My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 375
รถม้าล่องเมฆาได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ มันเป็นเหมือนกับเรือที่ล่องไปยังคูน้ำ
ลู่ปิงเป็นผู้อาวุโสผู้ที่เด็กที่สุดจากสำนักลั่ว แม้ว่าเขาจะมีความเชี่ยวชาญในการขัดเกลาอาวุธรวมไปถึงการสร้างอาวุธก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นการควบคุมรถม้าก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเขาเลย นอกเหนือจากพื้นที่ที่พืชพรรณดูเหี่ยวเฉา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือกลับดูปกติ
หลังจากสังเกตเห็นผืนดิน มันมีต้นไม้เขียวที่เหี่ยวเฉาเกิดขึ้นมาเป็นหย่อมๆ
ลู่ปิงได้ยิ้มออกมาระหว่างที่ควบคุมรถม้า มันเป็นการแสดงความรู้สึกมุ่งมั่นที่ตัวเขาจะรับใช้เหล่าบรรดายอดคนทั้งหลาย ตัวเขาได้มองย้อนไป หลังจากที่สังเกตมาสักระยะเวลาหนึ่งดูเหมือนว่าศิษย์ที่อายุน้อยมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นคนที่ใสซื่อและพูดคุยง่ายที่สุดแล้ว ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะยิ้มอย่างสดใสก่อนที่จะถามออกมาเบาๆ “ท่านศิษย์คนที่เก้า ท่านคิดยังไงกับทักษะการขับรถม้าลอยฟ้าของข้ากัน?”
หยวนเอ๋อกลอกตามองบนก่อนที่จะตอบกลับ “ธรรมดาเกินไป” ถ้าหากเป็นหยวนเอ๋อในอดีต นางคงจะตบหน้าลู่ปิงทันทีที่ได้ฟังคำถาม แต่หลังจากที่ฟังคำพูดของหมิงซี่หยิน หยวนเอ๋อเลยเลือกที่จะให้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับลู่ปิงไปแทน
“หะ? ธรรมดาอย่างงั้นหรอ?” ลู่ปิงเกาหัวของตัวเอง ‘นั่นเป็นไปไม่ได้เลย ข้าเพิ่งจะควบคุมรถม้าลอยฟ้าได้สองครั้งเท่านั้น ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่นแบบนี้ ทำไมนางถึงได้ให้คะแนนข้าต่ำแบบนี้?’
“เจ้ายังอยู่อีกไกลเมื่อเทียบกับทักษะของศิษย์พี่สี่ข้า” หยวนเอ๋อพูดเสริม
ลู่ปิงเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยินที่ยินอยู่ข้างๆ ตัวเขาได้แต่คิดสงสัย ‘นี้คงจะเป็นน้ำใจของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ แม้แต่ศิษย์คนที่สี่เองยังไว้วางใจให้ข้าควบคุมพังงารถม้าอยู่แบบนี้? ช่างเป็นงานที่มีเกียรติซะจริง!’
หมิงซี่หยินกำลังสังเกตพืชพรรณที่เหี่ยวเฉาที่อยู่ด้านล่าง “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าพืชที่เหี่ยวเฉาจะดูเบาบางบ้างแล้วจากพื้นที่ด้านหน้า”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า
ในตอนนั้นเองเล้งลั่วก็ได้สังเกตพื้นด้านล่างได้พูดขึ้น “นี่มันดูไม่ปกติ…มีใครบางคนเป็นคนทำอย่างงั้นสินะ?”
ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่จำทิวทัศน์ของป่าทมิฬได้ ตัวเขาจำได้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างเหี่ยวเฉาหลังจากที่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ไป “ข้าสงสัยว่ามีใครบางคนพยายามที่จะต่อต้านเจตจำนงของสวรรค์เพื่อหยิบยืมเวลาให้กับตัวเอง”
ในที่สุดเหล่ายอดคนก็เริ่มที่จะพูดคุยกันอีกครั้ง ลู่ปิงเริ่มเงี่ยหูฟังในทันที ลู่ปิงได้ฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างจริงจัง
ลู่โจวพูดต่อ “มีผู้คนมากมายที่อยากจะหยิบยืมชีวิตจากสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครจบลงด้วยดี”
ตลอดเวลาของประวัติศาสตร์ในโลกยุทธภพ เหล่าผู้ฝึกยุทธมักจะคิดค้นวิธีต่างๆ นาๆ ก็เพื่อที่จะยืดอายุขัยของตัวเอง…แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครสามารถข้ามผ่านพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบไปได้ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็จบลงแบบเดียวกัน
“ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ลงไปตรวจสอบไหม?” หมิงซี่หยินได้เสนอตัวขึ้นมา
“ไม่จำเป็น” ลู่โจวมองไปที่ยังทิศที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่ก่อนที่จะพูดขึ้น “ตอนนี้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากันก่อนเถอะ”
ณ สำนักอเวจีประจำมณฑลยี่
ยู่เฉิงไห่ชี้ไปที่ดินแดนทางฝั่งตะวันตกของแผนที่ก่อนที่จะพูดออกมา “พื้นที่มณฑลยี่ส่วนใหญ่ในตอนนี้ถูกสำนักอเวจีของพวกเราควบคุมไว้ได้แล้ว คนของเหวยซู่หยานล้วนอ่อนแอ มณฑลยี่ทั้งหมดจะต้องตกเป็นของสำนักอเวจีภายในระยะเวลา 1 เดือนแน่”
สีวู่หยาได้พูดต่อ “เหวยซู่หยานได้รับคำสั่งให้มาปราบปรามความวุ่นวายที่นี่ น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่แม่ทัพตัวจริง แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็ต้องระหว่างหลี่จิงยี่ให้ดี…”
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าพูดมีเหตุผล หลี่จิงยี่เป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างเฉียบคม…นางเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ” ยู่เฉิงไห่พูดต่อ
“ไม่มีอะไรจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องทหารของเหวยซู่หยาน…เพียงแต่…” สีวู่หยาชี้ไปยังลั่วหลาน
“ชนเผ่าอื่นอย่างงั้นหรอ?” ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้วของตัวเองเล็กน้อย
“ถ้าลั่วหลานสามารถลักลอบเข้ามา มณฑลยี่จะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายแน่เมื่อต้องรับมือกับศึกทั้งสองด้าน” สีวู่หยาพูดขึ้น
ยู่เฉิงไห่พยักหน้า “เรื่องนี้พวกเราจะตัองจัดแจงให้คนไปสังเกตการณ์ดูอีกที…” เมื่อคิดถึงการต่อสู้ทั้งสองด้านตัวเขาก็ได้ถามออกมา “มีข่าวเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้าบ้างไหม?”
สีวู่หยาตอบกลับ “ในตอนแรกสำนักฝ่ายธรรมะวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ในการเข้าโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าหลังจากที่ได้ข่าวม่านพลังของภูเขาทองได้หายไป…”
ยู่เฉิงไห่ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “แผนที่จะจำกัดศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? พวกเขาต้องการที่จะฆ่าท่านอาจารย์อย่างงั้นสินะ?”
สีวู่หยาพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์กับศิษย์พี่รองจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นแล้ว พวกเขากำลังร่วมมือกัน”
เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ขมวดคิ้วหนักขึ้นก่อนที่จะนั่งลง เมื่อยู่ฉางตงกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า สำนักฝ่ายธรรมะทั้งหลายก็ยังไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอะไร
ตุ๊บ!
จู่ๆ ยู่เฉิงไห่ก็ได้ฟาดกำปั้นของตัวเองลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ตะคอกขึ้น “ข้าไม่ควรอ่อนข้อให้ศิษย์น้องรองเลยจริงๆ …ข้าเคยบอกไปแล้วว่านิสัยของศิษย์น้องรองจะต้องสร้างปัญหาให้กับพวกเรา เจ้าเชื่อข้าได้รึยังล่ะศิษย์น้องเจ็ด?”
‘เอ่อ…’ สีวู่หยาผงะไปเล็กน้อย ‘แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน?’ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ศิษย์พี่รองได้สร้างรายชื่อของคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา มันเป็นชื่อของผู้ที่เคยบุกโจมตีภูเขาทองเมื่อในอดีต ใครก็ตามที่มีรายชื่ออยู่นั้นจะต้องถูกดาบของศิษย์พี่พรากเอาวิญญาณไป”
ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้านั่นคงจะคิดว่าตัวเองจะไม่แพ้ให้กับใครแล้วสินะ…เจ้านั่นคิดว่าไม่มีใครแตะต้องมันได้ก็เพราะพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอย่างงั้นหรอ?”
