My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 363
“เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์ที่จะได้รับคำสอนจากข้าอย่างงั้นหรอ?” สิ่งที่พูดออกมาไม่มีความเท็จอยู่ในนั้นเลย
ฝานซงได้พูดออกมา “ถูกต้องแล้ว เจ้าน่ะไม่ใช่สาวกของท่านปรมาจารย์ ทำไมท่านปรมาจารย์จะต้องสอนเจ้าด้วยล่ะ?”
“แม้แต่พวกเราเองก็ยังไม่มีเกียรติมากพอที่จะขอรับคำชี้แนะจากท่านปรมาจารย์” โจวจี้เฟิงได้กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าควรที่จะรู้สึกขอบคุณแล้วที่ท่านปรมาจารย์อนุญาตให้เจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยานในการปลดปล่อยพลังอันน่าทึ่งของเขา”
พวกเขาทั้งสองพูดออกมาด้วยเสียงเดียวกัน
ทุกๆ คนเองรู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้
ลู่โจวไม่ได้มองไปที่ชานหยุนเจิ้งอีกต่อไป ตัวเขาได้โยนคันธนูจันทราไปที่ด้านข้างแทน
ธนูจันทราได้พุ่งเข้าหาตัวของฮั๊วยู่จิง นางได้จับมันเอาไว้อย่างเร่งรีบ ในตอนนั้นเองความรู้สึกหลายๆ อย่างก็ได้ท่วมท้นอยู่ในใจนาง ฮั๊วยู่จิงได้ถามออกมา “ท่านปรมาจารย์ นี่หมายความว่า…”
“ธนูจันทราเป็นของเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้าก็แค่ทวงคืนความยุติธรรมให้กับเจ้าก็เท่านั้น” ลู่โจวตอบกลับไป
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางรับธนูจันทราเอาไว้ก่อนที่จะคุกเข่าลงเพื่อก้มคารวะลู่โจว “ขอบคุณมค่ะ ท่านปรมาจารย์!”
ชานหยุนเจิ้งรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ฮั๊วยู่จิงถือว่าเคยเป็นศิษย์ของนาง คันธนูจันทราที่เป็นของนางมาโดยตลอดบัดนี้ได้กลับมาเป็นของลูกศิษย์ตัวเอง ชานหยุนเจิ้งไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับนางเอง อารมณ์มากมายแปรปรวนอยู่ข้าในใจของนาง แม้ว่าจะอัดอั้นแค่ไหนแต่นางก็ไม่อาจที่จะพูดออกมาเป็นคำพูดได้
ฮั๊วยู่จิงได้ถือธนูจันทราก่อนที่จะก้มลงมอง แท้จริงแล้วชื่อของนางถูกสลักเอาไว้ที่คันธนู
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นได้หัวเราะออกมาเบาๆ “ยินดีด้วย”
“ขอบคุณสำหรับคำยินดีผู้อาวุโสฮั๊ว”
“น่าเสียดายที่ธนูจันทราได้ยอมรับชานหยุนเจิ้งให้กลายเป็นเจ้าของของมันไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากที่จะปลดปล่อยพลังของมันให้ถึงขีดสุด เจ้าจะต้องเอาธนูจันทราไปขัดเกลาใหม่อีกครั้ง” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาในขณะที่จ้องมองไปยังคันธนู
สีหน้าของชานหยุนเจิ้งเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดที่มากกว่าเดิมเมื่อได้ยินฮั๊ววู่เด๋าพูดคำว่า ‘เจ้าของ’ ออกมา แต่ถึงจะรู้สึกคับแค้นแค่ไหนแต่นางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ชานหยุนเจิ้งก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ารู้จักกับชานเทียนลั่วในอดีต…เขาคนนั้นมีทักษะการยิงธนูที่เหนือกว่าของเจ้ามาก”
ชานหยุนเจิ้งที่ได้ยินแบบนั้นตกใจมาก ที่หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ในตอนนั้นเองนางก็ตอบกลับมา “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านจะคุ้นเคยกับปรมาจารย์ของข้ามาก่อน ท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า…ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ล่วงเกินท่าน”
ลู่โจวมองไปที่ชานหยุนเจิ้งก่อนที่จะลูบเคราของตัวเอง “ใครเป็นเจ้าของสัตว์ขี่ไป๋หวู่กัน?”
ชานหยุนเจิ้งตอบกลับ “ผู้อาวุโสโคนที่สามลู่ปิง!”
