My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 358
โจวจี้เฟิงสังเกตเห็นท่าทางของฮั๊วยู่จิงที่เปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้น?”
ฮั๊วยู่จิงรีบตอบกลับมา “ไม่มีอะไร…ข้า…ข้าสบายดี…”
มีคนไม่มากอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ในตอนนี้ ดังนั้นทุกคนจึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไปได้อย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้เลยที่ลู่โจวจะพลาดการเปลี่ยนแปลงของฮั๊วยู่จิงได้
“ชื่อทั้งหมดนี้เป็นชื่อของผู้ที่คิดร้ายต่อศาลาปีศาจลอยฟ้า…มีสำนักฝ่ายธรรมะมากมายอยู่ภายในนั้น แต่เจ้าเคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงได้มีรายชื่อในการสังหารเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น?” ลู่โจวเป็นฝ่ายถามออกมา ในตอนแรกตัวเขาไม่คิดที่จะอธิบายเหตุผลออกมา แต่ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากแล้ว ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจากสำนักอื่นๆ
ก่อนที่ลู่โจวจะเริ่มอธิบายออกมา ฝานซงได้พูดออกมาซะก่อน “ชื่อที่ท่านปรมาจารย์และท่านยู่ฉางตงได้เขียนเอาไว้สมควรที่จะตายแล้ว ในอดีตพวกเขาล้วนแต่เคยโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้า เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องรับผลกรรมไป”
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ฮั๊วยู่จิง” ลู๋โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงที่เห็นแบบนั้นรีบโค้งคำนับให้ “ท่านปรมาจารย์”
“ผู้อาวุโสคนที่สองแห่งสำนักลั่วชานหยุนเจิ้ง…เจ้ามีปัญหาที่จะสังหารเจ้านั่นอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามออกมา ตัวเขาสังเกตเห็นว่าทันทีที่ชื่อของชานหยุนเจิ้งถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของฮั๊วยู่จิงก็ดูแย่ไป
ฮั๊วยู่จิงได้ตอบกลับมา “ข้าน้อยไม่กล้าแสดงความคิดอะไรอะไรกับคนที่ท่านยู่ฉางตงต้องการจะจัดการค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย”
“หืม?”
“ชานหยุนเจิ้งเป็นอาจารย์ของข้า…แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามข้าก็ได้ออกจากสำนักหยุนแล้ว ข้าได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับนางไปแล้ว…” ฮั๊วยู่จิงได้อธิบายเพิ่มเติม
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ไม่น่าแปลกที่นางจะแสดงกิริยาท่าทางออกมาเมื่อชื่อของชานหยุนเจิ้งถูกเอ่ย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกแบบนั้น เว้นแต่ว่ายางจะเป็นคนเลือดเย็นเท่านั้นที่จะไม่สนใจผู้ที่เป็นอดีตอาจารย์ของตัวเอง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า “ชานหยุนเจิ้งอย่างงั้นหรอ?”
