My Death Flags Show No Sign of Ending - ตอนที่ 73 จุดเริ่มต้นของการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่
- Home
- My Death Flags Show No Sign of Ending
- ตอนที่ 73 จุดเริ่มต้นของการเดินทางอันแสนยิ่งใหญ่
และแล้วการเฉลิมฉลองของตระกูลเบอร์ลิออสก็จบลงในวันที่ 3 และนั้นก็หมายความว่าหน้าที่ของฮาโรลด์ในการต้องปกป้องเอริกะก็ได้จบลงด้วยเช่นกัน ด้วยแรงกายและใจที่หมดลงพร้อมๆกันทำให้เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนเขารู้สึกอยากจะฉลองให้กับตัวเองที่หน้าที่อันยาวนานนี้จบลงเสียที
เพราะการรวมหัวกันระหว่างอิสุกิและยูสทัส ฮาโรลด์จึงถูกบังคับให้มาเป็นคนคุ้มกันเอริกะโดยไม่ได้รับการแจ้งล้วงหน้าเลยด้วยซ้ำ และในตอนที่เขาก้าวเท้าเข้ามาภายในคฤหาสน์ของตระกูลเบอร์ลิออส เขาก็ถูกผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเข้าโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ชายผู้มีสมองเป็นกล้ามเนื้อ แล้วไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร หลังจากฮาโรลด์ซ้อมเขาไป หมอนั้นกลับเสนอลูกสาวคนเล็กวัย 8ขวบให้แก่ฮาโรลด์ในฐานะเจ้าสาว ซึ่งตอนนั้นฮาโรลด์คิดว่า มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้ได้อีก เขาก็ถูกโจมตีอีกครั้ง โดย 1 ในตัวละครจากเนื้อเรื่องของเกมส์ที่มาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองด้วย และเพื่อที่จะหยุดไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและสงบสติอารมณ์ ฮาโรลด์จึงเสนอให้ดวลกัน ซึ่งเหตุการณ์กับเลวร้ายลงกลายเป็นการเดิมพันเพื่อการแต่งงานกับเอริกะ
เมื่อไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ที่ฮาโรลด์ประสบพบเจอมา มันก็ดูราวกับเขาเพิ่งทนทุกข์ทรมานจากมหาภัยพิบัติที่แห่เข้ามาโถมใส่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ตาม ในวันสุดท้ายของงานเฉลิมฉลอง ฟรานซิสกับเป็นมิตรกับเขามากขึ้น แถมเอริกะยังมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างน่าสงสัย ส่วนอิสุกิที่คอยมองภาพเหล่านี้จากระยะไกลก็เผยรอยยิ้มออกมาตลอดทั้งงาน ภาพโดยรวมวันสุดท้ายค่อนข้างสงบเรียบร้อย เนื่องจากฮาโรลด์ปรากฎตัวที่งาน ทำให้พวกผู้ชายไม่ได้แห่กันเข้ามาโจมตีเอริกะ ดังนั้นจึงถือได้ว่าฮาโรลด์นั้นได้ทำหน้าที่ของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขารู้สึกสมหวังหรือสมเร็จอะไรแต่อย่างใด มีเพียงความแค้นลึกๆที่ถูกยูสทัสและอิสุกิรวมหัวกันปั่นประสาทเขา
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวของอิสุกิ ดูเหมือนว่าในตอนเย็นวันที่ 2 ของงานเฉลิมฉลอง เอริกะได้ ”มอบบทเรียน” อันหนักหนาแก่เขาไปแล้ว เพราะฮาโรลด์ได้ยินแว่วถึงเสียงร้องขอโทษเอริกะทั้งน้ำตาของอิสุกิ นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ความขุ่นเคืองภายในใจของฮาโรลด์ที่มีต่ออิสุกิจางหายไป
ก็เหลือเพียงอีกคน หรือก็คือเจ้านายที่น่ารำคาญของเขา ยูสทัส หลังจากที่โดนเขย่าอยู่ในรถมาเกือบ 2 วัน ฮาโรลด์ก็กลับมาถึงเมืองหลวงด้วยความแค้นอยู่เต็มอก เขากลับมาที่ศูนย์วิจัยในทันทีและเปิดประตูห้องทดลองของยูสทัสอย่างแรงราวกับจะถีบมันให้พังลง
