” ลู่เต๋าซางถาม
“ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสมากสําหรับยา ผมรู้สึกว่าฟื้นฟูมาได้หนึ่งในสามแล้ว คาดว่าผ่านไปอีกสัก 2-3 วันผมก็คงจะสมบูรณ์ 100%” ฉิงเฟิงยิ้มขณะที่เขากล่าวขอบคุณลู่เต๋าซาง
ลู่เต๋าซางมีสีหน้าดูประหลาดใจ เขาคิดว่าอาการบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้หากเป็นคนอื่น กว่าจะหายดีคงต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 เดือน
“ท่านเรียกผมมาพบมีอะไรหรือครับ ?” ฉิงเฟิงถามเพราะไม่รู้ว่าลู่เต๋าซางเรียกเขาทําไม
แววตาของลู่เต๋าซางกลายเป็นขึงขังจริงจัง เขากล่าว “ฉิงเฟิง ตําหนักกุ้ยหวังนั้นเต็มไปด้วยเหล่ายอดยุทธโบราณ พวกมันแกร่งยิ่งนัก ส่วนเจ้าตอนนี้เป็นเพียงแค่ราชันในหมู่ปุถุชน เมื่อใดที่เจ้ากลับเมืองทะเลตะวันออก พวกมันจะต้องส่งผู้เยี่ยมยุทธมาสังหารเจ้าอย่างแน่นอน”
เมื่อฉิงเฟิงได้ยินคําพูดของลู่เต๋าซางเขาก็เงียบไป เพราะเขารู้ว่ามันคือความจริง
ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังต้องมีคนที่แกร่งกว่าคุณเสมอ
ถึงแม้ว่าฉิงเฟิงจะเป็นวูฟคิงและยืนอยู่บนยอดพีระมิดเมื่อเทียบกับคนธรรมดา แต่โลกนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธโบราณที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกมากมาย
ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น เพียงแค่เฮยหวู่ชางคนเดียวก็สามารถกวาดล้างทีมเขี้ยวหมาป่าของเขาได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้เพียงหมัดเดียของเขาก็สามารถเปล่งพลังออกมาได้ถึง 2500 กิโลกรัม ซี่งมากพอที่จะปนฉิงเฟิงให้เป็นก้อนเนื้อได้เพียงหมัดเดียว
ฉิงเฟิงรู้ว่าถ้าเขาต้องการที่จะเอาล้มเฮยหวู่ชางและทําลายตําหนักโกสคิง เขาต้องฝึกฝนวิทยายุทธโบราณ แต่นี่ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถทําได้ ซึ่งทําให้เขารู้สึกหดหู
ราวกับว่าลู่เต๋าซางมองออกถึงความเศร้าโศกของฉิงเฟิง เขากล่าวว่า “ฉิงเฟิง การที่เจ้าดูหงุดหงิดหลังจากได้ยินเรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้วิทยายุทธใช่ไหม ?”
“ถูกต้องแล้วท่านเจ้าอาวาส เหล่าผู้ฝึกยุทธพวกนั้นทั้งหมดต่างก็แข็งแกร่ง ถ้าผมไม่รู้วิทยายุทธ ผมก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา” ฉิงเฟิงพยักหน้ายอมรับ เขายังไม่แกร่งพอที่จะไปต่อกรกับเหล่ายอดยุทธทั้งหลายได้
“ฉิงเฟิง ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมอบของขวัญบางอย่างให้เจ้า รับนี่ไปสิ นี่เป็นคัมภีร์ฝึกยุทธ” ลู่เต๋าซางกล่าวท่ามกลางความประหลาดของฉิงเฟิง
ให้คัมภีร์ฝึกยุทธกับฉันงั้นหรือ ?