ฮั๊วยู่จิงพยักหน้าตอบรับ “ถูกต้องแล้วค่ะ”
ลู่โจวมองไปที่ยู่ฉางตง ท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงเป็นคนที่เพิ่มชื่อนี้เอง
ยู่ฉางตงพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นข้าจะไว้ชีวิตของนางไว้เป็นคนสุดท้ายเอง…ถ้าหากนางเต็มใจที่จะกลับใจก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าก็จะไว้ชีวิตนาง” คำพูดของยู่ฉางตงถูกส่งไปหาฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ฟังแบบนั้นตอบกลับมา “ขอบคุณมากค่ะท่านปรมาจารย์ ท่านยู่ฉางตง”
ในท้ายที่สุดแล้วยังไงซะผู้ที่เป็นอาจารย์ก็เป็นผู้ที่สอนทุกอย่างให้กับนางได้รู้ การที่นางจะต้องตอบแทนผู้เป็นอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา นี้อาจจะเป็นภาระหน้าที่ของผู้ที่เป็นศิษย์สาวกก็เป็นได้ ลู่โจวเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เช่นกันแม้ว่าตัวเขาจะรู้สึกไม่ชอบชานหยุนเจิ้งมากนัก ในตอนที่มีเหล่ายอดฝีมือมากมายหลายคนจากสิบสุดยอดสำนักล้อมโจมตีภูเขาทองเอาไว้ นอกเหนือจากชื่อของสิบยอดฝีมือแล้ว ลู่โจวจำชื่อได้เพียงไม่กี่ชื่อเท่านั้น
และเมื่อไม่มีการคัดค้านอะไรอีกต่อไปยู่ฉางตงจึงได้เก็บรายชื่อเหล่านั้นไป “ได้โปรดบอกข้าถึงภารกิจที่สองด้วยครับท่านอาจารย์”
ลู่โจวโบกมืออีกครั้ง ครั้งนี้มีแผ่นกระดาษลอยมาหายู่ฉางตงเช่นเคย
ยู่ฉางจงได้คว้ากระดาษเอาไว้ก่อนที่จะเหลือบมองมัน ที่กระดาษมันเต็มไปด้วยตัวหนังสือและสัญลักษณ์ต่างๆ ยู่ฉางตงไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลย
หยวนเอ๋อที่อยู่ไม่ไกลพยายามที่จะเขย่งขาให้ได้มากที่สุด เมื่อนางเหลือบเห็นสัญลักษณ์ที่อยู่บนกระดาษ หยวนเอ๋อเองก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน
ลู่โจวพูดขึ้น “ภารกิจที่สองให้เจ้ามุ่งหน้าไปที่หุบเขาน้ำกร่อยซะ เมื่อไปที่นั่นจงตามหาหนังสือที่มีสัญลักษณ์ตามกระดาษแผ่นนี้”
ยู่ฉางตงจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นเดิมอีกครั้ง ในตอนนั้นเองก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจ หุบเขาน้ำกร่อยถือว่าเป็นบ้านเกิดของตัวเขา แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ไม่รู้จักสัญลักษณ์ที่อยู่ในกระดาษพวกนี้เลย แต่จากที่ยู่ฉางตงสัมผัสได้ อาจารย์ของเขาอย่างลู่โจวจงใจที่จะส่งตัวเขาไปที่หุบเขาน้ำกร่อย ยู่ฉางตงเองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ตัวเขาได้จากดินแดนที่เป็นบ้านเกินมานานแสนนาน มันเป็นผลที่มีมาจากกฎเหล็กข้อที่สองของศาลาปีศาจลอยฟ้า กฎที่ว่าก็คือการตัดสัมพันธ์ทุกอย่างที่เคยมีมาในอดีต ท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงก็ไม่อาจปฏิเสธภารกิจที่ได้รับมอบหมายออกมาได้ “ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่งเอง…แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาที่อยู่ของเหล่ายอดฝีมือจากสิบสุดยอดสำนัก ดูเหมือนว่าภารกิจนี้จะต้องใช้เวลาอีกพอสมควร”
“ไม่เป็นไร แค่ทำตามสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็พอ” ลู่โจวตอบกลับมา
ไม่เพียงแต่ยู่ฉางตงเท่านั้นที่จะต้องค้นหาเหล่ายอดฝีมือที่ว่า ตัวเขาจะต้องสังหารทุกคนอีกด้วย จะต้องมีผู้ฝึกยุทธที่กลัวตายจนเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ที่เขตแดนพลังหรือไม่ก็ม่านพลังอย่างแน่นอน คงจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการออกค้นหา แม้ว่ายู่ฉางตงจะมีพลังวรยุทธล้ำลึกก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ ที่จะทำกันในชั่วข้ามคืนอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงก็ตอบรับกลับไป “ครับ ท่านอาจารย์!”
