My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 342
“คนที่จะฝึกดาบไปจนถึงขั้นราชันย์ได้คนคนนั้นถูกเรียกว่าอัจฉริยะจากเมืองหลวงทางตอนเหนือ ชายคนนั้นมีชื่อว่าหยวนดู่ยังไงล่ะ…” ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากนี้จักรพรรดิหลิวเกอก็ยังถือว่าเป็นผู้ใช้ดาบขั้นราชันย์อีกด้วย…”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็ได้แต่รู้สึกงุนงง พวกเขาทั้งหมดถือว่าเคยได้เห็นทักษะของหยวนดู่ต่อตาตัวเองมาแล้ว อันที่จริงทักษะที่หยวนดู่ได้ใช้ออกมาช่างดูน่าประทับใจมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นสูงในมือยอดฝีมือด้วยกันเอง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าหยวนดู่จะสามารถเอาชนะยู่ฉางตงในตอนนี้ได้ ยู่ฉางตงในตอนนี้ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่อยู่บนระดับสูงสุดอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ เหตุใดกันที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงยกย่องให้หยวนดู่มีทักษะดาบอยู่ที่ขั้นราชันย์? จักรพรรดิองค์ก่อนอย่างหลิวเกอเองก็ปกครองดินแดนทั้งหมดด้วยดาบของเขา ไม่ว่าจะยังไงก็ตามทั้งสองคนก็ได้ตายไปแล้ว การเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้ตายจากไปแล้วไม่ใช่อะไรที่พูดเกินไปหน่อยอย่างงั้นหรอ? ในอดีตที่ผ่านพ้นมาย่อมมีวีรบุรุษมากมายให้พูดถึงนับไม่ถ้วน ใครกันที่จะกล้าอ้างตัวว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ได้ตายจากไปแล้ว?
ก่อนที่ยู่ฉางตงจะได้ตอบกลับไป ฮั๊ววู่เด๋าก็เป็นอีกคนที่ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้อีกต่อไป ตัวเขาได้พูดออกมาซะก่อน “ท่านปรมาจารย์ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเองก็เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นราชันย์ดาบเช่นกันอย่างงั้นสินะ?”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะส่ายหัว “ไม่เชิง”
“ท่านปรมาจารย์โปรดชี้แนะข้าน้อยด้วย” ฮั๊ววู่เด๋าได้โค้งคำนับให้
“จักรพรรดิผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ได้พิชิตดินแดนต่างๆ ก่อนที่จะก่อตั้งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้สืบทอดครองบัลลังก์ต่อไปก็เท่านั้น เพราะแบบนั้นเขายังไม่ใช่ผู้ใช้ดาบขั้นราชันย์”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดก่อนที่จะถอยกลับมา
เล้งลั่วอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ “เป็นความจริงที่หยวนดู่แห่งเมืองหลวงทางตอนเหนือจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธรรมดาทั่วไปเท่านั้น เขาไม่ใช่ราชาผู้พิชิตดินแดนต่างๆ แม้แต่อย่างใด ตลอดหลายศตวรรษก่อนที่หยวนดู่จะเสียชีวิตไป เขาก็เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในโลงศพมาโดยตลอด เหตุใดกันทำไมเขาถึงถูกมองว่าเป็นผู้ใช้ดาบขั้นราชันย์แบบนั้น?”