ฉิงเฟิงแข็งค้างอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อย่างแรกคุณต้องรู้ก่อนว่าวิทยายุทธโบราณต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานก่อตั้งของทุกๆสํานักหรือนิกายต่างๆ โดยปกติจะไม่มีใครเผยแพร่หรือแม้แต่ส่งผ่านความลับสุดยอดนี้ให้แก่คนนอก อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ใช่ลูกศิษย์หรือมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอะไรกับเขาบู๊ตึง ฉิงเฟิงจึงสงสัยว่าทําไมเจ้าอาวาสถึงยอมส่งผ่านความรู้และวิชาของพวกเขา
“ฉิงเฟิง เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้ข้าจะให้คัมภีร์ฝึกยุทธแก่เจ้า แต่ข้าก็ไม่ได้ให้ฟรีๆ ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
“โปรดบอกด้วยท่านเจ้าอาวาส ท่านมีเงื่อนไขอะไร?”
“ปรมาจารย์บัติ้ง ซึ่งเป็นอาจารย์ของข้า ติดอยู่ในดินแดนต้องห้ามในภูเขาคุนหลุนและออกมาไม่ได้ ซึ่งสถานที่นั้นจะเปิดอีกครั้งใน 5 เดือนข้างหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปที่นั่นและช่วยท่านปรมาจารย์ออกมา” ลู่เต๋าซางกล่าว
ติดอยู่ในดินแดนต้องห้ามในเทือกเขาคุนหลุนอีกคนแล้ว ?
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น เขาคิดในใจว่าดินแดนต้องห้ามที่ภูเขาคุนหลุนช่างเป็นสถานที่ที่ผิดปกติยิ่งนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาต่างก็ชี้เป้าไปที่นั่น เหมือนโชคชะตากําลังบอกให้เขาต้องเข้าไปในนั้น
พ่อของฉิงเฟิงก็หายตัวไปในดินแดนต้องห้าม และตอนนี้แม้กระทั่งปรมาจารย์ของภูเขาบู๊ตึ๊งก็ติดอยู่ในนั้นอีกคน
ฉิงเฟิงสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจว่าทําไมความแข็งแกร่งโดยรวมของภูเขาบู๊ตึ๊งถึงถดถอยลง ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าปรมาจารย์ซึ่งเป็นเสาหลักของหุบเขาได้หายตัวไปนี่เอง แถมเจ้าอาวาสคนปัจจุบันก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายอีก
“ได้ครับท่านเจ้าอาวาส ผมสัญญา อีก 5 เดือนข้างหน้าผมจะเข้าไปในดินแดนต้องห้ามให้ได้ และหาตัวท่านปรมาจารย์ให้เจอและพาเขาออกมา” ฉิงเฟิงกล่าว
ลู่เต๋าซางผงกศีรษะด้วยความโล่งอก เขาหันหลังเดินไปที่มุมห้องและหยิบกล่องไม้มา
กล่องไม้นี้ทําจากไม้จันทน์สีม่วงยาวประมาณครึ่งเมตร บนตัวกล่องถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อน มันคือวัตถุโบราณของแท้
ลู่เต๋าซางเปิดกล่องไม้อย่างระมัดระวัง ภายในนั้นมีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่ง คัมภีร์เล่มนั้นเป็นสีดําดู เก่าแก่มีอายุด้วยหน้ากระดาษที่เป็นสีเหลืองเข้ม ดูเหมือนจะเก็บรักษาไว้อย่างดีมานานหลายสิบปีแล้ว
“นี่เป็นคัมภีร์ยุทธสําหรับเจ้า” ลู่เต๋าซางยิ้มเล็กน้อยและมอบคัมภีร์ส่งให้ถึงมือฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงมองคัมภีร์สีดําที่ดูเก่าเก่าเล่มนี้ บนหน้าปกเขียนภาษาจีนโบราณด้วยตัวหนังสือใหญ่โต (คัมภีร์จักรพรรดิยุทธ์) เมื่อเขาเปิดหน้าต่อไปกลับพบว่า คัมภีร์เล่มนี้มีเพียงสามหน้าเท่านั้น!
อะไรกันนี้ ? ทําไมมีเพียง 3 หน้า ?
