My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 332
ที่บนท้องฟ้าแม้แต่ยู่ฉางตงเองที่เป็นคนสงบเยือกเย็นมาโดยตลอดก็ยังมีใบหน้าที่เต็มไปเหงื่อ ลมหายใจของเขาเริ่มไม่มั่นคงเหมือนกับก่อนหน้านี้
ยู่เฉิงไห่เองก็มีสภาพที่ใกล้เคียงกัน เหงื่อของเขาหยดลงไปที่แขน ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงมาที่ยู่เฉิงไห่ ในตอนนั้นเม็ดเหงื่อของเขาก็ได้ส่องประกายระยิบระยับตามแสงอาทิตย์
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็นมาก
ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวไปกับการต่อสู้จนหมดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะไปได้
“เทคนิคดาบกุยหยวนของเจ้าทรงพลังจริงๆ!” ยู่เฉิงไห่ไม่ได้คิดตระหนี่คำชมของเขาเลย
“พลังอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดของท่านเองก็ยิ่งใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังข้าเลย” ยู่ฉางตงได้พูดออกมารอยยิ้ม
ฮั๊วจงหยางมองไปที่การต่อสู้โดยที่พูดไม่ออก ในการต่อสู้ที่ผ่านมาหลายวันทั้งสองคนไม่เคยลดละเลยที่จะกล่าวคำชมให้กับคู่ต่อสู้เลย แต่ในตอนนี้การต่อสู้มันกินเวลามากว่าสามวันสามคืนแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนเคยชินกับการต่อสู้แล้วนั่นเอง หลังจากที่ทั้งยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่พูดสรรเสริญกันเสร็จ พวกเขาก็เริ่มการต่อสู้อีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้แต่ทั้งคู่ก็ดูอ่อนเพลียไปมากแล้วเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แต่ถึงแบบนั้นก็คงไม่มีใครจะสอดมือเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ของทั้งสองคนได้ ไม่มีใครอยากที่จะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ความหมายแน่
ฮั๊วจงหยางได้กวาดตามองรอบทะเลสาบร้อยกลีบ ทะเลสาบที่กินพื้นที่กว่าหลายไมล์ในตอนนี้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แม้แต่เทือกเขาสีม่วงที่สูงกว่า 100 ฟุตเองก็ยังถูกพังทลายไป ภูเขาบริเวณใกล้เคียงกับป่าเมฆากระจ่างต่างก็พังทลายเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ดาบพลังงานจากการต่อสู้กวัดแกว่งไป สถานที่ที่เคยมีก็จะถูกเปลี่ยนทิวทัศน์ไปด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนที่ถูกสังหารไปโดยดาบพลังงาน
ที่ที่เคยเป็นป่าในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปมาก มันดูเหมือนกับถูกไฟไหม้จนทำให้ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไป ไม่มีสถานที่แบบไหนที่ดูอุดมสมบูรณ์อีกต่อไป
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ไม่ได้ดูการต่อสู้กลางอากาศ ตัวเขากำลังรอให้การต่อสู้จบอยู่ที่กลางป่าเท่านั้น สีวู่หยาไม่เคยคิดอยากจะให้ศิษย์พี่ทั้งสองต้องทะเลาะกันแบบนี้ แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วตัวเขาก็ได้แต่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดสองคนใครกันแน่จะเหนือกว่ากัน? จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่รองกันแน่?