ความโกรธของฮาโรลด์รุนแรงมาก แม้กระทั้งพนักงานในศูนย์วิจัยที่มักจะเข้ามาหาเรื่องเขาบ่อยๆยังต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่กล้าสบตา
[ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันฟร่ะ ยูสทัส ?! ] – ฮาโรลด์
ด้วยน้ำเสียงอันน่ากลัวที่ถ้าหากเขากำลังคลานเข้ามาจากพื้นด้วยมันยิ่งดูราวกับหนังสยองขวัญ แต่ว่านั้นก็ไม่ทำให้ยูสทัสเสียภาพลักษณ์นิ่งสงบแต่อย่างใด
[ อ้าว นายกลับมาแล้ว ? ภารกิจนี้ไม่จำเป็นต้องมารายงานกับชั้นหรอกนะ มันแค่การเล่นสนุกนิดๆหน่อยๆเฉยๆ ] – ยูสทัส
ยูสทัสหันไปกล่าวกับฮาโรลด์เพียงครู่เดียวแล้วก็กลับไปทำงานของเขาต่อ ซึ่งฮาโรลด์เองก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมารายงานภารกิจแก่เขา และยูสทัสก็รู้เรื่องนั้นดี ทำให้ประโยคที่กล่าวไปนั้นมีเจตนายั่วยุให้ฮาโรลด์โมโหหนักขึ้นไปอีก
[ ใช่ ขำมากมั้งไอ้เวร ชั้นจะไม่ยอมร่วมมือกับแกทำเรื่องโง่ๆแบบนี้อีกแล้ว ] – ยูสทัส
[ ร่วมมือ ? ลืมไปแล้วหรือไง นายมันเป็นเพียงแค่หมากภายใต้การควบคุมของชั้น อย่าเข้าใจจุดยืนของตัวเองผิดไปสิ ฮาโรลด์ ] – ยูสทัส
ยูสทัสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และใช่มันก็คือความจริง เพราะไม่ว่าฮาโรลด์จะประชดประชันยูสทัสขนาดไหน มันก็ถือเป็นเรื่องขี้ประติ๋วสำหรับเขา เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยูสทัสจะมีข้อสรุปในแบบของตัวเองเสมอ ไม่มีทางที่เขาจะถูกผู้อื่นสั่นคลอนได้หรือมีอิทธิพลต่อเขาได้
เจตจำนงอันแข็งแกร่งของยูสทัสมันดูราวกับสัตว์ประหลาด
ฮาโรลด์ทราบเรื่องนี้ดี แต่เขาคงรู้สึกไม่พอใจแน่ๆหากไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไปกับยูสทัส
[ ถ้าแกจะจัดการชั้นก็ลงมือได้เลย แต่ถ้าครั้งหน้า แกยังวางแผนให้ชั้นไปยุ่งวุ่นวายกับคนพวกนั้นอีกชั้นก็มีแผนของชั้นเหมือนกัน ] – ฮาโรลด์
[ แม่คู่หมั้นของนายคนนั้นสำคัญกับนายมากเลยหรอ ? ] – ยูสทัส
[ แกพูดเรื่องตลกอะไร ? ยัยนั้นกับชั้นเข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เหมือนกับแกและชั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ] – ฮาโรลด์
[ อะฮ่าๆๆๆ นายพูดอะไรเรื่องตลกอะไร ! พวกเราออกจะเข้ากันได้ดีนะไม่คิดงั้นหรอ ? ] – ยูสทัส
ยูสทัสกางแขนออกจนกว้าง และหัวเราะออกมาจนไหล่สั่น แววตาของเขาดำสนิทไร้แสงใดๆในดวงตา ดูราวกับหุบเหวลึก ขณะจ้องมองมาที่ฮาโรลด์ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้แก้มของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปราวกับคนวิกลจริต ซึ่งการที่ถูกยูสทัสเปรียบเทียบว่าเราเหมือนกันนั้นมันทำให้ฮาโรลด์รู้สึกรับไม่ได้
อย่างน้อย เขาก็ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว การพูดคุยอะไรต่อจากนี้มีแต่จะทำให้เขาไม่สบายใจลงไปอีก
ขณะที่ฮาโรลด์อยากจะออกจากที่นี่โดยเร็ว ยูสทัสก็พูดกับเขาต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูราวกับคนบ้า
[ ไม่ว่านายจะพยายามปกปิดมันได้แนบเนียนแค่ไหน สุดท้ายแล้ว แก่นแท้ของนายมันก็เหมือนกับชั้น เพราะพวกเราทั้งคู่คือคนที่ยอมทำทุกๆสิ่งเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายไม่ใช่รึไง ? ] – ยูสทัส
