My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 372
ลู่โจวไม่ได้วางหินของตัวเขาลงบนกระดานในทันที ตัวเขากำลังจ้องมองหยุนเทียนลั่วที่อยู่ตรงข้ามกับตัวเองแทน แววตาของเขายังดูไร้อารมณ์อยู่เช่นเคย
ส่วนเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักเองมองเห็นเพียงชายชราทั้งสองที่ผลัดกันเดินหมากกันไปมา เมื่อดาบพลังงานบนท้องฟ้าได้จางหายไป พวกเขาก็เห็นท่าทีของชายชราทั้งสองแปลกไปเป็นเวลานาน
เรื่องแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกชั่วครู่หนึ่ง
ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นนิ้วของหยุนเทียนลั่วกำลังสั่นเครือ หินสีดำที่อยู่ในระหว่างนิ้วของเขากำลังหลุดออกจากนิ้วไป มันได้ตกลงบนกระดานที่อยู่ด้านหน้า
แกร๊ก!
เขตแดนพลังที่อยู่บนกระดานเริ่มดูอ่อนพลังลง พลังรัศมีสีทองเองก็เริ่มที่จะจางหายไปเช่นกัน
กระดานที่เคยดูดีบัดนี้ได้เปลี่ยนไป มันดูเก่าแก่เหมือนกับผ่านเวลามาอย่างเนิ่นนาน เส้นแบ่งกระดานทั้ง 19 เส้นยังคงอยู่ชัดเจนเหมือนเดิม แต่ในตอนนี้เขตแดนพลังทั้งหมดบนกระดานกำลังจะจางหายไปแล้ว
“ท่านปรมาจารย์!” เมื่อเฟิงอี้จือเจ้าสำนักลั่วเห็นแบบนั้น ตัวเขาก็รู้สึกกังวลจนอยากที่จะเข้าไปช่วย
หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมา “หนานกงเหว่ย”
“ครับท่านปรมาจารย์?”
“จัดการกับทุกคนที่กล้าเข้ามาใกล้ข้า ลงโทษทุกคนด้วยโทษสถานหนักที่สุดจากสำนักของพวกเรา” หยุนเทียนลั่วพูดขึ้น
หนานกงเหว่ยผงะ ตัวเขากำลังรู้สึกสับสน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็โค้งคำนับก่อนที่จะยอมรับคำสั่งแต่โดยดี “ครับท่านปรมาจารย์”
หนานกงเหว่ยได้ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อที่จะขวางทางทุกคนเอาไว้
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักรวมไปถึงผู้อาวุโสเองต่างก็หยุดอยู่กับที่ พวกเขาได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัว
หยุนเทียนลั่วมองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าแพ้แล้ว” ตัวเขาส่ายหัวเบาๆ สภาพจิตใจของเขาดูย่ำแย่ลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา
“ข้ามีเหตุผล 2 ประการในการเล่นหมากรุกกับท่าน…อย่างแรกข้าต้องการที่จะประมือกับท่าน พี่จี แต่ท่านก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเส้นแบ่งกระดานทั้ง 19 เส้นเลย เหตุผลประการที่สองข้าหวังว่าข้าจะได้เห็นสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้บนกระดาน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับความทรงจำของข้าได้เลือนหายไป…ข้าไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นความทรงจำนั้นไหม พี่จี” หยุนเทียนลั่วได้หัวเราะเย้ยหยันให้กับตัวเอง “ข้าทำตัวเองแท้ๆ”
ลู่โจวมองไปที่หยุนเทียนลั่วด้วยสีหน้าที่เงียบสงบ “ข้าได้เห็นสิ่งที่เจ้าพยายามจะแสดงให้ข้าได้เห็นแล้ว พวกเราจำเป็นที่จะต้องเล่นหมากกระดานนี้ต่อไปด้วยหรอ?”
“เป็นข้าเองที่ได้พ่ายแพ้ไปกับหมากกระดานนี้…เวลากว่า 30 ปี…ข้าได้เสียมันไปกับการวางหมากหมดแล้ว” หยุนเทียนลั่วได้พูดขึ้น หยุนเทียนลั้วได้ปิดผนึกความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับความพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองให้บรรลุไปถึงขั้นที่เก้า ในที่สุดหยุนเทียนลั่วก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผยทุกอย่างด้วยหมากกระดาน ราคาในการเปิดเผยความทรงจำก็คือ…ชีวิตของเขานั่นเอง
ลู่โจวสามารถเดาถึงสิ่งนี้ได้เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของหยุนเทียนลั่ว “ไม่ว่าจะวางหินไว้ที่ใด เจ้าก็เต็มใจที่จะจ่ายราคาตอบแทนให้กับมันอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวได้ถามในขณะที่จ้องไปยังหยุนเทียนลั่ว
“ความพ่ายแพ้ของข้าเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะวางหินอยู่ที่ไหนผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม” ที่แววตาของเขาดูไร้พลังในขณะที่จ้องกลับมาที่ลู่โจว “ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ต่อ แต่มันก็เป็นการอยู่ต่ออย่างไร้ความหมาย”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น ‘ชายคนนี้โง่เขลาพอๆ กับหยวนดู่ไม่มีผิด’
แม้ว่าจะโง่เขลาเหมือนกันแต่หยวนดู่ก็มีความต่างกับหยุนเทียนลั่ว หยวนดู่ต้องการที่จะตายส่วนหยุนเทียนลั่วเองต้องการที่จะมีชีวิต ‘ชายคนนี้เต็มใจที่จะใช้อายุขัยกว่า 30 ปีที่เป็นอายุขัยที่เหลืออยู่เพียงเพื่อโอกาสที่จะเอาชนะฉันในหมากกระดาน… ช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาจริงๆ’
ลู่โจวมองไปที่เกมกระดานที่กำลังสึกกร่อน ตัวเขากำลังวางแขนลงมาอย่างช้าๆ เมื่อหยุนเทียนลั่วคิดว่าลู่โจวกำลังจะวางหินอยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุด ลู่โจวก็ได้ขยับมือไปทางซ้ายก่อนที่จะวางหินสีขาวเอาไว้ระหว่างหินสีดำสี่ก้อน
แตะ!