ทุกๆ คนต่างก็สงสัยเกี่ยวกับสิ่งนี้ ทุกคนจ้องมองไปยังลู่โจวเพื่อที่จะรอคอยคำตอบจากตัวเขา
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “การต่อสู้เพื่อชีวิตตัวเองถือว่าเป็นการต่อสู้กับโชคชะตาและฟ้าดิน” น้ำเสียงของลู่โจวยังคงดูไม่แยแสอะไรเช่นเดิม ทำไมจนถึงตอนนี้ถึงไม่มีใครฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้? การที่กล้าต่อสู้กับชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วถือว่ามีค่าคู่ควรที่จะอยู่ในขั้นราชันย์ ไม่ใช่แค่หยวนดู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในเส้นทางนี้ได้ ในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมาผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็ได้ตายจากไปเพื่อการข้ามผ่านขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่
ฝานลี่เทียนได้พูดถามขึ้นมาอีกครั้ง “มีหลายคนที่ได้ต่อสู้กับฟ้าดินเพื่อชีวิตของตัวเองเช่นกัน เช่นนั้นพวกเขาทุกคนก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นราชันย์สินะ?”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดพยักหน้าให้อย่างมีเลศนัย
ทุกๆ คนต่างก็ตกตะลึงในตอนแรก หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าใจคำพูดของลู่โจวในที่สุด เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่ฉางตงก็ได้ก้มหัวลง วิถีแห่งดาบที่ตัวเขาภาคภูมิใจมาโดยตลอดไม่เคยอยู่ในขั้นราชันย์ในสายตาของผู้ที่เป็นอาจารย์เลย ยู่ฉางตงไม่อาจโต้กลับอะไรได้ อาจารย์ของเขาได้พูดถูกทุกอย่างแล้ว ในท้ายที่สุดการฝึกดาบของตัวเขาก็มีไว้เพื่อแสดงทักษะดาบออกมาเท่านั้น มันไม่ได้ต่างอะไรกับศิลปะการต่อสู้แม้แต่น้อย
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ยู่ฉางตง ‘ยังไงซะยู่ฉางตงก็ยังเด็กมากนัก ถ้าหากฉันรับมือกับยู่ฉางตงไม่ได้ ประสบการณ์ที่มีค่ากว่าพันปีก็คงจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ไปแน่’ ลู่โจวได้พูดต่อไป “ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋าหรือลัทธิขงจื๊อก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ดี”
ทุกๆ คนหันไปมองลู่โจวด้วยความสับสน นอกจากวิถีแห่งดาบจะถูกแบ่งออกเป็นสามระดับแล้ว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมุมมองของปรมาจารย์คนนี้อยู่ดี
“การไม่มีดาบดีกว่าการที่มีดาบ สิ่งใดก็ตามที่จิตใจสัมผัสได้สิ่งนั้นก็จะสามารถแปรเปลี่ยนกลายเป็นดาบได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรือทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งรอบตัวและการปรับตัว”
ลู่โจวจ้องมองไปที่ยู่ฉางตง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ยกมือขวาขึ้นมา ในตอนนั้นมีดาบพลังงานเล่มหนึ่งเกิดขึ้นจากนิ้วชี้และนิ้วกลางของตัวเขา ทันใดนั้นเองดาบพลังงานเล่มนั้นก็ได้แยกตัวเป็นสองส่วนก่อนที่จะแยกตัวเป็นทวีคูณมากยิ่งขึ้น ต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับถ้ำแห่งเงาสะท้อนถึงกับสั่นไหวก่อนที่จะมีใบไม้ร่วงหล่นลงมา
ใบไม้ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกได้ถึงลมกระโชกแรงที่กำลังพัดพาใบไม้พวกนั้น แม้แต่ลมก็ยังดูเฉียบคมราวกับใบมีด มันได้พัดผ่านหน้าของทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นไป โชคยังดีที่ทุกคนเป็นผู้ฝึกยุทธที่ผ่านการฝึกฝนร่างกายมาแล้ว ทุกๆ คนจึงสามารถต้านทานพลังจากสายลมนี้ได้ แต่ถึงแบนนั้นการสาธิตพลังของปรมาจารย์คนนี้ก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ดี ทุกๆ คนต่างก็เข้าใจว่าการไม่มีดาบดีกว่าการที่มีดาบแล้วนั่นเอง แม้ว่าจะมีคนเข้าใจสิ่งนี้จริงๆ แต่ถึงแบบนั้นจะไปมีสักกี่คนกันที่สามารถใช้พลังโดยที่ไม่ใช้ดาบได้?
