My Cold and Elegant CEO Wife - ตอนที่ 636 ฉินเซียนจื่อ เทพธิดาแห่งตำหนักโห่วเย่อหวงตี้
- Home
- My Cold and Elegant CEO Wife
- ตอนที่ 636 ฉินเซียนจื่อ เทพธิดาแห่งตำหนักโห่วเย่อหวงตี้
หลังจากฉิงเฟิงออกจากอารีน่าตงไห่เขาก็แยกตัวจากคิงคองและเสือดำเพื่อกลับไปยัง Noble Palace
เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาเพิ่งนอนค้างกับซูเมิ่งเหยาจนไม่ได้กลับบ้านดังนั้นเขารู้สึกผิดต่อหลินเสวี่ย
แล้วก็เป็นไปดั่งที่มีคนเคยพูดไว้ยิ่งคุณกลัวสิ่งนั้นมากเท่าไร มันก็จะยิ่งเกิดขึ้นจริงๆ ทันทีที่ฉิงเฟิงเปิดประตูเข้าบ้านไป เขาก็เห็นหลินเสวี่ยนั่งอยู่บนโซฟา
ใบหน้าของเธองดงามดูเนียนนุ่มและอ่อนละมุน เธอสวยเหมือนเช่นเคยแต่ทว่าตอนนี้การแสดงออกของเธอดูอึมครึม เธอดูเหมือนจะมีอารมณ์ไม่ดีนัก
ฉิงเฟิงสามารถเดาเหตุผลได้ในทันทีเธอต้องโมโหที่เขาไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้แน่นอน “ที่รักวันนี้คุณสวยเลิศจริงๆ” ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
แต่คำชมเชยของเขากลับไม่ได้ผลหลินเสวี่ยเหลือบมองเขาด้วยหางตาและกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เมื่อคืนทำไมคุณไม่กลับบ้าน ”
ฉิงเฟิงกลั่นความคิดในสมองอย่างรวดเร็วและหาข้ออ้างว่า“เกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันพบมือสังหารถึงสองคนเมื่อคืน และเสียเวลาประมือกับพวกมัน จนฉันไม่อาจกลับบ้านได้”
เจอมือสังหาร
!
การแสดงออกของหลินเสวี่ยเปลี่ยนไปเมื่อเธอได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงความวิตกกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ ความโกรธในตอนแรกอันตธานหายไป เปลี่ยนเป็นความกังวลใจแทน เธอกล่าวว่า “สามี คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ” “ฉันไม่เป็นไรๆก็แค่อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย เพราะฉันใช้เวลาตลอดทั้งคืนต่อสู้ห่ำหั่นอย่างดุเดือดกับมือสังหารคนที่ 2 จนถึงเช้าก่อนที่ฉันจะเอาชนะมันมาได้อย่างทุลักทุเล เท่านั้นยังไม่พอนะที่รัก ตอนเช้าก็มีนักสู้จากเมืองอื่นมาท้าสู้ฉันอีก ฉันเลยต้องไปที่อารีน่าตงไห่เพื่อต่อกรกับพวกมันจนฉันเกือบตายแน่ะ ! โอ๋ฉันหน่อยสิ”
ฉิงเฟิงกล่าวอย่างเศร้าสร้อยขณะที่ขยับไปนั่งข้างๆหลินเสวี่ย
ถึงแม้ว่าการแสดงออกของเขาจะดูเศร้าสมจริงมากแต่เขาก็แอบชมตัวเองในใจว่า
“
เยส
!
ฉันนี่โคตรเทพเป็นข้อแก้ตัวที่ดีมาก
!
รอดชัวร์หลินเสวี่ยเริ่มอินเรื่องมือสังหารแล้ว” “สามีแล้วทำไมพวกคนเลวถึงพยายามจะฆ่าคุณล่ะ” หลินเสวี่ยถาม เธอไม่ได้เอามือออกจากการยึดกุมของฉิงเฟิงเพราะเธอพยายามจะปลอบโยนสามี
“อ่า……น่าจะเป็นเพราะมันเห็นว่าฉันหล่อ มันเลยจะสังหารฉันให้ตาย”
ฉิงเฟิงกล่าวอย่างหลงตัวเอง
คิกคิก!