ราวกับต้องการแย้งคำสบประมาทที่ยูสทัสพูดใส่เขา ฮาโรลด์ได้ทุบไปที่ประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังและออกจากห้องไป แม้ว่าเขาตั้งใจจะมาบ่นเพื่อระบาย แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดกว่าเดิม มันเหมือนกับการวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้า เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นเขาลำดับความสำคัญผิดไป และมันทำให้เขาหงุดหงิดซะจนไม่สามารถซ่อนความหงุดหงิดจากใบหน้าของเขาได้ ในสภาพเช่นนี้ ต่อให้เขาจะถูกคนเกลียดมากขนาดไหน ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องเขาเลยแม้แต่สักคนเดียว
ไม่มีเลย ยกเว้นคนหนึ่ง
[ โอ้ว นายกลับมาแล้ว ] – เอลล์
จู่ๆฮาโรลด์ก็พบกับเอลล์ที่กำลงเดินมาจากทิศตรงข้าม ซึ่งขนาดฮาโรลด์ที่กำลังปล่อยออร่าแห่งความหงุดหงิดออกมาขนาดนี้ เอลล์ยังไม่ลังเลที่จะร้องเรียกเขาเลยซักนิด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าลีฟาจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆกับเอลล์
[ แม่นั้นเป็นไงบ้าง ? ] – ฮาโรลด์
[ ถ้านายหมายถึงลีฟา ตอนนี้เธออยู่ในห้องน่ะ เธอกำลังเก็บของเตรียมตัวที่จะกลับหมู่บ้านของเธอพรุ่งนี้ ] – เอลล์
[ เข้าใจล่ะ ตอนชั้นไม่อยู่มีปัญหาอะไรมั้ย ? ] – ฮาโรลด์
[ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าปัญหาจะได้มั้ย? แต่ว่ายูสทัสเล่าเรื่องของนายตอนที่เขาพบกับนายให้ฉันฟัง ] – ยูสทัส
[ ไอ้เวรนั้นเล่าเรื่องบ้าอะไรให้เธอฟัง ? ] – เอลล์
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เอลล์เล่า ดูเหมือนว่ามันจะเป็นฉากตอนที่ฮาโรลด์พบกับยูสทัสครั้งแรกในเวอร์ชั่นที่ฟังดูดราม่า*2 แม้ว่าเรื่องราวจะจริงตามนั้น แต่ว่ามีหลายๆส่วนที่เวอร์เกินจริงไปหน่อย ส่วนหนึ่งที่เกินจริงไปคือเรื่องดาบนั้นเพราะมันไม่เป็นความจริงเลย และการใช้ดาบเล่มนั้นเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเขาเป็นคนที่อันตรายขนาดไหนเป็นเรื่องที่แย่เอามากๆ และคำพูดของฮาโรลด์ในตอนนั้นที่พูดว่า “ส่งดาบนั้นมาซะ !! ส่งพลังนั้นมา !! ชั้นจะสอนแกให้รู้ว่านรกที่แท้จริงและความหมายของการเตรียมใจมันเป็นยังไง !!!! ” มันฟังดูลิเกไปหน่อยมั้ย ฮาโรลด์เริ่มไม่ค่อยเข้าใจว่ายูสทัสต้องการจะทำอะไรกับเขากันแน่ เพราะตอนแรกเขาคิดว่าหมอนั้นคงใช้เขาเป็นหมากตัวหนึ่งเฉยๆ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากยูสทัสยังคงไม่สงสัยในตัวเขา ฮาโรลด์ก็คงยังสามารถรักษาจุดยืนที่สามารถคอยสังเกตการณ์ว่าตอนนี้เรื่องราวดำเดินไปถึงช่วงไหนได้
[ นั้นคือสิ่งที่เขาเล่ามา ไงก็ตาม ฉันไม่ใช่คนเดียวหรอกนะที่เขาเล่าให้ฟัง ลีฟาก็ฟังด้วยเช่นกัน ] – เอลล์
[ เข้าใจแล้ว ] – ฮาโรลด์
[ … แล้ว ? แค่นี้หรอ ? ] – เอลล์
