My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 386
โจวจี้เฟิงที่กำลังบินอยู่บนดาบนั้นรวดเร็วกว่าการที่ฉางจินกำลังวิ่งอยู่บนพื้น เมื่อมาถึงที่ด้านนอกห้องโถง โจวจี้เฟิงก็สังเกตเห็นหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงที่กำลังอยู่ด้วยกัน โจวจี้เฟิงรีบร่อนลงไปหาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ท่านหมิงซี่หยิน ท่านต้วนมู่เฉิง มีสัตว์ประหลาดกำลังพุ่งตรงขึ้นมาบนภูเขา!”
“สัตว์ประหลาดอย่างงั้นหรอ?” หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองตัวเขาก็ได้นึกถึงคำพูดของไป่มาที่พยายามทำลายศาลาปีศาจลอยฟ้า หมิงซี่หยินคิดมาโดยตลอดว่าไป่มาคงจะต้องวางแผนซับซ้อนอะไรบางอย่างไว้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าไป่มาจะเป็นฝ่ายที่ส่งคนมาโจมตีตรงๆ แบบนี้ “ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านอาจารย์เอง ศิษย์พี่สาม ท่านช่วยไปดูสถานการณ์ที”
“ได้เลย” ต้วนมู่เฉิงยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะเหลือบมองไปที่โจวจี้เฟิง “รีบบอกให้กับคนอื่นได้รู้ซะ ข้าจะไปดูลาดเลาก่อนเอง”
“ครับ”
ทั้งสามได้แยกทางกัน
การแสดงออกของต้วนมู่เฉิงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ตัวเขาได้ยกหอกราชันย์ขึ้นก่อนที่จะพุ่งลงไปจากยอดเขา เมื่อพุ่งลงไปได้ครู่หนึ่งตัวเขาก็สังเกตเห็นฉางจินกำลังวิ่งขึ้นมา
ใบหน้าของฉางจินซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล
ต้วนมู่เฉิงบอกได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับชายคนนี้ ตัวเขารีบยกหอกราชันย์ออกมาก่อนที่จะแทงไปที่ฉางจิน ในขณะที่พุ่งตัวออกไปเงาของหอกราชันย์ก็ได้เพิ่มมากขึ้นจนถึง 100 เงา พลังทั้งหมดได้โจมตีไปที่ใบหน้าของฉางจินด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้า
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ผลของการฝึกฝนที่ใต้น้ำตกทำให้ต้วนมู่เฉิงสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำ มันเป็นการโจมตีที่เฉียบคมกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา
ฉางจินถอยกลับไป แต่นั่นก็สายเกินไป ท้ายที่สุดแล้วฉางจินก็ถูกโจมตีจนกระเด็นกลับไป
การโจมตีของหอกราชันย์มันทรงพลังเกินกว่าที่ฉางจินจะต้านทานไว้ได้
ต้วนมู่เฉิงได้กลายเป็นเหมือนกับเทพแห่งหุบเขา ตัวเขาได้ยืนเฝ้าอยู่บนบันไดทางขึ้นในขณะที่มองฉางจินที่กระเด็นถอยกลับไป
ฉางจินกลิ้งลงไปตามขั้นบันได เมื่อกระเด็นกลับไปได้ไกลมากพอฉางจินก็กลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ถอยมาซะ!” เสียงอันซับซ้อนได้ดังออกมา
ต้วนมู่เฉิงได้หันไปมองที่ด้านหลัง ตัวเขาเห็นอาจารย์ของตัวเองกำลังขี่วิซซาร์ดมาหา
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่, ผู้อาวุโสเล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนอากาศเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดกำลังมองไปที่ฉางจิน
ลู่โจวมองไปที่ฉางจินพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักเฮ้งชู ฉางจินอย่างงั้นสินะ?”
หมิงซี่หยินได้ถามออกมา “ศิษย์พี่รองไม่ได้ฆ่าชายคนนี้ไปแล้วหรอกหรอ?”
“ตายไปแล้ว?” เหล่าสาวกหญิงจำนวนหนึ่งได้มองไปที่ฉางจินด้วยความหวาดกลัว ‘นี่มันคนตายอย่างงั้นหรอ?’
เหล่าสาวกหญิงทั้งหลายไม่ได้มีความรู้ที่กว้างขวางอะไรในโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกนางจะตื่นตระหนกกับสิ่งที่ไม่เคยได้พบเจอ
เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋านึกไปถึงเวทมนตร์คาถาในทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ฝานลี่เทียนได้หัวเราะก่อนที่จะพูดขึ้น “เป็นเวลานานแล้วสินะที่ข้าได้เห็นเวทมนตร์คาถาเช่นนี้…ฝานซง พาเจ้าอาวาสซู่จิงมาที่นี่ซะ”
ฝานซงรีบคารวะก่อนที่จะบินไปยังศาลาทางตอนเหนือในทันที
ในตอนนั้นเองยันต์บนร่างกายของฉางจินก็ได้หลุดออก
พรึ๊บ!