“บอกเขาด้วยว่าข้าน่ะอยากเจอเขา”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ชานหยุนเจิ้งดีใจมาก นั่นหมายความว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไว้ชีวิตนาง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลู่ปิงล่ะ? ในตอนนี้นางไม่สนใจลู่ปิงอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นนางยังจำได้ดีว่าลู่ปิงเป็นคนที่เสนอให้นางยืมสัตว์ขี่ตัวนี้มาจนทำให้นางเดือดร้อนไปซะเอง ชานหยุนเจิ้งรู้สึกโกรธมาก นางรู้สึกดีใจที่เห็นศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องการตัวผู้ที่เป็นต้นเหตุอย่างลู่ปิงแทนนาง
ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเอง จากนั้นชานหยุนเจิ้งก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปพร้อมกับสาวกทั้งสี่ของนางเอง
เมื่อชานหยุนเจิ้งจากไปได้ไม่นานซู่ฮ่องกงก็บินกลับมาพร้อมกับแบกไป๋หวู่กลับมาด้วย
ตู๊ม!
ตัวเขาได้ทิ้งซากศพลงบนพื้น คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็เดินเข้าไปดู
เมื่อเห็นเข้ามาใกล้ ทุกคนก็เห็นไป๋หวู่มีรูปร่างหน้าตาที่ดูคล้ายกับหมาป่า ที่ดวงตาของมันปูดโปนเต็มไปด้วยสีม่วง นอกจากนี้ยังมีเขี้ยวอันอัปลักษณ์ที่ยื่นออกมา มันดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“อัปลักษณ์อะไรแบบนี้!” หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นได้กรีดร้องออกมา นางรีบถอยห่างออกไปด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ศิษย์น้องเล็ก สัตว์ขี่ทั้งหลายก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ มีสัตว์ขี่มากกว่านี้อีกที่มีหน้าตาอัปลักษณ์กว่ามันน่ะ” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
คนอื่นๆ ยังคงเฝ้ามองไปที่ไป๋หวู่ต่อไป แม้ว่าไป๋หวู่จะได้ตายไปแล้ว แต่การที่จะได้ศึกษาซากศพของมันแบบนี้ก็ยังสามารถเพิ่มความรู้ให้กับทุกคนได้อยู่ดี
“ท่านอาจารย์…ได้โปรดตัดสินใจด้วย” ซู่ฮ่องกงได้โค้งคำนับก่อนที่จะชี้ชวนไปที่ซากศพของไป๋หวู่
ลู่โจวมองไปที่รูปลักษณ์ของมันก่อนที่จะลูบเคราของตัวเอง
ซู่ฮ่องกงได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์ สัตว์ขี่ตัวนี้จะต้องมาจากป่าคูเมืองสวรรค์จากทางตะวันตกเฉียงใต้แน่ มันมีขนที่หนาเพื่อทนทานต่ออากาศที่เหน็บหนาว ข้าคิดว่าขนของมันคงจะขายได้เงินกว่าพันชั่งแน่…นอกจากนี้เขี้ยวของมันยังสามารถสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์อันหายากได้อีกด้วย นอกจากนี้ที่ตัวของมันยังสามารถเอาไปสร้างยาได้อีก ยาที่สร้างได้คงจะขายได้ราวๆ 500 ชั่ง ส่วนเนื้อของมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไร เนื้อของไป๋หวู่มีทั้งความเหนียวและกลิ่นแรงที่ยากจะใช้ประโยชน์”
ทุกๆ คนมองไปที่ซู่ฮ่องกงอย่างสงสัย ไม่มีใครเข้าใจจุดประสงค์ในสิ่งที่ซู่ฮ่องกงพูด
เมื่อซู่ฮ่องกงสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่แปลกประหลาด ตัวเขาก็ได้แต่เกาหัวตัวเอง “นี่เป็นนิสัยของข้าน่ะ…ต้องขออภัยจริงๆ …”
ศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องการของพวกนี้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?
ซู่ฮ่องกงพูดออกมาอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ พลังที่ท่านได้ยิงออกไปทำให้ฟ้าดินถึงกับต้องสั่นสะเทือน ข้าได้ยินเสียงของผีสางและเหล่าเทพเจ้ากำลังร้องไห้เพราะพลังของท่าน”
“พอได้แล้ว” ลู่โจวโบกมือก่อนที่จะพูด “เผาแล้วฝังมันซะ”
“ครับท่านอาจารย์” ซู่ฮ่องกงรีบรีดพลังของตัวเองออกมาในทันที ตัวเขาได้แบกซากศพของมันไปที่ด้านหลังภูเขาอย่างง่ายดาย
เมื่อลู่โจวกำลังหันกลับไปในตอนนั้นฮั๊วยู่จิงก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดอะไรออกมา “ท่านปรมาจารย์ ข้าอยากที่จะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
“อะไรกัน?”