หลังจากนั้นลู่โจวก็ก้มหน้ามองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล “ถ้าหากเจ้าเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เจ้าก็ปล่อยพวกมันไว้ซะ ข้าจะจัดการเอง”
มีเรื่องที่น่าประหลาดใจมากมายอยู่ภายในโลก ลู่โจวรู้ดีว่ายู่ฉางตงชอบที่จะดูถูกตัวอื่นเพียงเพราะตัวเขาเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ
ยู่ฉางตงตกตะลึงในตอนแรก หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะออกไปจากห้องโถงใหญ่
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองการจากไป ยู่ฉางตงเพิ่งจะกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ไม่นาน แต่ตัวเขากับได้ภารกิจอันแสนสำคัญไปทำ ยู่ฉางตงจะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวยังมองอิสระในการทำภารกิจ ยู่ฉางตงสามารถทำภารกิจตามความเหมาะสมได้อีกด้วย
ยู่ฉางตงเป็นผู้ที่ชอบทำภารกิจเช่นนี้…ตัวเขามักจะชอบเดินทางด้วยตัวคนเดียวเพื่อที่จะท้าทายเหล่ายอดฝีมืออยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นสำหรับภารกิจที่ได้รับมอบหมายมามันไม่ได้ต่างอะไรไปจากชีวิตเดิมที่ยู่ฉางตงเคยใช้ สำหรับตัวเขา ยู่ฉางตงก็แค่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนกับในอดีต
หลังจากผ่านไปสองวัน ยู่ฉางตงก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป
ภารกิจที่ยู่ฉางตงได้รับมอบหมายมาเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความไว้วางใจสูง ลู่โจวมองว่ายู่ฉางตงเป็นคนที่ซื่อสัตย์และยังมีทั้งฝีมือที่ยอดเยี่ยม เขาจะต้องพยายามทำภารกิจให้ออกมาดีที่สุดแน่ และนี่จะเป็นภารกิจที่เหมาะกับตัวของยู่ฉางตงเองอีกด้วย
ลู่โจวเคยคิดที่จะให้ยู่ฉางตงจับศิษย์คนที่เจ็ดอย่างสีวู่หยากลับมาแล้ว แต่ในตอนนี้สีวู่หยาคงจะอยู่กับยู่เฉิงไห่อย่างแน่นอน ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็มีฝีมือที่สูสีกัน แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพาตัวสีวู่หยากลับมาได้ทั้งๆ ที่มียู่เฉิงไห่อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่สำนักอเวจียังมีสาขาย่อยมากมายกระจายอยู่ทั่วทั้งดินแดน การที่จะให้ยู่ฉางตงเพียงคนเดียวออกไปตามหาคงจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
ในขณะเดียวกันข่าวลือการตายของเจียงอาเฉียนก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งยุทธภพ
เหล่าราชวงศ์แห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่เองก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้ฟังข่าวนี้
เหล่าขุนนางต่างก็พูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างดุเดือด แต่เมื่อองค์จักรพรรดิไม่ได้ปรากฏตัวออกมาในตลอดหลายวันท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็เงียบไปเอง
เจ็ดวันผ่านมาเกิดความวุ่นวายขึ้นที่มณฑลยี่
ทางพระราชสำนักและเหล่าราชวงศ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องระงับความวุ่นวายที่มณฑลยี่ซะก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องขององค์ชายสองอีกต่อไป
ภายในห้องขององค์จักรพรรดิ