ยันต์ที่เคยติดได้ลุกเป็นไฟ แต่เปลวไฟที่ลุกขึ้นดูแปลกประหลาด มันเป็นเปลวไฟสีม่วงนั่นเอง ในตอนนั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้น “ยู่ฉางตงจะต้องทุกข์ทรมานเพราะพลังเวทมนตร์คาถาของข้า วันเวลาของเขากำลังหมดลงแล้ว ถ้าหากเจ้าแข็งแกร่งมากพอจริง…ข้าก็ขอท้าให้เจ้าออกมาสู้ที่ด้านนอกหุบเขาแห่งนี้” ทันทีที่เสียงนั้นเงียบดับ เปลวไฟสีม่วงก็ได้จางหายไป
เล้งลั่วได้พูดในขณะที่ลอยอยู่บนอากาศ “ยันต์ฉายเสียง…การที่ชายคนนี้จะสามารถควบคุมศพได้เช่นนี้ เวทมนตร์คาถาของเขาจะต้องมีความซับซ้อนมากแน่ พวกเราไม่ควรประมาทเลยจริงๆ”
ฝานลี่เทียนได้พูดออกมา “เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าคนทรงนี่พูดเหรอไงกัน? เจ้านี่มั่นใจว่าท่านศิษย์คนรองกำลังจะตาย ตอนนี้ข้าอยากจะถ่มน้ำลายต่อหน้าของเจ้าคนทรงนี้จริงๆ”
“ก็ทำซะสิ” เล้งลั่วได้พูดยั่วยุออกมา
“ข้าจะต้องทำแบบนั้นแน่!” ฝานลี่เทียนพูดขึ้น ในตอนที่เสียงของเขาที่ยังไม่ทันได้จางหายไป ฝานลี่เทียนก็ได้พุ่งเข้าหาฉางจินด้วยแสงสีทอง มันเป็นแสงสีทองที่ได้ส่องออกมาจากขวดน้ำเต้า
“ตามที่คาดไว้ พลังยอดฝีมือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ไม่ธรรมดาจริงๆ …เอ่อ ข้าหมายถึงเป็นไปตามคาดจริงๆ ที่ผู้อาวุโสผู้ที่มีอาวุธระดับสรวงสวรรค์เพียงคนเดียวจะแข็งแกร่งเช่นนี้” หมิงซี่หยินได้กล่าวชมเชย
ฝานลี่เทียนได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่ก้มหน้ามองลง ขวดน้ำเต้าที่ถืออยู่ได้ยิงพลังงานสารพัดหลากหลายรูปแบบออกมา
ตู๊ม!
ฉางจินยังคงไม่เคลื่อนไหว ตัวเขาหมุนตัวเองก่อนที่จะถูกการโจมตี
หลังจากที่โจมตีเป้าหมายให้กระเด็นถอยกลับไปฝานลี่เทียนเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศพนี่ได้รับการเสริมพลังมาจากเวทมนตร์คาถา…คนร้ายจะต้องเป็นยอดคนทรงไม่ผิดแน่”
ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าเห็นด้วย “ในเรื่องของความแข็งแกร่งคนคนนี้จะต้องมีพลังเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบแน่…จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของเวทมนตร์คาถานั่นก็คือเวลาอันยาวนานในการเตรียมตัว ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงข้าก็อยากที่จะขอแนะนำอะไรบางอย่าง…”
“มันคืออะไรกัน?” หมิงซี่หยินถามออกมา
“ข้าอยากที่จะเสนอให้ทุกคนขึ้นรถม้าลอยฟ้าไปด้วยกันเป็นเวลา 10 วัน เมื่อถึงตอนนั้นเวทมนตร์คาถาทั้งหมดจะต้องเสื่อมสลายไปเพราะระยะเวลาแน่” ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกว่าข้อเสนอแนะของตัวเขาฟังดูมีเหตุผลและยังน่าพอใจมากที่สุดแล้ว นี่เป็นการรับมือกับเวทมนตร์คาถาโดยใช้จุดอ่อนของมันเอง ถ้าหากศัตรูเสียเวทมนตร์คาถาทั้งหมดที่เตรียมไว้ไป การจะจัดการกับศัตรูอย่างคนทรงได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครตอบโต้ฮั๊ววู่เด๋ากลับมา ‘นี่ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างงั้นหรอไงกัน?’