เพียงชั่วพริบตาเวลากว่า 4 ชั่วโมงก็ได้ผ่านพ้นไป…
สีวู่หยาไม่ได้รออยู่ที่กลางป่าอีกต่อไป ตัวเขารู้สึกได้ว่าการต่อสู้กำลังลดความรุนแรงน้อยลง ตัวเขารู้ดีว่าการต่อสู้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วและเพราะแบบนั้นสีวู่หยาจึงเลือกที่จะบินไปยังทิศทางที่เกิดการต่อสู้ขึ้น
ในตอนนั้นเองที่ด้านล่างของรถม้าของสำนักอเวย์จี กระบี่นิลโลหิตก็ยังคงบินวนอยู่บนท้องฟ้า กระบี่นิลโลหิตได้พุ่งชนต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณใกล้เคียง ต้นไม้ทุกต้นล้วนแต่ถูกทำลายไปอย่างราบคาบ
ยู่ฉางตงเองเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ตัวเขาเคลื่อนที่ไปทางซ้าย, กลาง และขวาอย่างไม่หยุดพัก
การเคลื่อนไหวของยู่ฉางตงได้ทำให้เกิดภาพติดตาทิ้งเอาไว้ เหล่าผู้ชมที่เฝ้ามองดูการต่อสู้รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังฝันไป ไม่มีใครมองเห็นจริงๆ ว่ายู่ฉางตงอยู่ที่ตำแหน่งไหนกันแน่
ยู่เฉิงไห่รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในทักษะดาบของยู่ฉางตง มันเป็นเคล็ดวิชาสามร่างหนึ่งวิญญาณ ยู่เฉิงไห่ได้ตะโกนออกมา “สลายไปซะ!” เสียงของเขาได้แผ่ขยายออกมาเป็นคลื่นเสียงออกไป
แม้ว่าพลังที่ระเบิดออกมาจะดูเรียบง่าย แต่ถึงแบบนั้นมันก็เป็นทักษะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเคล็ดวิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืด เมื่อพลังคลื่นเสียงกระเพื่อมออกมาสู่โลกภายนอก มันก็ได้หลอมรวมเข้ากับพลังของแสงดาวแห่งสวรรค์อันมืดมิดไป คลื่นเสียงที่ถูกเปล่งออกมาดูคล้ายกับคลื่นพลังลมปราณอันทรงพลัง ด้วยระดับการควบคุมพลังลมปราณที่ยู่เฉิงไห่มีตัวเขาจึงสามารถควบคุมพลังลมปราณให้ครอบคลุมไปทั้งผืนสวรรค์และพื้นโลกได้ เมื่อการควบคุมถูกควบคุมสำเร็จ คลื่นพลังลมปราณยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมา!
“พลังสืบทอดราชา?”
ฮั๊วจงหยางรีบตะโกนออกมา “พลังอวตาร!” สิ้นสุดเสียงของเขาพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ผู้พิทักษ์ที่เหลืออีกสามคนรู้ดีว่าจะต้องทำอะไร พวกเขาทั้งหมดต่างก็ใช้พลังอวตารของตัวเองขึ้นมา พลังอวตารกว่าสี่ร่างได้ปกป้องรถม้าขนาดใหญ่เอาไว้จากทางด้านล่าง
ตู๊ม!
พลังคลื่นยักษ์ได้ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า
คลื่นพลังถูกร่างอวตารทั้งสี่ป้องกันพลังเอาไว้ได้
แม้ว่าจะสามารถป้องกันพลังได้แต่รถม้าก็ถูกแรงลมที่มาจากคลื่นพลังลมปราณพัดพาไป
ใบหน้าของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้เปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงเพราะความพยายามที่จะต้องใช้แรงมากเกินไป นอกเหนือจากความเกรงขามที่พวกเขาทั้งสี่มี พวกเขาทั้งหมดยังรู้สึกเคารพและหวาดกลัวกับพลังที่อยู่ตรงหน้าด้วยเช่นเดียวกัน
สีวู่หยาอยู่ที่ตรงใจกลางของการต่อสู้รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่กำลังจะมาถึงตัว ตัวเขาขมวดคิ้วก่อนที่จะใช้พลังออกมา
ตู๊ม!