การจะทำแบบนี้ได้ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยการควบคุมพลังลมปราณอย่างแม่นยำเท่านั้น คนคนนั้นจะต้องมีพลังที่สามารถปั่นป่วนใบไม้และสายลมจากการควบคุมพลังลมปราณได้ด้วย การจะใช้พลังแบบนี้ได้แทบที่จะเป็นไปได้เลยถ้าหากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นเวลาอย่างน้อยกว่า 100 ปี
ยู่ฉางตงมักจะอาศัยดาบยืนยาวในการต่อสู้มาโดยตลอด ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้มีโอกาสที่จะฝึกฝนการใช้พลังในลักษณะนี้เลย ยู่ฉางตงได้ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
ทัศนคติของคนจะกำหนดความสูงของดาบที่คนคนนั้นพึงมี ความแข็งแกร่งของวิถีแห่งดาบจะถูกพิจารณาจากความเข้าใจในดาบ ลู่โจวได้สอนบทเรียนใหม่ให้กับยู่ฉางตงไป สิ่งที่ยู่ฉางตงเคยเชื่อมั่นถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี เป็นธรรมดาที่ลู่โจวเป็นแบบนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเคยเป็นอาจารย์ของยู่ฉางตงอยู่ดี
“เจ้ายอมรับเรื่องนี้ได้สินะ?” ลู่โจวจ้องมองไปที่ยู่ฉางตง
“ข้ารู้แจ้งแล้ว” ยู่ฉางตงรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างอยู่ภายในใจ ตัวเขากำลังสงสัยว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ยู่ฉางตงจำได้ดีว่าอาจารย์ของเขาไม่เคยสอนตัวเขาอย่างอดทนในตอนที่ยู่ฉางตงเพิ่งเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ถ้าหากมีคนบอกว่าอาจารย์ของเขาเปลี่ยนไปแล้วแบบนี้ยู่ฉางตงคงไม่คิดที่จะเชื่อแน่นอน
“ติ้ง! เพิ่มวินัยให้กับยู่ฉางตง ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 500”
“ติ้ง! สั่งสอนยู่ฉางตง ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200”
จู่ๆ ลู่โจวก็นึกถึงความทรงจำเดิมที่ได้ลืมไปแล้ว มันเป็นความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคำถามของยู่ฉางตงและความกังวลที่ตัวเขาเคยคิดจะฆ่ายู่ฉางตงมาก่อน ยู่ฉางตงทำตัวราวกับว่ากลัวอดีต และไม่กล้าพอที่จะพูดถึง มันเป็นเหมือนกับบาดแผลที่มีอยู่ในจิตใจของเขา ลู่โจวรู้ดีว่าไม่มีทางเลยที่เขาจะบังคับยู่ฉางตงให้พูดออกมาได้ ตัวเขาได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “คิดทบทวนถึงสิ่งที่ทำในถ้ำแห่งเงาสะท้อนซะ”
หลังจากที่ลู่โจวพูดจบ ตัวเขาก็ได้หันหลังก่อนที่จะเดินกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันที แม้ว่าจะจากไปแล้วแต่ตัวเขาก็ไม่ได้หยิบดาบยืนยาวของยู่ฉางตงกลับไปด้วย
“ผู้อาวุโสเล้ง, ผู้อาวุโสฮั๊ว, ผู้อาวุโสฝาน…”
เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน, และฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะก่อนที่จะเดินตามไป
หลังจากที่ทั้งสี่คนเดินจากไป บรรยากาศที่ดูตึงเครียดก็ดูผ่อนคลาย
ทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ยู่ฉางตงมองไปที่ผู้ที่เป็นอาจารย์ก่อนที่จะเดินถอยกลับไป ในตอนนี้ตัวเขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำอะไรต่อไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้าตอนไหน
ซู่ฮ่องกงเองก็กำลังจะจากไป ในตอนนั้นยู่ฉางตงก็ได้พูดออกมาเบาๆ ซะก่อน “ศิษย์น้องแปด”
“หะ?” ซู่ฮ่องกงหยุดเดินก่อนที่จะหันกลับมา ตัวของเขาสั่นไปทั้งตัว