แม้เอลล์จะถามกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ฮาโรลด์ก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรอีก เหตุผลที่เขาสามารถแกว่งดาบเล่นไปมาได้ทั้งๆที่เป็นผู้กระทำผิดเพราะเขาอยู่ภายใต้การดูแลของยูสทัส และเหตุผลหลักนั้นก็คือเขาเป็น “ผู้ทดสอบเพื่อนำดาบที่ถูกพัฒนาโดยยูสทัสมาใช้งานจริง” แม้ว่าเอลล์จะได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องความจริงของดาบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ปากของเขาจะสามารถอธิบายให้เอลล์เข้าใจได้อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น เขาจึงคิดที่จะหาโอกาสบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เอลล์ฟังในภายหลัง เพราะยังไงเอลล์ก็กำลังจะกลายมาเป็นพรรคพวกกันอยู่แล้ว
[ ชั้นควรจะพูดอะไรอีก ? ] – ฮาโรลด์
[ ก็ ชั้นเข้าใจนายนะ แต่ว่า ลีฟา .. เธอค่อนข้างช็อคกับเรื่องนี้ … ] – เอลล์
(ช็อคงั้นเหรอ?… ) – ฮาโรลด์
แม้ว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องแค่ไหนถึงเรียกว่าช็อค แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกของลีฟาได้ที่ต้องรับรู้ว่าคนที่เธอรู้จักกำลังจะตาย แม้ว่าคนๆนั้นเธอจะไม่ถูกกันเท่าไหร่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์นั้นไม่สามารถบอกความจริงกับลีฟาได้ แล้วการที่คนที่กำลังจะตายไปพูดปลอบนั้นมันจะยิ่งทำร้ายความรู้สึกของลีฟาเข้าไปใหญ่ ดังนั้นมันจะดีกว่ารึปล่าวหากเข้าไปพูดคุยกับเธอด้วยเรื่องปกติทั่วๆไป ?
[ … เธอบอกว่าแม่นั้นอยู่ในห้องใช่ไหม ? ] – ฮาโรลด์
[ อ่า ใช่ ] – เอลล์
แม้มันจะเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็รู้สึกแย่หากปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไร ดังนั้นฮาโรลด์จึงมุ่งตรงไปยังห้องของลีฟาเพื่อดูอาการเธอ ส่วนเอลล์ เธอพูดเพียงแค่ว่า “ช่วยดูแลเธอด้วยนะ” แล้วก็เดินจากไปในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อพิจารณาจากเรื่องนี้แล้ว ด้วยความที่เอลล์เป็นคนที่อ่อนโยน ฮาโรลด์จึงอยากให้เอลล์ตามมากด้วยเสียมากกว่า เพื่อมาคอยหนุนหลังเขา
ขณะที่คิดถึงเรื่องเลวร้ายที่ปากของเขาอาจจะก่อขึ้น เขาก็เคาะประตูห้องของลีฟา
[ นั้นใครคะ ? ] – ลีฟา
มันเป็นเสียงที่กระสับกระส่ายไม่เหมาะสมกับนิสัยร่าเริงของลีฟาเลย เมื่อมองย้อนกลับไป ลีฟาเองก็มีท่าทีแปลกๆตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังเมืองคาบุลันอยู่ก่อนแล้ว
แต่นั้นก็ยังไม่ช่วยให้ฮาโรลด์เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของมันได้
[ เร็ว! เปิดประตูซักที ] – ฮาโรลด์
แทบจะพร้อมกับเสียงที่เขาบอกให้เปิดประตู มีเสียงอะไรบางอย่างตกกระทบดังมาจากภายในห้อง เสียงสิ่งของต่างๆล่วงหล่นลงสู่พื้นดังออกมาชั่วครู่หนึ่ง และเมื่อมันสงบลง ประตูก็ถูกเปิดออก แต่มันก็ถูกเปิดออกเพียงไม่กี่เซนเท่านั้น แต่ฮาโรลด์ไม่สนใจ เขาใช้ปลายเท้าสอดเข้าไปที่ช่องนั้นและดันมันเปิดออกจนสุดอย่างไร้ปราณี
[ คิย๊าา … ! ] – ลีฟา
เนื่องจากประตูที่ถูกเปิดกระทันหัน ทำให้ลีฟาสะดุดล้มลง และมันก็เผยให้ฮาโรลด์ได้เห็นใบหน้าของเธอที่กำลังตกใจแต่ก็เจือปนไปด้วยความกังวล เขาเดาว่าเป็นเพราะเธอกำลังจิตตก ด้วยร่างกายที่ผอมเพรียวอยู่แล้วของลีฟาตอนนี้มันกลับยิ่งดูผอมลงกว่าเดิมเสียอีก เธอคงน้ำหนักลดลงเพราะความกังวลและความเสียใจสำหรับเรื่องที่เขากำลังเผชิญ นั้นทำให้ฮาโรลด์รู้สึกมีความสุขที่รู้ว่ายังมีคนกังวลเกี่ยวกับตัวของเขาอยู่ แต่ความสุขของเขามันก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดในใจของเขาเช่นกัน เนื่องจากสิ่งที่ลีฟากำลังกังวลมันมาจากเรื่องหลอกหลวงทั้งเพ