สีวู่หยาเอามือกอดอกเอาไว้ ตัวเขาได้ใช้ม่านพลังปกป้องตัวเองเพื่อหลีกหนีการโจมตี
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
สีวู่หยาไม่สามารถป้องกันพลังเอาไว้ได้ ตัวเขากระเด็นถอยหลังก่อนที่จะชนต้นไม้ไปกว่าหลายสิบต้นและล้มลง ที่มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมา สีวู่หยาไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย ตัวเขาดีใจมากกว่าที่จะสามารถลดพลังจากคลื่นพลังลมปราณจนทำให้ตัวเขาโดนแต่แรงกระแทกแบบนี้ได้ อาการบาดเจ็บทีสีวู่หยาได้รับมานับว่าเหมาะสมแล้ว ตัวเขาได้เช็ดคราบเลือดที่มุมปากก่อนที่จะเดินกลับไป
ในอีกด้านหนึ่งต้วนชิงเองก็เห็นคลื่นพลังที่กำลังตรงมหาพวกเขา ตัวเขาได้แต่ใช้ความคิดอย่างตื่นเต้น ‘เวลาที่จะได้เปล่งประกายมาถึงแล้ว!’ ต้วนชิงได้เปิดใช้พลังอวตารขึ้นมาก่อนที่จะใช้ม่านพลังสีดำขึ้นมา
ตู๊ม!
ในตอนแรกลู่โจวต้องการที่จะป้องกันพลังการโจมตีด้วยพลังพิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ตัวเขาไม่คาดคิดว่าต้วนชิงจะเริ่มแสดงพลังป้องกันได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
ในตอนนั้นเองเสียงดังสนั่นก็ได้ดังขึ้น รถม้าลอยฟ้ากระเด็นถอยกลับมา…มันคล้ายกับรถม้ากำลังถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดกลับมา
ลู่โจวขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าระยะเวลาคูลดาวน์ที่ตัวเขาได้รับมาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ตัวเขาแต่ได้ภาวนาให้ต้วนชิงสามารถป้องกันพลังในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้
ในเวลาเดียวกันร่างแยกของยู่ฉางตงก็ได้หายไป มีเพียงร่างที่เหลือเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่กำลังหมุนตัวกลับ ทันทีที่ยู่ฉางตงหมุนตัวกลับตัวเขาก็ได้ขว้างดาบยืนยาวออกมา
ยู่เฉิงไห่ที่กำลังระเบิดพลังสุดยอดออกมาไม่เหลือพลังที่จะปกป้องตัวเองได้อีกต่อไป ตัวเขาทำได้แค่เบิกตากว้างและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหลบการโจมตีของยู่ฉางตงให้ได้
พรึ๊บ!
ดาบยืนยาวได้ฟาดฟันผ่านไหล่ของยู่เฉิงไห่ไปก่อนที่จะร่วงหล่นลงสู่พื้น
ในขณะเดียวกันกระบี่นิลโลหิตก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นเช่นเดียวกัน
ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็ร่อนลงบนพื้น
การต่อสู้ได้เงียบสงบลงอีกครั้ง
การต่อสู้สิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน
หลังจากที่ใช้เวลาอันยาวนานในการต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงยืนเผชิญหน้ากันจากในระยะไกล ในตอนนี้ไม่มีใครเปิดฉากการโจมตีอีกต่อไป ด้วยเกียรติยศและความภาคภูมิใจที่หยั่งรากลึกลงไปในกระดูกของยอดฝีมือทั้งสองไม่มีใครยอมที่จะล้มลงกับพื้นได้
ที่ริมฝีปากของยู่ฉางตงเต็มไปด้วยรอยเลือด ส่วนที่ไหล่ของยู่เฉิงไห่เองก็มีบาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน
ความเงียบได้เข้าครอบนำทั้งสองคน ยู่เฉิงไห่เป็นคนที่ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาเพื่อยุติความเงียบงันนี้ “หนึ่งร่างสามวิญญาณไม่ใช่อะไรที่ข้าเคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ”
ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “พลังสืบทอดราชาของท่านก็ยิ่งใหญ่สมชื่อไม่แพ้กันเลย”
“แต่เจ้าน่ะพลังลมปราณหมดแล้ว”
“ท่านเองก็ไม่เหลือพลังลมปราณอยู่เช่นกัน”
นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น การต่อสู้นี้ใครจะเป็นผู้คว้าชัยและใครกันที่จะเป็นผู้ปราชัย? มันเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะกันแน่
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ล้วนมาจากสำนักอเวย์จี พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้ตัดสินในศึกครั้งนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะทำหน้าที่นี่ได้
ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็คิดว่าคนเพียงคนเดียวที่มีทั้งฝีมือและความสามารถมากพอก็คือสีวู่หยา เมื่อคิดถึงสีวู่หยาตัวเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา “ศิษย์น้องเจ็ด นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ ที่ได้พบเจ้า…” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“สวัสดีศิษย์พี่ใหญ่”
“ศิษย์น้องเจ็ดดีแล้วที่เจ้าอยู่ที่นี่”
“สวัสดีศิษย์พี่รอง”
ยู่เฉิงไห่ได้พูดต่อ “ตอนนี้…เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้ชนะในการประลองกัน? เป็นศิษย์พี่รองของเจ้าหรือว่าข้า?”