“มานี่สิ”
“ศิษย์พี่รอง ข้า…ข้าได้อาศัยอยู่ที่ศาลาทางทิศใต้แล้ว”
ยู่ฉางตงไม่ได้รีบร้อนอะไร ตัวเขาเดินกลับเข้าไปในถ้ำแห่งเงาสะท้อน ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอีกครั้ง “ไม่จำเป็นจะต้องประหม่าหรอก” คำพูดของยู่ฉางตงยังฟังดูนุ่มนวลและถ่อมตนเช่นเดิม ยู่ฉางตงกำลังนึกถึงภาพที่ตัวเขาได้เห็นที่ป่าเมฆากระจ่างอยู่ มันเป็นภาพที่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาได้ใช้วิชาหนึ่งร่างสามดวงวิญญาณออกมา ยู่ฉางตงได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าขอถามตามตรง ท่านอาจารย์ในตอนนี้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้วอย่างงั้นสินะ?”
“หะ?” ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินตกตะลึง ‘เก้ากลีบอย่างงั้นหรอ?’
ยู่ฉางตงไม่ได้คิดที่จะถามเรื่องนี้อย่างไร้เหตุผล ตัวเขารู้ดีว่าเทคนิคดาบกุยหยวนเป็นเทคนิคดาบที่เฉพาะตัวมากแค่ไหน และตัวเขาก็ยังฝึกฝนเทคนิคดาบกุยหยวนจนเชี่ยวชาญแล้วด้วย แม้ว่าตัวเขาจะรู้ดีว่าตัวเองจะไม่อาจสู้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ได้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ควรที่จะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับแบบนี้ มีเพียงความเป็นไปได้เดียวที่เหลืออยู่ ความเป็นไปได้นั้นก็คือผู้ที่เป็นอาจารย์ของเขาได้ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้วนั่นเอง
“เป็นไปไม่ได้…ศิษย์พี่รอง ไม่มีอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…ข้าไม่รู้อะไรเลย อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าไม่รู้จริงๆ …” ซู่ฮ่องกงได้โบกมือปฏิเสธอย่างไม่หยุดพัก
ยู่ฉางตงไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างเงียบๆ การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดโดยต้องต่อสู้กับโชคชะตาฟ้าดินถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีดาบขั้นราชันย์ อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ที่ยอมต่อสู้เอาชีวิตรอดมาได้ แล้วคนคนนั้นจะอยู่ที่ระดับสามได้ยังไงกัน? บางทีผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเขาอาจจะค้นพบวิธีที่จะเอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ไปแล้วก็เป็นได้ นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ของเขาพูดออกมาเพื่อไขความกระจ่างให้กับทุกคนได้
ในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจว, เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋า พวกเขาทั้งสี่ได้เดินทางมาถึงห้องโถงแห่งนี้แล้ว ลู่โจวที่นั่งลงบัลลังก์ของตัวเองก็ได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “นั่งก่อนเถอะ”
ผู้อาวุโสสามคนได้นั่งลง
“ข้าเชื่อว่าทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง…พวกเจ้ารู้เรื่องเมลิล็อตบ้างไหม?”
เล้งลั่วได้พูดออกมาเป็นคนแรก “ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมันมาบ้างแล้ว ว่ากันว่าเมลิล็อตเติบโตอยู่บนภูเขาน้ำกร่อย ไม่มีพืชชนิดอื่นเติบโตในภูเขาแห่งนั้นได้ มันเป็นสถานที่ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั่วทั้งปี”