[ ชั้นได้ยินมาว่าชั้นอาจจะได้เห็นภาพหาดูยากมากที่เธอกำลังเศร้าสร้อย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะปกติกว่าที่ชั้นคิดไว้ เห้อ ช่างน่าเบื่อ ] – ฮาโรลด์
[ อะไรกันยะ ?! ] – ลีฟา
การเสียดสีของฮาโรลด์กระตุ้นจุดเดือนของลีฟาได้ในเสี้ยววินาที จุดเดือดของยัยนี่จะต่ำไปไหน
ในทางกลับกัน นั้นมันก็ทำให้เธอถูกชักจูงได้ง่าย
[ นายเอาก็แต่พูดคำแย่ๆไปเรื่อย … แล้วใครกันล่ะที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ชั้นรู้สึกแย่กัน !? ] – ลีฟา
[ เธอไปฟังเรื่องราวพรรค์นั้นเอง แล้วก็รู้สึกจิตตกไปเอง ชั้นจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยบอกให้เธอไปทำอะไรแบบนั้น ] – ฮาโรลด์
[ …– อึก! ]
ลีฟารู้สึกโมโหมากกับการบ่นของฮาโรลด์ เธอโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงสด แม้ว่าฮาโรลด์และเธอจะมีความสัมพันธ์แบบลิ้นกับฟัน แต่เขาก็คิดว่าเขาก็สามารถเข้ากับเธอได้ดี
[ พอแล้ว ! ถ้านายกลับมาแล้วเป็นแบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน! ชั้นจะได้ไม่ต้องห่วงนายอีก ! ] – ลีฟา
[ เธอพูดตลกอะไร ? ชั้นไม่ตกต่ำถึงขนาดต้องให้เธอเป็นห่วงสักหน่อย งี่เง่า ] – ฮาโรลด์
[ —- ….นายกลับมาแล้วจริงๆ นายยังเป็นคนเดิม เหมือนเดิมทุกๆอย่าง .. คนที่ไม่มีวันจะยอมทำลายความมุ่งมั่นของตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม… ] – ลีฟา
[ เธอหมายความว่ายังไง ? ] – ฮาโรลด์
[ ชั้นไปถามดร.ยูสทัสมาแล้วเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังจากคำพิพากษาของนาย แล้วเขาก็เล่าให้ชั้นฟังว่า เพราะนายอยากได้พลัง เพราะนายต้องการที่จะแข็งแกร่ง นายเลยเข้าร่วมกับเขา ] – ยูสทัส
[ …. ] – ฮาโรลด์
ราวกับฮาโรลด์ยืนยันเรื่องนั้นผ่านความเงียบของเขา ลีฟาจึงถามกับเขาต่อ
[ แต่ชั้นน่ะ คิดว่านายแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่นายก็ยัง! นายยังแสวงหาพลังเพื่อความแข็งแกร่งแม้กระทั้งยอมแลกกับชีวิตตัวเอง ทำไมล่ะ? ทำไม? ] – ลีฟา
มันคือคำถามที่ไม่ควรถูกถามที่สุดในเวลาแบบนี้ เหตุผลที่ฮาโรลด์ต้องการพลังนั้นชัดเจนอยู่แล้ว เพราะมีธงตายกำลังรอเขาอยู่ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้นั้นถือเป็นข้อได้เปรียบระหว่างความเป็นและความตาย และยิ่งกว่านั้น หากเขาไม่รับข้อเสนอของยูสทัสในตอนนั้น เขาก็คงถูกประหารชีวิตไปแล้ว
ไม่ว่าจะยังไง หากเขาสามารถหลีกหนีธงตายได้ก่อนที่มันจะปรากฎขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่ว่าหากเขายังดำเนินเรื่องเหมือนดั่งภายในเกมส์แบบนี้ เขาจะต้องได้ปะทะกับปาร์ตี้ผู้กล้าถึง 3 ครั้ง และทุกครั้งฮาโรลด์ในเกมส์ก็แทบจะเอาชีวิตรอดไปไม่ได้ อย่างแย่ที่สุด เขาอาจจะต้องเป็นคนรับช่วงต่อในเหตุการณ์ที่เหล่าตัวเอกทำไม่สำเร็จอีกด้วย
และเพื่อเตรียมพร้อมกับช่วงเวลานั้น ฮาโรลด์จะต้องแข็งแกร่ง ต้องการพลัง เพื่อมาใช้หลีกเลี่ยง ทำลาย และเอาตัวรอดจากธงตายของเขาไปให้ได้