หยุนเทียนลั่วผงะ
มีพลังงานพัดผ่านไปที่หมากกระดานก่อนที่มันจะสลายหายไป
แสงสว่างได้ส่องขึ้นมาบนเขตแดนพลังใต้พื้นของทุกๆ คน หยุนเทียนลั่วเอนตัวไปที่ด้านหลัง
หนานกงเหว่ยงุนงง ตัวเขาได้ถามออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ท่านปรมาจารย์…ทำไมกัน?”
หยุนเทียนลั่วไม่ได้ตอบกลับ ตัวเขามองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่มีให้ใครพี่จี”
“ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสูญเสียพลังชีวิตไปน้อยกว่า 30 ปี ข้าจะเหลือเวลาให้เจ้าอีก 10 ปีในการใช้ชีวิตอยู่” ลู่โจวตอบกลับ ตัวเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตส่วนใหญ่ของหยุนเทียนลั่วกำลังถูกเขตแดนบนกระดานสูบไป
เหล่าสาวกจากสามสำนักต่างก็จ้องมองเหตุการณ์ทุกอย่างเพียงแค่ครึ่งวัน แต่ในตอนนี้สำหรับหยุนเทียนลั่วเวลาของเขาได้ผ่านไปกว่า 20 ปีภายในพริบตาเดียว “ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะทำแบบนั้น พี่จี…” หยุนเทียนลั่วขยับเล็กน้อย ตัวเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจีเทียนเด๋าผู้ซึ่งแก่กว่าตัวเองจะทำให้ตัวเชาได้พ่ายแพ้ไปแบบนี้ได้
หลังจากที่เงียบไปได้ชั่วครู่หนึ่งในที่สุดหยุนเทียนหลัวก็ได้พูดออกมา “พี่จี บอกข้าได้ไหมว่าท่านเห็นอะไรกันแน่?”
ลู่โจวถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “มันคลุมเครือน่ะ”
หยุนเทียนลั่วพยักหน้า “มีคนไม่มากนักที่จะฝึกฝนตัวเองไปถึงจุดสุดยอดของพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ เป็นความจริงที่ประสบการณ์ไม่อาจยืนยันได้ทุกสิ่ง เป็นเพราะท่านได้มองเห็นอดีตของข้ามาแล้ว ท่านพอจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์บ้างไหม?”
“ข้าเองก็ไม่ค่อยได้อะไรที่ชัดเจนเท่าไหร่” ลู่โจวตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา
บางทีผู้ฝึกยุทธทุกคนเมื่อฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขีดสุดได้อาจจะต้องเผชิญกับสิ่งนี้ในท้ายที่สุด ไม่มีใครสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลีบดอกบัวทองคำของตัวเองได้อย่างชัดเจน แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้อะไร ใครจะคิดว่าทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้กัน? ลู่โจวไม่ได้เจตนาที่จะเห็นเลย
หยุนเทียนลั่วพยักหน้า ตัวเขาดูไร้ชีวิตชีวามากขึ้นในสองวินาทีที่ผ่านมา การสูญเสียอายุขัยไปกว่า 20 ปีส่งผลต่อสภาพร่างกายของตัวเขาเป็นอย่างมาก
“ท่านปรมาจารย์” คราวนี้แม้แต่หนานกงเหว่ยเจ้าสำนักเทียนเองก็ไม่สามารถที่จะหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาเป็นคนแรกที่วิ่งไปช่วยพยุงตัวของหยุนเทียนลั่วเอาไว้
หยุนเทียนลั่วขมวดคิ้วก่อนที่จะตะโกนออกมา “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในนี้กัน?”