ในตอนแรกหลินเสวี่ยกังวลมากอย่างไรก็ตามเธอยิ้มออกและหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำพูดของฉิงเฟิง แน่นอนเธอรู้ว่าฉิงเฟิงพูดเล่นเพื่อให้เธอคลายความกังวล
“ที่รักพวกเราดำเนินการเรื่องงานแต่งอีกครั้งกันเถอะ” หลินเสวี่ยเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เธอคิดเรื่องนี้มานานแล้ว เธอต้องการจัดงานแต่งงานกับฉิงเฟิง และเป็นของเขาหลังจากแต่งงาน
แสงแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉิงเฟิงเขารอวันนั้นมานานแล้ว แต่เมื่อเขาใช้เทคนิคการสังเกตทางการแพทย์แผนจีนสำรวจร่างกายของหลินเสวี่ยก็พบว่าเธอยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
“ที่รักคุณยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บคุณต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จากนั้นเราค่อยจัดงานแต่งงานกันดีไหม ” ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาโอบรอบเอวของหลินเสวี่ย
หลินเสวี่ยพยักหน้าและตอบตกลงไม่จำเป็นต้องเร่งรัดจัดงานนัก นอกจากนี้เธอยังรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียในบางครั้ง อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าเธอยังไม่ฟื้นตัว
หลินเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเสียชีวิตโชคดีที่ฉิงเฟิงมาช่วยเธอไว้ได้ทันเวลาและสละแก่นแท้โลหิตยื้อชีวิตเธอ จากนั้นก็ไปเหมียวเจียงเพื่อตามหาดอกจิตวิญญาณเทวะ อย่างไรก็ตาม ร่างกายของผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชายจึงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
ในเมื่อฉิงเฟิงผ่านการลอบสังหารมา()หลินเสวี่ยจึงเข้าครัวไปปรุงอาหารให้เขาเองเพื่อที่เขาจะได้พักผ่อน
อาหารมื้อเย็นนี้ดูน่าอร่อยมากมีจานหลัก 4 และซุปหนึ่ง มีทั้งมังสวิรัติและเนื้อสัตว์ หลินเสวี่ยต้องการให้ฉิงเฟิงกินมากๆ เพราะความอยากอาหารของเขามีมากขึ้นตั้งแต่กลับมาจากเขาบู๊ตึ๊ง เขากินคนเดียว 3 จาน ถ้าไม่เผื่อส่วนของหลินเสวี่ยเขาคงกินเองทั้งหมดสี่จานไปแล้ว
หลังจากทานข้าวเย็นด้วยกันเสร็จฉิงเฟิงก็พาเธอไปที่ห้องนอนของเธอบนชั้นสอง สิ่งนี้ได้กลายเป็นความเคยชินสำหรับพวกเขาไปแล้ว ถ้าฉิงเฟิงอยู่ที่บ้านเขาจะพาหลินเสวี่ยไปนอนและเล่านิทานให้เธอฟัง
หลังจากที่หลินเสวี่ยหลับไปฉิงเฟิงก็ห่มผ้าให้เธอและเดินออกจากห้องไป
ฉิงเฟิงผ่านการต่อสู้ไม่หยุดหย่อน()ในช่วงไม่กี่วันมานี่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยมากดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ห้องนอนของเขาและเข้านอน …..
…
..