[ นั้นเป็นคำถามที่โง่มาก ก็เพราะมีบางสิ่งที่ชั้นต้องทำให้สำเร็จแม้จะต้องเสี่ยงด้วยชีวิตก็ตาม ] – ฮาโรลด์
เขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่แขวนไปด้วยความเป็นและความตายอย่างแท้จริง หากไม่เป็นเช่นนั้น ไม่มีทางที่เขาจะฝึกหนัก 10+ชม.ต่อวัน เป็นเวลา 8 ปีได้หรอก เขาใช้ความพยายามไปอย่างมากเพื่อเอาชนะธงตายของเขา ซึ่งไม่สามารถรีโหลดเซฟเล่นใหม่เหมือนดังในเกมส์ได้
[ ถึงจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมันงั้นเหรอ ? ทั้งที่จริงๆแล้วนายแทบ– ] – ลีฟา
ลีฟากำลังจะพูดว่า “นายแทบจะไม่มีเวลาชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว” แต่เธอกลับพูดมันออกมาไม่ได้ และไม่สามารถมองตรงๆไปหาฮาโรลด์ได้
[ ฟังนะ ชั้นเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่มีค่ามากไปกว่าชีวิตของตัวชั้นเอง ดังนั้นไม่มีทางที่ชั้นโดนเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ทำให้ตายได้หรอก ] – ฮาโรลด์
เขาจะไม่มีทางตาย เขาพูดออกมาอย่างหยิ่งผยองและมั่นใจตัวเองอย่างลึกลับหากใครที่ได้ฟังคงตะลึงจนลืมไปเลยว่าตรรกะที่เขาพูดมามันไม่สอดคล้องกันเสียหน่อย
[ เห้อ.. สมกับที่เป็นนาย เล่นเอาชั้นทึ่งเสียจนทำให้ชั้นรู้สึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ] – ลีฟา
เป็นดั่งที่ฮาโรลด์หวังเอาไว้ ตอนนี้รอยยิ้มได้กลับมาปรากฎบนใบหน้าของลีฟาอีกครั้ง แม้จะเล็กน้อย และถึงส่วนใหญ่เธอจะโกรธ แต่ก็ดีกว่าใบหน้าที่เศร้าสร้อยของเธอ เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็จะรู้เองว่าเรื่องราวที่ฮาโรลด์จะต้องตายจากดาบที่ดูดกลืนพลังชีวิตนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก แต่แทนที่จะปล่อยให้เธอกังวลใจจนกว่าจะถึงเวลานั้น มันคงจะดีกว่าที่จะทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวตลกๆของคนงี่เง่าและบ้าบิ่นที่เอาชีวิตตัวเองโยนทิ้งน้ำเล่น
“เมื่อดูจากสิ่งต่างๆในปัจจุบัน มันอาจจะไม่เป็นอะไรแล้ว พรุ่งนี้คงต้องบอกลากัน และถ้าหากพวกเรากลับมาพบกันครั้งหน้า ตอนนั้นพวกเราคงจะกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็หวังว่าเธอจะผ่านมันไปให้ได้ ถ้าผ่านไม่ได้ก็ระเบิดเขาทิ้งเลยก็ได้นะ” ฮาโรลด์คิดเช่นนั้นขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องไป แต่เท้าของเขาก็หยุดลงเพราะเสียงเรียกจากลีฟา “เดี่ยวก่อน มีอีกอย่างหนึ่ง” แต่เมื่อเขากำลังจะหันหลังกลับ เขาก็พบว่าเขาสูญเสียการได้ยินไป มีบางอย่างพรากกับรับรู้เสียงของเขา และนั้นไม่ใช่ฝีมือของเวทมนตร์แต่อย่างใด เพราะเขาหันหลังอยู่เลยไม่ยืนยันไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเดาว่าลีฟาคงกำลังยืนอยู่ด้วยปลายเท้าของตัวเองและเอามือของเธอปิดหูของเขาอยู่
นั้นกินเวลาเพียงไม่กี่วินาที และเมื่อฮาโรลด์เข้าใจสถานการณ์ ลีฟาก็เอามือของเธอออก
[ เธอทำอะไร ? ] – ฮาโรลด์
[ ไม่มีอะไรสักหน่อย~ มันแค่บางสิ่งที่ชั้นไม่อยากจะให้นายได้ยินตอนนี้~ คิคิ ] – ลีฟา