สีว่าหยาที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ‘เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า? พวกท่านก็แค่ต้องต่อสู้กันต่อไปเพื่อตัดสินกันด้วยตัวเองไม่ใช่หรอ? ข้าอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอดูผลลัพธ์เท่านั้น’
ยู่ฉางตงได้พูดต่อไป “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าก็แค่พูดออกมาตามตรง…เจ้าคิดว่าใครเก่งกว่ากันระหว่างข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า?”
‘เอ่อ…ถ้าหากข้าตอบไปคนที่ซวยจะต้องเป็นข้าแน่ๆ’
ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
สีวู่หยานับว่าเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง ตัวเขาสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมรวมไปถึงสภาพของศิษย์พี่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้โค้งคำนับออกมา “ข้าคิดว่าเสมอ”
“เสมออย่างงั้นหรอ?” ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พลังสืบทอดราชาของท่านได้ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่บาดเจ็บสาหัส ในทางกลับกันศิษย์พี่รองเองก็สามารถโจมตีกลับมาทำให้ท่านบาดเจ็บได้เช่นกัน…อืม มันต้องเสมอไม่ผิดแน่!” สีวู่หยาพูดออกมาตรงๆ ตัวเขาภูมิใจมากที่ตัวเองมีสติปัญหาหลักแหลมแบบนี้
ทั้งยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงมองไปที่สีวู่หยาในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะยังไม่พอใจในคำตอบ สีวู่หยาขมวดคิ้วของตัวเอง ตัวเขารู้สึกสาปแช่งความฉลาดของตัวเองอยู่ภายในใจ สีวู่หยาได้ทำให้พวกเขาทั้งคู่ขุ่นเคืองใจในเวลาเดียวกัน
ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนี้พวกเราจะต้องต่อสู้กันใหม่ในวันหลังแล้วล่ะ”
ยู่ฉางตงตอบกลับ “ข้าหวังว่าจะมีวันนั้น มันจะต้องมีวันที่ผลลัพธ์ของการต่อสู้ออกมาแน่”
สีวู่หยาพูดไม่ออก
ยู่เฉิงไห่ได้ยกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองกระบี่นิลโลหิตที่ปักอยู่บนพื้นก็กลับคืนสู่ฝักไป ดาบยืนยาวเองก็กลับมาที่ฝักดาบด้านหลังของยู่เฉางตงเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครยอมถอยก่อน
ยู่เฉิงไห่มองไปที่ยู่ฉางตงอย่างเย็นชาก่อนที่จะบินกลับไปยังท้องฟ้า กลับไปยังรถม้าที่ตัวเขาได้จากมา
สีวู่หยามั่นใจว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แต่จ้องมองผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเขาจากไปก็เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานสีวู่หยาก็พบว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับศิษย์พี่รองของเขาเช่นกัน “ศิษย์พี่รอง ท่านยังสบายดีใช่ไหม?”