ฉิงเฟิงปรากฏรูปลักษณ์แปลกใจบนใบหน้าของเขา แต่เขารู้ดีว่าของที่ลู่เต๋าซางมอบให้ย่อมไม่ใช่ของปลอมหรือคัมภีร์หลอกลวงอะไรแน่นอน
ฉิงเฟิงเปิดดูที่หน้าแรก มันมีคําอธิบายเกี่ยวกับแนวปฏิบัติและวิธีฝึกฝนของขั้นใต้สวรรค์ ขั้นตอนแรกสุด การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของผิวหนัง ขั้นกลางเสริมสร้างความแกร่งของกล้ามเนื้อ ขั้นปลายเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเส้นเอ็น และขั้นสุดยอดเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูก ในทุกๆขั้นจะทําให้คุณมีพละกําลังเพิ่มขึ้นขั้นละ 1000 กิโลกรัม
หน้าที่สองกล่าวถึงการฝึกฝนของขั้นเหนือสวรรค์ ขั้นต้นการสกัดกลั่นอวัยวะภายใน ขั้นกลางคือการปรับแต่งเส้นลมปราณ ขั้นปลายเป็นการปรับแต่งจุดฝังเข็ม และขั้นสุดยอดคือการปรับแต่งจิตวิญญาณและดวงวิญญาณ
การฝึกฝนอวัยวะภายนอก เช่น เส้นเอ็นกระดูกและกล้ามเนื้อ ถือเป็นขั้นแรกซึ่งก็คือขั้นใต้สวรรค์ ส่วนการฝึกฝนลมปราณจะอยู่ในขั้นเหนือสวรรค์
หน้าที่สามอธิบายการฝึกฝนในระดับแกรนด์มาสเตอร์ (ต้าสือ) ขั้นแรก – ล่องลอยบ นท้องนภา ขั้นกลาง – ทุกสรรพสิ่งในมือคือศัตราวุธ ขั้นปลาย – เปิดประตูและขยายขอบเขตของคนผู้นั้น (น่าจะใช้กําลังภายใน) และขั้นสุดยอด – สังหารไร้เงา ปลิดชีพร้อย
แต่ทว่า หลังจากหน้าที่ 3 ไม่มีอะไรบันทึกไว้ มันถูกฉีกออก (ผมเคยแง้มสปอยไว้ ต่อจากนี้คืออะไร ย้อนอ่านเอานะ)
เพียงแค่อ่านเนื้อหาของสามหน้าคัมภีร์นี้คร่าวๆก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า ตราบใดที่คนผู้นั้นฝึกสําเร็จตามบันทึกนี้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นยอดยุทธระดับแกรนมาสเตอร์ (ต้าสือ) สามารถก่อตั้งสํานัก หรือนิกายของตัวเองได้ และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้อย่างแท้จริง !
ฉิงเฟิงเป็นคนฉลาด เพียงแค่อ่านชื่อ – คัมภีร์จักรพรรดิยุทธ์ เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่วิชาทั่วไป ลองคิดหยาบๆ การที่จะกลายเป็นคนผู้ถูกเรียกว่าจักรพรรดิและเขียนคําภีร์เล่มนี้ได้จะมีสักกี่คนกันเชียวในประวัติศาสตร์?
ฉิงเฟิงมีความรู้เกี่ยวกับลัทธิเต๋าบ้าง มีข่าวลือว่าจักรพรรดิยุทธ์ก็คือทายาทของผาน* (เทพผู้สร้างของจีน) ปรมาจารย์เต้าเต๋อเทียนจุนกลับชาติมาเกิดใหม่, บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า, หนึ่งในสี่นักบุญทางเหนือนั่นเอง
[เทพผาน]
[เต้าเต๋อเทียนจุน]
“การเป็นยอดยุทธ์มันไม่ง่ายหรอกนะฉิงเฟิง” ลู่เต๋าซางกล่าวสั้นๆกับฉิงเฟิง คัมภีร์เล่มนี้มีประวัติที่ยิ่งใหญ่มาก
เต้าเต๋อเทียนจุน