“งั้นก็พูดมันหลังจากชั้นออกไปจากห้องสิฟร่ะ” นั้นคือสิ่งที่ฮาโรลด์เกือบจะเผลอตอบกลับ แต่เขาก็ได้แต่กลืนมันลงคอไป เพราะตอนนี้เขาหมดแรงสุดๆ ยอมแพ้กับความเหนื่อยล้าความกังวลที่สะสมมาตลอดระหว่างการเดินทางอันแสนยาวนาน พ่ายแพ้ต่อความปรารถนาที่จะทิ้งหัวลงนอน สุดท้าย เขาก็ล้มเหลวในการมองเห็นเบื้องหลังความหมายของการกระทำของเด็กสาวโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขากลับมามองย้อนในภายหลัง หากเขาเอาใจใส่ในกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้มากกว่านี้ เหตุการณ์มันคงไม่พัฒนาจนยุ่งยากแบบนี้แน่ๆ นั้นคือสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันนี้มันจะส่งผลทำให้เขาต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในภายภาคหน้า
—————————-
วันนี้ที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งและอากาศสดชื่นถูกพัดผ่านมาจากกระแสทางทิศใต้ ท่ามกลางต้นไม้และดอกไม้นานาชนิดที่ปลิวไสวตามแรงลม
มันคือวันที่ดีสำหรับการออกเดินทาง
ไลเนอร์ ผู้ที่ได้เติบโตจากเด็กชายเป็นชายหนุ่ม เขากำลังลูบดาบที่เอวของตัวเองช้าๆอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปยังบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ
[ ไลเนอร์ นายจะไปจริงๆหรอ ? ] – คลอเล็ต
เจ้าของเสียงนั้นที่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจคือ คลอเล็ต กล่าวได้ว่าเธอเองก็เติมโตจากเด็กสาวเป็นหญิงสาวแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เหมือนดั่งน้ำเสียงของเธอ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความกังวล และพร้อมที่จะร้องไห้ออกมาหากสะกิดเพียงเบาๆ
และเพื่อที่จะทำให้คลอเล็ตสบายใจ ไลเนอร์จึงแสดงรอยยิ้มที่สดใสราวกับดวงอาทิตย์ให้เธอเห็น
[ อย่ากังวลไปเลยน่า ไอ้พวกนั้นมันหนีไปเมืองใกลๆนี่เอง เพราะงั้น ผมไปไม่ไกลหรอกนะ ] – ไลเนอร์
[ ตะ-แต่ว่ามันอันตรายนะ! แถมยังมีพวกสัตว์ประหลาดอยู่นอกหมู่บ้าน และนายก็จะไปสู้กับพวกโจรที่แม้กระทั้งคุณลีโอน่าและคุณโอเบลยังเอาชนะไม่ได้อีก ! ] – คลอเล็ต
คลอเล็ตพยายามเอ่ยชื่อพ่อและแม่ของเขาเพื่อที่จะรั้งเขาเอาไว้ สำหรับเธอนั้น การกระทำของไลเนอร์ในตอนนี้ดูแปลกไปและไม่สมกับที่เป็นตัวเขา
เนื่องจากเมื่อคืน มีโจรบุกเข้ามาภายในบ้านของไลเนอร์ แม้ว่าพวกโจรเพียงจะมาขโมยของจากโกดังที่อยู่แยกจากตัวบ้าน แต่คุณลีโอน่าสังเกตเห็นพวกมันและรีบออกไปต่อสู้ในทันที
มันเป็นการต่อสู้ 2 vs 2 แม้ว่าพวกเขาทั้ง 2 จะไม่ได้ต่อสู้จริงมานานมากแล้ว แต่ โอเบลและลีโอน่า ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นนักผจญภัยที่มีความสามารถ ส่วนอีกฝ่าย เป็นโจรในชุดดำสนิทราวกับแทบจะกลืนไปกับความมืด พวกมันสามารถรับมือโอเบลกับลีโอน่าได้โดยง่าย จึงไม่ต้องสงสัยใจความแข็งแกร่งของพวกโจรเลย
เมื่อการต่อสู้จบลง ผลก็คือ ลีโอน่าได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขาซ้าย และโอเบลได้รับบาดเจ็บที่บริเวณสีข้าง ซึ่งในตอนนั้น ไลเนอร์ได้ตามเข้ามาช่วยทั้งคู่ ซึ่งเขาได้โจมตีพวกโจรคนหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว แม้ว่าโจรคนนั้นจะตอบสนองได้ทัน แต่ไลเนอร์ก็สามารถตัดเสื้อคลุมส่วนหนึ่งมาได้