“ข้า…ข้าอยากที่จะเรียนวิชากระสุนดาวตกดวงดารา”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “มันไม่ใช่วิชาที่มีระดับสูงส่งอะไร ที่ศาลาทางตะวันตกและศาลาทางเหนือมีวิชาที่แข็งแกร่งกว่านี้อยู่ เมื่อเจ้าฝึกฝนตัวเองจนมีอวตารดอกบัวห้ากลีบได้แล้ว เจ้าก็ไปศึกษาวิชาใหม่ๆ จากทั้งสองที่เองเถอะ”
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินเช่นนั้นได้ตอบกลับมา “ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ชี้แนะข้า”
“ข้าจะช่วยเจ้าขัดเกลาธนูจันทราเมื่อข้ามีเวลาเอง” หลังจากที่ลู่โจวพูดจบตัวเขาก็ได้กลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
ฮั๊วยู่จิงตกตะลึงเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน
ในขณะที่ฮั๊ววู่เด๋ามองไปที่ลู่โจวที่กำลังเดินกลับ ตัวเขาก็ได้พูดขอบคุณแทนฮั๊วยู่จิงในทันที “ขอบคุณท่านปรมาจารย์”
การขัดเกลาอาวุธไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เลย
“ยินดีด้วย”
“ยินดีด้วยแม่นาง”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงคารวะเพื่อแสดงความยินดี พวกเขาทั้งคู่ต่างก็จ้องมองไปที่คันธนูจันทราด้วยความอิจฉา ทั้งคู่เองก็อยากที่จะครอบครองอาวุธล้ำค่าระดับสรวงสวรรค์เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนที่ไม่อยากได้อาวุธล้ำค่าเป็นของตัวเอง
ต้วนมู่เฉิงรู้ดีว่าฝานซงและโจวจี้เฟิงกำลังคิดอะไรกันแน่ ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงใช้หอกราชันย์กระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง
แคล๊ง!
พื้นดินแถวนั้นถูกทำลายไป
“เอาไว้พวกเจ้าค่อยคิดถึงอาวุธระดับสรวงสวรรค์ในตอนที่ตัวเองฝึกฝนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้วจะดีกว่า”
“ต้วนมู่เฉิงน่ะพูดถูกแล้ว” ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ทั้งผู้อาวุโสเล้งลั่วและข้ายังไม่มีอาวุธเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำทำไมพวกเจ้าถึงอยากที่จะรีบครอบครองอาวุธล้ำค่าแบบนี้กัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮั๊ววู่เด๋า ทั้งฝานซงและโจวจี้เฟิงก็รู้สึกดีมากขึ้น ผู้อาวุโสทั้งสองมีสถานะและพลังวรยุทธที่เหนือกว่าพวกเขาทั้งคู่มาก แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังไม่มีอาวุธคู่ใจ ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นผู้เยาว์ก็ไม่ควรที่จะพูดอะไรออกมา ยิ่งไปกว่านี้ธนูจันทรายังเป็นของฮั๊วยู่จิงตั้งแต่แรกแล้ว มันเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับนางที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่ศาลา ลู่โจวกำลังเปิดเมนูระบบขึ้นมาดูแต้มบุญอีกครั้ง
แต้มบุญ: 33,200
หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะจับฉลากนำโชค ถ้าหากตัวเขาได้รับพลังอวตารทศภพมาวันนี้ก็จะถือได้ว่าเป็นวันของเขา
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 ได้รับการ์ดพลังชีวิต x1”
มันเป็นการเริ่มต้นที่ดี ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างลู่โจว แต่เมื่อจับฉลากนำโชคต่ออีก 10 ครั้งตัวเขาก็ได้แต่รางวัลปลอบใจกลับมาเท่านั้น ลู่โจวมองไปที่ค่าความโชคดีที่มีก่อนที่จะพูดออกมา “จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 และค่าความโชคดี 10 แต้ม ได้รับการ์ดพลังชีวิต x10”
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว ระบบกำลังคิดที่จะแจกแต่การ์ดพลังชีวิตอย่างงั้นหรอ? บางทีระบบอาจจะกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่างก็เป็นได้ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรกลับมา
ลู่โจวได้จับฉลากนำโชคอีก 20 ครั้งด้วยกัน ตัวเขาไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากรางวัลปลอบใจ ในที่สุดลู่โจวก็หมดหวังที่จะจับฉลากนำโชคต่อ
ลู่โจวได้ตัดสินใจเปิดเมนูระบบไปที่หน้าร้านค้า ตัวเขาเลือกที่จะซื้ออวตารทศภพแทน
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 30,000 ได้รับอวตารทศภพ ยืนยันที่จะสวมใส่?”
ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะสวมใส่มันในทันที ตัวเขามองไปที่ราคาอวตารร้อยวิถีที่เข้ามาขายใหม่แทน
อวตารร้อยวิถี: 100,000
“…” ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาได้แต่เหลือบมองแต้มบุญที่เหลืออยู่ เหลือแต้มบุญแค่ 1,600 เท่านั้น
เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ลู่โจวไม่ได้รับเครื่องรางขัดเกลามาจากการจับฉลากนำโชค เครื่องรางขัดเกลาเป็นของที่ไม่สามารถหาซื้อได้เหมือนกับของชิ้นอื่นๆ ถ้าหากลู่โจวต้องการที่จะขัดเกลาธนูจันทรา ตัวเขาก็คงจะต้องพึ่งพาโชคในการจับลากให้มากกว่านี้ จนถึงตอนนี้ลู่โจวไม่สามารถที่จะซื้ออะไรได้อีกต่อไป แม้แต่จะซื้อการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตก็ยังมีไม่มากพอ
ลู่โจวกำลังคร่ำครวญถึงแต้มบุญเล็กน้อยที่ตัวเขามี…
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”
ลู่โจวไม่ได้แปลกใจอะไรกับการแจ้งเตือนแบบนี้ ตัวเขาแค่สงสัยว่าใครกันแน่ที่ถูกยู่ฉางตงจัดการไป แต่จากสิ่งที่ลู่โจวจำได้ ภายในรายชื่อที่ยู่ฉางตงมีไม่มีใครสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
ในที่สุดลู่โจวก็ได้พูดออกมา “สวมใส่” ไม่นานหลังจากนั้นลู่โจวก็รู้สึกถึงพลังใหม่ที่กำลังไหลเวียนผ่านเส้นพลังลมปราณ พลังอวตารเดิมได้จางหายไป มันถูกแทนที่ใหม่ด้วยพลังอวตารทศภพแทน
เมื่อค่ำคืนของวันมาถึง ตอนนี้ฝานลี่เทียนและเจียงอาเฉียนกำลังมีความสุขอยู่กับเหล้ารสเลิศที่บนหลังคาด้านนอกศาลาทางตะวันออก
“ทำไมเจ้าไม่บอกอัครมเหสีไปล่ะว่าเจ้านั่นแหละเป็นองค์ชายสาม?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมาในขณะที่เหม่อมองดูดวงจันทร์
“ผู้อาวุโสฝาน ทำไมท่านเองก็ไม่บอกฝานซงว่าท่านเป็นบรรพบุรุษของเขาล่ะ?” เจียงอาเฉียนตอบโต้กลับไปก่อนที่จะหัวเราะกลับมาเบาๆ
“เจ้านี่มันเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมจริงๆ”
ทั้งสองคนที่กำลังสนุกสนานกับการพูดคุยอยู่ ในตอนนั้นเองก็มีพลังอัดแน่นลุกโชนออกมาจากศาลาทางตะวันออก
เจียงอาเฉียนเพิ่งจะมาอยู่ที่นี้ได้ไม่นาน พอเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้ขมวดคิ้วในทันที “มีใครบุกศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ?”
ฝานลี่เทียนส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ชินชา “เจ้าควรที่จะชินชากับเรื่องแบบนี้ได้แล้ว ท่านปรมาจารย์ชอบที่จะลองใช้พลังอันแปลกประหลาดพวกนี้น่ะ”
“เป็นอย่างงั้นเองสินะ?”
ตู๊ม!
เมื่อพลังไหลออกจากศาลาทางตะวันออกไป ศาลาแห่งนี้ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เจียงอาเฉียนหันกลับมาก่อนที่จะพยักหน้า ตัวเขาที่กำลังจะพูดคุยเรื่องต่อไปอีกครั้งก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ลุกโชน มันเป็นพลังที่หลุดรอดมาจากอีกทิศทางหนึ่งแข็งแกร่งกว่ารอบที่แล้วมาก
ตู๊ม! ตู๊ม!
มีเสียงความวุ่นวายเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นศัตรูสินะ!” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาในขณะที่เกาหัว “ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นที่ชื่นชอบกับคนหมู่มากซะจริง แม้ว่าข่าวการตายของข้าจะแพร่ไปแล้วก็ตาม แต่เจ้าพวกนี้ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้ข้าได้อยู่อย่างสงบเลย! ช่างน่าเจ็บปวดอะไรเช่นนี้!”