หนึ่งในผู้รายงานได้เดินเข้ามา ตัวเขาได้คุกเข่าลงบนพื้นก่อนที่จะพูดออกมา “ฝ่าบาท มีรายงานจากแนวหน้าเกี่ยวกับเรื่องของความระส่ำระสายของมณฑลยี่”
ชายที่มีรูปร่างคล้ายกับอายุ 60 ปีกำลังยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะยาวตัวหนึ่ง เขาคนนั้นมีเครายาวถึงพื้น ดวงตาดูสงบนิ่ง ลึกราวกับผืนมหาสมุทร ชายคนนั้นเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เขาก็คือหลิวกู่ หลิวกู่ยังคงยุ่งอยู่กับการประดิษฐ์อักษรด้วยตัวเอง ตัวเขาดูจะไม่ได้สนใจเรื่องที่รายงานมาสักเท่าไหร่
หลังจากที่ผ่านไปสักพักหลิวกู่ก็ได้วางพู่กันลงก่อนที่จะพูดออกมา “ถ่ายทอดคำสั่งให้กับเหว่ยซู่หยาน บอกให้เขาไปจัดการเรื่องความวุ่นวายนั่นซะ”
ผู้รายงานตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขากำลังจะสอบถามว่าควรเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมดีไหม แต่เมื่อได้เห็นการแสดงออกขององค์จักรพรรดิ ผู้รายงานก็ได้แต่กลืนน้ำลายก่อนที่จะยอมรับคำสั่งแต่โดยดี “ครับฝ่าบาท”
“สถานการณ์ของอัครมเหสีเป็นยังไงบ้าง?” หลิวกู่ได้ถามออกมา
“อัครมเหสีที่ทรงประชวรได้ไปรักษาตัวที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า…แต่ผู้คุ้มกันเจียงเหลียงผู้ที่ปกป้องอัครมเหสีไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ตายไปแล้ว เจียงอาเฉียนที่ลอบสังหารองค์ชายสองก็ได้รับความยุติธรรมไปแล้วเช่นกัน”
หลิวกู่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ถ่ายทอดคำสั่งข้า สั่งกักบริเวณองค์รัชทายาทเป็นเวลาสามเดือน นอกจากนี้หาคนมาทดแทนฮานยู่หยวนให้ได้เร็วที่สุด บอกให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมรายชื่อมาและนำเสนอต่อหน้าข้า”
“ครับฝ่าบาท” ผู้รายงานคนนั้นได้ออกจากห้องไปด้วยความเคารพ
ในตอนนี้ห้องหนังสือก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หลิวกู่ยกมือขวาขึ้นมาเล็กน้อย ที่ฝ่ามือของเขามีเส้นเลือดสีแดงฉานปูดออกมา หลิวกู่ได้พึมพำกับตัวเอง “ถ้าหากข้าฝึกฝนตัวเองไปที่ขั้นเก้าได้ ไม่ใช่แค่เก้ามณฑลเท่านั้นที่จะเป็นของข้า ดินแดนทุกแห่งหนจะต้องตกเป็นของข้า!”
เจ็ดวันต่อมา
ที่สำนักต้วนหลินที่ตั้งอยู่บนหุบเขาแห่งแหวน
สำนักต้วนหลินถือว่าเป็นสำนักเล็กๆ ที่นับถือคำสอนของลัทธิขงจื๊อ นอกจากนี้สำนักต้วนหลินยังเป็นหนึ่งในสำนักที่บุกโจมตีภูเขาทองในตอนนั้น และเพราะว่ามันเป็นเพียงสำนักเล็กๆ เท่านั้นมันก็เลยไร้ซึ่งการป้องกันจากม่านพลังหรือเขตแดนพลังใดๆ
หุบเขาแห่งแหวนตั้งอยู่ในสถานที่ที่ไกลแสนไกลและการที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นได้จะต้องผ่านถนนหนทางที่คดเคี้ยว
เพื่อที่จะเดินทางมาถึงหุบเขาแห่งแหวน คนคนนั้นจะต้องเดินทางผ่านหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ นาๆ ดังนั้นสำนักต้วนหลินจึงมีคูเมืองและหุบเขาที่กลายเป็นเหมือนผู้ปกป้องตามธรรมชาติของสำนักแห่งนี้
ในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เหล่าสาวกของสำนักต้วนหลินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ลาน
ในตอนนั้นเองก็มีชายชุดเขียวปรากฏขึ้นมาบนกลางอากาศ
“นั่นใครกัน!?”