และนั้น แค่เพียงเสี้ยววิ เขาได้เห็นใบหน้าขาวซีดของโจรคนนั้นท่ามกลางแสงจันทร์อันมืดมิด และในจังหวะนั้น พวกโจรก็ใช้โอกาสหลบหนีออกจากบ้านกริฟฟินได้อย่างหวุดหวิด
อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ได้หมายความเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย พวกโจรได้ขโมยดาบอันล้ำค่าของพ่อแม่ของไลเนอร์ที่ได้รับมาจากซากปรักหักพังทางประวัติศาตร์สักแห่งหนึ่งสมัยตอนที่พวกเขายังเป็นนักผจญภัยอยู่
ที่จริงแล้ว ดาบนี้จะถูกส่งต่อให้ไรเนอร์เมื่อเขาเดินออกจากหมู่บ้านเพื่อไล่ตามความฝันที่จะเป็นอัศวินของเขา ไลเนอร์จะไม่ยอมให้ดาบถูกขโมยไปทั้งๆอย่างนี้ได้
[ ผมเป็นคนเดียวที่เห็นหน้าพวกมัน และผมเป็นคนเดียวที่สู้กับพวกมันได้ ] – ไลเนอร์
ในตอนนี้ พ่อแม่ของเขายังคงได้รับบาดเจ็บ และไลเนอร์มั่นใจว่าภายในหมู่บ้านแห่งนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่จะสามารถสู้กับพวกโจรได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะออกไปนำดาบอันล้ำค่าของเขากลับมาด้วยตัวเอง
[ ดังนั้นรอผมอยู่ที่นี่นะ และฝากดูแลพ่อแม่ของผมด้วย คลอเล็ต ตกลงนะ? ] – ไลเนอร์
[ อึก … ] – คลอเล็ต
คลอเล็ตรู้ดีว่าไลเนอร์จะไม่มีทางเปลี่ยนใจหากได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงรู้ดีกว่าเธอไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้อีกต่อไป
“ฉันไม่อยากให้นายไปเลย ฉันอยากให้นายอยู่เคียงข้างฉัน”
แม้ความคิดดังกล่าวจะครอบงำอยู่หัวของคลอเล็ต แต่เธอก็ไม่สามารถพูดมันออกไปได้ เธอรู้สึกว่าหากเธอพูดแบบนั้นออกไป เธอจะกลายเป็นคนอ่อนแอที่คุ้นเคยกับการถูกปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว
หากเธอสามารถบอกเขาได้ว่าครั้งนี้เธอจะตามเขาไปด้วย ถ้าเธอมีความมั่นใจในตัวเองมากว่านี้ที่จะกล้าพูดออกไป บางทีบทสรุปการเดินทางของไลเนอร์ในครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไปเดิม
[ ถ้างั้น ผมไปล่ะนะ คลอเล็ต ] – ไลเนอร์
ทีละก้าว ไลเนอร์ค่อยๆเดินห่างออกไป มีเพียงคลอเล็ตคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ เธอทำได้เพียงมองดูเขาเดินจากไป
ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าก้าวเล็กๆเหล่านั้นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่และยาวนาน แถมยังเกี่ยวพันถึงชะตากรรมของโลกใบนี้
————————————
ผู้แปล : จบเล่ม 3 แล้ววววว นึกว่าจะไม่ทันปีใหม่เสียแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะแปลมาถึงตอนที่ 73ได้ ยอมรับว่าไฟมอดไปหลายรอบเหมือนกัน แต่พอกลับมาอ่านที่ตัวเองเคยแปลไว้ไฟก็กลับมาลุกอีกรอบ (ฮา) ในที่สุดเนื้อเรื่องของเกมส์ก็เริ่มต้นขึ้น ใกล้ได้อ่านฉาก ฮาโรลด์ vs ปาร์ตี้ผู้กล้าแล้ววว เพราะงั้นรออ่านพร้อมกันที่เล่ม 4 นะครับ แต่ว่ากว่าจะได้เริ่มแปลตอน 74 อาจเป็นช่วงกลางๆหรือท้ายๆ มค. เลย เนื่องจากปีใหม่ติดงานยาว แถวหลังปีใหม่ผมมีแพลนจะไปเที่ยวด้วย เพราะงั้น สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ ><
ปล. แปลจนจบเล่ม 3 แล้วเพิ่งนึกออกว่าลืมเปลี่ยนหน้าปกเป็นเล่ม 3 = = ” งั้นฝากแปะไว้ตรงนี้ละกัน