เทือกเขาไท่กั๋ว,ตำหนักโห่วเย่อหวงตี้
เทือกเขาไท่กั๋วเป็นหนึ่งในห้าเทือกเขาใหญ่ของหัวเซี่ยมันมีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ มันเป็นที่ตั้งในการปราบดาภิเษกของจักรพรรดิในยุคโบราณและเป็นสถานที่ที่ประชาชนเคารพบูชาเทพเจ้าอีกด้วย
ศูนย์กลางของนิกายตั้งอยู่ในเทือกเขาลึกของภูเขาไท่กั๋วแห่งนี้มันมีบ้านเรือนในยุคโบราณตั้งอยู่ที่นี่ ซึ่งกินพื้นที่กว้างใหญ่ ที่ตรงกลางของดินแดนนี้ มีตำหนักที่หรูหราที่ทำจากทองคำตั้งตระหง่านอยู่
ขณะนี้ในห้องๆหนึ่งภายในตำหนัก มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเล่นซอและดูผัง8ทิศเพื่อทำนายอนาคต
ผู้หญิงคนนี้อายุราวๆยี่สิบปีเธอเป็นผู้หญิงที่งดงามมาก ผิวขาวอ่อนละมุน ดวงตาของเธอสดใสเปล่งประกายราวกับดวงดาว ริมฝีปากแดงเชอร์รี่ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยเกินกว่าจินตนาการของผู้ใด ความงามของเธอสามารถประชันกับหลินเสวี่ยได้อย่างไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว
เป็นที่น่าแปลกใจเธอผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าโบราณแทนที่จะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่ หน้าอกคู่นั้นของเธอใหญ่มาก ร่างสูงระหง เรือนร่างของเธอนั้นน่าตกตะลึงแม้ว่าจะสวมใส่ชุดโบราณ
สาวงามคนนี้คือคุณหนูแห่งตำหนักโห่วเย่อหวงตี้,ฉินเซียนจื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่งดงามราวกับเทพธิดา
มีผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าฉินเซียนจื่อถ้าฉิงเฟิงอยู่ที่นี่เขาจะจำได้ว่าอาวุโสคนนี้คือคนเดียวกับที่พยายามจะชักชวนให้เขาเข้าร่วมกับตำหนักโห่วเย่อหวงตี้ แต่ฉิงเฟิงได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไปแล้ว
“อาวุโสหวัง,ท่านกล่าวว่าวูฟคิงผู้นั้นปฏิเสธข้อเสนอของท่านเช่นนั้นหรือ ”
ฉินเซียนจื่อกล่าวขณะที่เธอยังคงเล่นซอพร้อมกับมองผังแปดทิศ
“ครับคุณหนูวูฟคิงผู้นั้นยโสเย่อหยิ่ง เขากล่าวว่าถ้าคุณหนูไม่ไปพบเขาด้วยตัวเองพร้อมกับโทเค็นแดนต้องห้าม เขาจะไม่เข้าร่วมกับนิกายเราอย่างแน่นอน” อาวุโสหวังตอบกลับด้วยสีหน้าจนปัญญา
วูฟคิงแข็งแกร่งมากก็จริงแต่เขาก็เป็นเพียงแค่ราชันในโลกของคนธรรมดาเท่านั้น แต่คุณหนูเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่ทรงพลังซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี สถานะต่างกันเช่นนี้วูฟคิงยังกล้ามาขอให้คุณหนูไปพบเขาได้อย่างไร
“ฮิๆวูฟคิงผู้นี้น่าสนใจยิ่ง ข้าอยากพบเขา” ฉินเซียนจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน
“คุณหนูครับเวลาและตัวตนของท่านมีค่าสูงยิ่ง วูฟคิงไม่มีคุณสมบัติพอให้ท่านต้องลดตัวลงไปพบ” ผู้อาวุโสกล่าวขณะที่เขาส่ายหัว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยที่ฉินเซียนจื่อจะไปพบกับฉิงเฟิง
“อาวุโสหวัง,แดนต้องห้ามคุนหลุนใกล้จะเปิดขึ้นทุกที เหล่าสำนักนิกายอื่นๆต่างก็พยายามที่จะเข้าไปในนั้นเพื่อหาสมบัติโบราณ นิกายเรามีคู่ต่อกรมากหลาย ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของนิกายเรา วูฟคิงนั้นเป็นผู้หนึ่งที่แข็งแกร่งบางทีเขาอาจจะช่วยพวกเราได้ ข้าจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัวและชักชวนเขาให้เข้าร่วมกับเรา” ฉินเซียนจื่อกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นยืนและเดินชดช้อยออกไปจากห้อง