ลู่โจวโบกแขนของตัวเอง “ไม่เป็นไร” อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอจะมีคนที่มีจิตสำนึกอยู่บ้าง
เมื่อหนานกงเหว่ยเข้ามาช่วยพยุงตัวของหยุนเทียนลั่วเอาไว้ สีหน้าของตัวเขาก็ดูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านปรมาจารย์…อายุขัยของท่าน?!” ตัวเขารู้สึกตกใจที่อายุขัยที่เคยสัมผัสได้หายไปจากตัวของหยุนเทียนลั่ว ตัวเขาจ้องมองไปที่โต๊ะหินที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ในตอนนี้กระดานที่เคยมีดูสึกกร่อนและแตกต่างไปจากเดิม
“ท่านผู้อาวุโสจี…ทำไมท่านต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?” หนานกงเหว่ยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลู่โจวถึงต้องการที่จะปลดผนึกบนกระดาน อายุขัยกว่า 20 ปีอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรกับผู้ฝึกยุทธคนอื่น แต่สำหรับหยุนเทียนลั่วมันมีค่าเป็นอย่างมาก ลู่โจวเอามือไขว้หลังไว้ข้างเดียวก่อนที่จะเอามืออีกข้างลูบไปที่เคราของตัวเอง ตัวเขาไม่ได้สนใจอะไรหนานกงเหว่ย
สภาพของหยุนเทียนลั่วย่ำแย่ลงเป็นอย่างมาก ตัวเขายกมือก่อนที่จะคว้าแขนของหนานกงเหว่ยเอาไว้อย่างช้าๆ “อย่าเสียมารยาท”
“แต่ท่านปรมาจารย์ เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว!”
ทันใดนั้นเองดาบพลังงานทั้งหลายก็ได้พุ่งเข้าหาพวกเขาจากบนท้องฟ้าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ท่ามกลางดาบพลังงานที่ลอยอยู่นับไม่ถ้วนมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ในนั้น “เอาชีวิตของน้องชายข้าคืนมา!”
สาวกของสามสำนักต่างก็สูดหายใจเข้าพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย
ทุกคนได้จ้องมองไปที่ยอดฝีมือที่อยู่ด้านบน ชายคนนั้นกำลังโจมตีทุกคนด้วยสุดยอดเคล็ดวิชา
“นั่นมันนักบุญแห่งดาบ เจ้าแห่งแท่นบูชาแห่งดาบ ลั่วฉีซาน!” มีใครบางคนอุทานออกมา
ลั่วฉีซานได้โจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยดาบนับพัน ดาบทั้งหมดได้บินขนานไปกับพื้นก่อนที่จะพุ่งเข้าหาใบหน้าของลู่โจว ลั่วฉีซานตั้งใจที่จะโจมตีปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าท่ามกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างงั้นหรอ? ดาบทุกเล่มที่อยู่บนอากาศเป็นพลังการโจมตีทั้งหมดของลั่วฉีซาน
“ท่านอาจารย์!” หยวนเอ๋อและหมิงซี่หยินอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
และแม้แต่เล้งลั่วและฝานลี่เทียนก็ยังขมวดคิ้ว
สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือการที่ลู่โจวยังไม่เคลื่อนไหวอะไร ตัวเขายังคงเอามือข้างเดิมลูบเครา ส่วนอีกข้างนั้นไขว้ไว้ที่ด้านหลังเช่นเดิม
ฟรึ๊บ!
ดาบพลังงานนับพันได้ผสานเข้ากับดาบในมือของลั่วฉีซานก่อนที่จะพุ่งไปที่หน้าของลู่โจว
“เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งความเงียบ พลังที่จะคงสมาธิเอาไว้ได้ เช่นเดียวกับแสงและเงาที่แทรกซึมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง” มันคือพลังแห่งความเงียบจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง ลู่โจวได้ยกแขนขึ้น พลังงานสีฟ้าจางๆ ได้หมุนวนรอบนิ้วของตัวเขา
สีหน้าของลู่โจวยังดูไม่แยแสอะไรในขณะที่ตัวเขาคว้าดาบของลั่วชีฉานด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง ดาบพลังงานนับพันที่กำลังตามเข้ามาโจมตีแตกสลายไปในคราวเดียว
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นตกใจ นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? สามารถสลายพลังทั้งหมดด้วยนิ้วเพียงแค่สองนิ้วอย่างงั้นหรอ?
แคล๊ง!
ดาบของลั่วฉีซานเองหักเป็นสองท่อน!
ด้วยการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวดุจดั่งสายน้ำทำให้ลู่โจวสามารถฟาดฝ่ามือสวนกลับไปที่ลั่วฉีซานได้ ลู่โจวยืนอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังงานสีฟ้าของเขาได้ถูกส่งออกมาตามพื้น ดอกบัวสีฟ้าบานสะพรั่งออกมารอบๆ ตัว
ลั่วฉีซานดูเหมือนจะสูญเสียสติไปชั่วขณะ ตัวเขาได้ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น
พลังฝ่ามือได้กระแทกเข้าตัวของลั่วฉีซานไปเต็มๆ ลั่วฉีซานที่ถูกโจมตีได้ล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะกระเด็นถอยกลับไป
ลั่วฉีซานได้ล้มลงไปกับพื้น ดาบที่หักเป็นสองเสี่ยงได้หล่นลงจากท้องฟ้าก่อนที่จะตกลงต่อหน้าลั่วฉีซาน