เหล่าสาวกที่รู้ตัวต่างก็มารวมตัวกันในทันที พวกเขาจ้องมองไปที่ชายชุดเขียวผู้มาเยือน แม้ว่าจะมาคนเดียวแต่ก็ไม่มีใครที่จะคิดดูถูกชายแปลกหน้าคนนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วชายคนนี้ก็เข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับเชิญได้ เขาจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ชายชุดเขียวยิ้มให้ก่อนที่จะตอบกลับมา “ขอโทษที่ข้าต้องบุกรุกโดยไม่ได้รับเชิญแบบนี้ ที่นี่คือสำนักต้วนหลินใช่หรือไม่?”
“นี่คือสำนักต้วนหลิน ท่านมีธุระอะไรกัน?” สาวกคนหนึ่งที่กล้าหาญมากพอได้ถามกลับมา
“เจ้าสำนักฉางเจียนอยู่ที่นี่ไหม?” ชายชุดเขียวได้ถามออกมาแทนที่จะตอบคำถาม
เหล่าสาวกต่างก็สบตากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังโอ่อ่าดึงขึ้นมาจากห้องโถงใหญ่ มันเป็นห้องโถงที่ตั้งอยู่ใจกลางของหุบเขา “ใครอยากที่จะพบข้ากัน?”
ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้พุ่งตัวออกมาพร้อมกับพลังอันมหาศาล ชายคนนั้นได้พุ่งขึ้นไปอยู่เหนือห้องโถงใหญ่
“ท่านเจ้าสำนักฝึกฝนจนก้าวหน้าได้แล้ว!”
“ท่านเจ้าสำนักช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เหล่าศิษย์สาวกต่างก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเจ้าสำนักฝึกฝนตัวเองจนแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นได้ นั่นก็แสดงว่าสำนักต้วนหลินก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สำนักเล็กๆ แห่งนี้ก็จะมีสิทธิ์ที่จะยืนหยัดอยู่บนโลกของยุทธภพได้มากขึ้นเช่นกัน
เมื่อชายชุดเขียวเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ ตัวเขาก็ยังคงนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวเช่นเคย ชายคนนั้นได้หยิบเศษกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
เมื่อเหล่าสาวกเห็นแบบนั้นทุกคนก็ต่างงุนงง พวกเขาไม่รู้เลยว่าชายชุดเขียวกำลังทำอะไรกันแน่
ชายชุดเขียวได้เอาอะไรบางอย่างที่สามารถสร้างสีดำขึ้นได้ออกจากกระเป๋า ชายคนนั้นได้เอามันลบชื่อของฉางเจียนออกจากรายชื่อทั้งหมดไป
แม้ว่าเหล่าสาวกจะมองไม่เห็นเนื้อหาที่มีอยู่บนกระดาษ แต่การเคลื่อนไหวที่ดูเรียบง่ายของชายชุดเขียวก็ยังดูสะดุดตาของทุกคนอยู่ดี
ในตอนนี้ฉางเจียนที่กำลังลอยอยู่เหนือห้องโถงใหญ่ก็ได้ปลดปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชาออกมา ที่รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยพลัง เห็นได้ชัดว่าฉางเจียนเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนก้าวหน้าขึ้นมาได้ เป็นธรรมดาที่เขาจะอยากแสดงพลังความแข็งแกร่งที่ได้มาใหม่
ฉางเจียนมองไปที่ร่างของชายชุดเขียว ตัวเขารู้ดีว่าผู้มาเยือนไม่ใช่คนที่รีบร้อนอะไร ฉางเจียนเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะประเมินคู่ต่อสู้ต่ำจนเกินไปอีกด้วย ตัวเขาได้คารวะให้ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถามออกมา “ท่านผู้นี้มีธุระอะไรกับสำนักต้วนหลินกัน?”
“เจ้าคือฉางเจียนอย่างงั้นสินะ?” ชายขุดเขียวได้ถามออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
เป็นเรื่องหยาบคายที่จะเรียกชื่อของใครสักคนด้วยชื่อเต็มของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นฉางเจียนเป็นถึงเจ้าสำนัก ฉางเจียนพยายามระงับความโกรธเอาไว้ก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยความรำคาญ “ข้าเอง”
“งั้นก็ไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ” ร่างของชายชุดเขียวได้เก็บรายชื่อใส่ในกระเป๋าไป
“นั่นมันอะไรกัน?”
“ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ ข้ารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่จะต้องพูดถึงรายชื่อน่ะ” ชายขุดเขียวตอบกลับมาอย่างสุภาพ
“รายชื่ออย่างงั้นหรอ?”
ชายชุดเขียวได้หันไปมองรอบตัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมั่นใจ “ทุกคนไม่จำเป็นจะต้องกังวลไป” ท้ายที่สุดแล้วการที่ชายชุดเขียวมาที่นี่ก็เพื่อตามหาคนในรายชื่อเพียงเท่านั้น
“…” ฉางเจียนขมวดคิ้วของตัวเอง ตัวเขาจ้องมองไปที่ร่างของชายชุดเขียวด้วยสายตาที่ร้อนแรง ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องที่ทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็สั่นสะเทือน หัวใจของฉางเจียนเต้นไม่เป็นจังหวะ “เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะฆ่าข้าอย่างงั้นหรอ?”
“ข้าขอโทษด้วย” ชายชุดเขียวได้ยกมือขวาขึ้นมาเล็กน้อย
ดาบยืนยาวได้ลอยเข้ามาหาที่ฝ่ามือขวาของชายคนนั้น
“ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นใคร…ข้าขอพูดอะไรสักสองสามคำกับเจ้าจะได้ไหม?” คิ้วของฉางเจียนขมวดเข้าหากันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความหยิ่งผยองและความมั่นใจทั้งหมดที่เคยมีก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้วี่แววเมื่อเห็นดาบยืนยาว
“ได้สิ” ชายชุดเขียวตอบกลับมา
“ข้าเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบได้…ให้เวลาข้าสามวัน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะยอมรับความผิดทั้งหมดแต่โดยดี” ฉางเจียนได้พูดออกมา
ชายชุดเขียวได้ยิ้มให้จางๆ “ไม่”
“…”
มันเป็นเหมือนกับคำพูดที่ว่า ‘สุนัขจนตรอกจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาตัวรอด’ ยู่ฉางตงรู้ดีว่าคนแบบฉางเจียนจะทำอะไร
“ผู้อาวุโส มาหาข้าเร็วเข้า!” ฉางเจียนได้ตะโกนออกมา
ผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนได้กระโดดขึ้นมาจากหุบเขา จำนวนของเหล่าสาวกเริ่มมีมากขึ้น เมื่อรวมตัวกับเหล่าสาวกเดิมในตอนนี้ก็มีคนเกือบ 1,000 คน แม้ว่าจะมีศัตรูเพิ่มขึ้นมาสักแค่ไหน ชายชุดเขียวก็ยังคงยืนสงบนิ่ง ตัวเขาได้จับดาบยืนยาวเอาไว้โดยที่ไม่เคลื่อนที่ไปไหน
ดาบยืนยาวได้สั่นตัวเองเมื่อสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะต่อสู้ของผู้เป็นเจ้าของ ดาบที่ไม่ได้ลิ้มรสของเลือดมานานจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก “…ทุกคนที่มีอยู่ในรายชื่อนี้จะต้องตายด้วยดาบของข้า ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายให้ทุกคนหนีไปซะ ข้ายู่ฉางตงจะขอบพระคุณทุกท่านเป็นการล่วงหน้า”
คำที่ออกเสียงว่า ‘ยู่ฉางตง’ ทำให้ทุกคนถึงกับสั่นกลัว กำลังเสริมที่ฉางเจียนเรียกมาได้สูญเสียความตั้งใจไปหมดแล้ว ทุกคนต่างก็จ้องไปที่ยู่ฉางตงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ท้ายที่สุดยู่ฉางตงก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างของเขาได้แยกออกเป็นสามร่างก่อนที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในขณะที่เข้าถึงตัวของฉางเจียน ร่างกายของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วดุจดั่งดาวตก
ภายในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวที่กำลังคิดถึงอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ก็ได้รับการแจ้งเตือนขึ้นมา “ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,500”