ถ้าหากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเขตแดนพลัง, ม่านพลัง, ยาพลังวิเศษ สำนักอเวจีก็คงจะพิชิตสำนักทุกแห่งในโลกก่อนที่จะรวบรวมมันไว้ด้วยกันได้แล้ว
ยู่เฉิงไห่ได้ใช้เวลาของตัวเองไปหลายปีในการศึกษาเขตแดนพลังทั้งสิบที่มีอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังหาทางจัดการกับมันไม่ได้
“ศิษย์พี่ใหญ่…คงจะดีกว่าถ้าหากพวกเรายึดมณฑลยี่ได้ หลังจากที่พิชิตมณฑลยี่ได้ข้าขอแนะนำให้พวกเราเดินทางต่อไปที่ทางเหนือเพื่อพิชิตมณฑลเหลียงต่อ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง “ได้!” ยู่เฉิงไห่ได้เดินไปตบไหล่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมีพลัง “ในเมื่อมีเจ้าข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป การจะยึดครองโลกใบนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
ณ สุสานแห่งดาบ
ภายในสุสานแห่งดาบที่มืดสนิทมีลำแสงอ่อนๆ กำลังสอดส่องเข้ามา มันเป็นเพียงแสงเพียงแสงเดียวที่อยู่ภายในนั้น ที่สุดขอบม่านพลังแห่งดาบ มีใครสองคนกำลังยืนอยู่ พวกเขาต่างก็มองไปยังเขตแดนพลัง มันเป็นเขตแดนที่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้าแน่ใจเหรอ…ว่าสิ่งนี้จะช่วยทำให้ตัวเองฝึกฝนไปถึงอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?” หนึ่งนั้นได้มองไปที่ซากศพที่เกลื่อนกลาดก่อนที่จะพูดเกี่ยวกับเขตแดนพลังออกมา
ใครอีกคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “เจ้าคิดว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นของธรรมดาๆ อย่างงั้นหรอไงกัน? เจ้าคิดว่าพวกเราทุกคนจะสามารถฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นนั้นได้สินะ? การที่จะไปถึงขั้นนั้นได้มันไม่มีทางเลย แต่…ของสิ่งนี้จะช่วยทำให้ข้าเอาชนะผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้”
“ไป่มา ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นจะดีกว่า!”
“จางหยวนฉาน…เจ้าเองก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อที่ยู่ฉางตงมี เจ้าน่ะไม่มีทางเลือก! ถ้าหากเจ้ามีความคิดที่ดีกว่านี้เจ้าก็เดินออกไปได้เลย!” ไป่มาได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
คนที่อยู่ข้างๆ ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือจางหยวนฉาน เจ้าสำนักเที่ยงธรรม
หลังจากที่สำนักเที่ยงธรรมถูกกวาดล้างไป จางหยวนฉานก็ไม่มีที่ให้ไปอีก ตัวเขาไม่ได้มีทางเลือกอะไรตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ในตอนนี้จางหยวนฉานยังตกเป็นเป้าของยู่ฉางตงอีกด้วย ตัวเขาต้องอาศัยอยู่อย่างหวาดผวาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในตอนนี้ยอดฝีมือที่มีรายชื่อก็ถูกยู่ฉางตงสังหารไปเป็นจำนวนมากแล้ว จางหยวนฉานที่เห็นแบบนั้นยิ่งสิ้นหวัง
“ข้าจะอยู่ต่อ” จางหยวนฉานพูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือกในขณะที่จ้องไปยังไป่มา
“ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษาเรื่องนี้…ข้าได้รวบรวมพลังชีวิตด้วยเวทมนตร์คาถามา เจ้ากับข้าน่ะอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว เชื่อข้าซะ!” ไป่มาพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“แล้วจะมาที่นี่เพื่ออะไรกัน?” จางหยวนฉานไม่เข้าใจเลยว่าจะต้องทำอะไรกันแน่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าไป่มาพูดอะไร ไป่มาได้ยกแขนขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองพลังสีม่วงก็ได้ปรากฏขึ้นบนเขตแดนพลัง เมื่อถูกพลังเวทมนตร์คาถาไปม่านพลังทั้งเจ็ดก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับมา
“นี่คือที่ที่มีพลังหยางที่มากที่สุด ที่แห่งนี้มียอดฝีมือฝึกฝนอยู่ แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสได้พบเขา ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม…” น้ำเสียงของไป่มาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ตัวเขาได้ชี้ไปที่ซากศพที่มีอยู่ในม่านพลังดาบทั้งเจ็ด “แต่ไม่ว่าจะยังไงข้าก็จะทำ”
“ซากศพน่ะหรอ?” จางหยวนฉานไม่เข้าใจอะไรเลย
ทันใดนั้นเองซากศพก็เริ่มเคลื่อนไหว
“วิชาเชิดหุ่น!” จางหยุนฉานตกใจ
“ชายคนนี้ก็คือนักบวชยอดฝีมือของชาวพุทธ…” ไป่มาสัมผัสพลังที่ศพมีได้
“เจ้าคิดที่จะทำอะไรกัน?” จางหยวนฉานถามออกมา
ไป่มามองไปที่จางหยวนฉานก่อนที่จะพูด “ข้าจะใช้พลังชีวิตทั้งหมดเพื่อเพิ่มพลังของเจ้า จำไว้ว่าเจ้ามีโอกาสเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”
ในตอนนั้นเองดวงตาของจางหยวนฉานก็เริ่มกลับขึ้นมามีความหวังอีกครั้ง ตัวเขายอมพยักหน้าตอบรับแต่โดยดี