หลังจากที่ฉางจินถูกพลังจากน้ำเต้าจู่โจมจนกระเด็นถอยกลับไป เมื่อถึงพื้นฉางจินก็ได้ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ความรู้สึก
“หุ่นเชิดยังไงก็เป็นได้แค่หุ่นเชิด มันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก!” ฝานลี่เทียนที่พูดเสร็จได้ลอยไปข้างหน้าอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไป มองดูสิ่งที่อยู่รอบหุบเขาก่อนจะดีกว่า” เล้งลั่วพูดขึ้น
ทุกๆ คนได้หันมองรอบตัว
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีฝูงชนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ ที่ฝูงชนเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังอันน่าประหลาด
“พวกมันมีเยอะมาก!” ซู่ฮ่องกงได้ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “สวรรค์! ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าพวกเราควรทำตามคำแนะนำของผู้อาวุโสฮั๊วนะครับ”
“เจ้าน่ะมันคนขี้ขลาดตาขาวสินะ?” หมิงซี่หยินที่พูดเสร็จได้ผลักซู่ฮ่องกงไปข้างหน้า
ในตอนนั้นเองเจ้าอาวาสซู่จิงก็ได้นำเหล่าสาวกกว่าหลายสิบคนบินตรงมาหาพวกลู่โจว เหล่านักบวชทุกคนได้เตรียมพร้อมกางเขตแดนเป็นของตัวเองแล้ว
“อมิตตาพุทธ ในที่สุดอาตมาก็มีโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณปรมาจารย์จีแล้วสินะ” ซู่จิงได้มองไปที่ฝูงหุ่นเชิดที่อยู่บนเชิงเขา “ข้าจะรีบบอกสาวกคนอื่นๆ ให้รีบตามมาเอง”
“ดีมาก นักบวชเฒ่า…” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ลู่โจวเหลือบมองไปที่หุ่นเชิดด้านล่าง พวกมันมีมากพอๆ กับฝูงมดปลวก เมื่อได้เห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ฮั๊วยู่จิง”
ฮั๊วยู่จิงได้ก้าวออกไปข้างหน้าก่อนที่จะโค้งคำนับและพูดออกมา “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
“ใช้ผืนฟ้าให้เป็นดินแดนของเจ้า ในเมื่อเจ้ามีธนูจันทราแล้วใช้มันอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับเวทมนตร์คาถาซะ” ลู่โจวที่ได้พูดจบก็ได้ขี่วิซซาร์ดบินสูงขึ้นไปอีก ยิ่งบินสูงมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ตัวเขาสามารถมองเห็นภาพรวมได้ดีขึ้น
ฮั๊วยู่จิงรู้ดีว่าลู่โจวหมายถึงอะไร และเพราะแบบนั้นนางจึงบินตามลู่โวไปด้วย
ลู่โจวได้เหลือบมองสถานการณ์ก่อนที่จะบินลงมา
ฮั๊วยู่จิงได้โน้มตัวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะมองไปยังภาพที่อยู่รอบตัวเช่นกัน เมื่อเห็นแบบนั้นนางก็รีบง้างสายธนูจันทรา…
พรึ๊บ!
ลูกธนูพลังงานได้ลอยออกมาจากคันธนูจันทรา
ลูกธนูพลังงานได้เปล่งแสงในยามราตรีราวกับว่ามันเป็นแสงจากดาวตก
ตู๊ม!
ลูกธนูทั้งหลายพุ่งใส่หุ่นเชิดที่อยู่บนพื้นดิน
หุ่นเชิดที่ถูกโจมตีล้มลงไปในทันที แต่ไม่นานพวกมันก็กลับลุกขึ้นมาใหม่
“ข้าจะต้องจัดการกับผู้ใช้เวทมนตร์คาถา…หุ่นเชิดพวกนี้ตายไปหมดแล้ว พวกมันจะลุกขึ้นยืนใหม่ได้ถ้าหากข้าไม่ได้จัดการกับผู้ใช้เวทมนตร์คาถา”
ทุกๆ คนต่างก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
ผู้ใช้เวทมนตร์คาถาที่ชาญฉลาดมักจะควบคุมหุ่นเชิดของตนจากในระยะไกล และเพราะแบบนั้นใครจะไปรู้ได้กันว่าผู้ใช้เวทมนตร์คาถาอยู่ที่ไหน?
ลู่โจวกวาดตามองไปทั่วป่าก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั๊ว ปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้าไว้ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮั๊ววู่เด๋าไม่เหมาะกับการจู่โจม เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ปกป้องฐานของตัวเขาเอง
หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ทำไมร่างกายของพวกมันถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ได้?”
ลู่โจวได้ตอบกลับไป “ผู้ใช้เวทมนตร์คาถาได้ดูดซับพลังชีวิตจำนวนมากก็เพื่อที่จะเสริมพลังความแข็งแกร่งให้กับหุ่นเชิดของพวกมัน แต่ยิ่งมีหุ่นเชิดอยู่ภายใต้การควบคุมของมันมากเท่าไหร่ การที่จะควบคุมหุ่นเชิดพวกนั้นได้ผู้ควบคุมคนนั้นก็ต้องจ่ายสิ่งตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น”
เล้งลั่วพูดเสริม “ถ้าหากเป็นแบบนี้ยอดคนทรงนั่นจะต้องเสียอายุขัยไปอย่างน้อยก็ 200 ปีไปอย่างแน่นอน”
“ข้าได้เปิดโลกกว้างอีกครั้งแล้ว” หมิงซี่หยินเข้าใจทุกอย่างแล้วนั่นเอง
“ใครจะไปสนกันว่าพวกมันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน? ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดเอง” ต้วนมู่เฉิงจับหอกราชันย์ไว้แน่น ที่หอกราชันย์เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล “ท่านอาจารย์ให้ศิษย์ได้สู้ด้วยเถอะ!”
ลู่โจวพยักหน้า “ย่อมได้” ถ้าหากลู่โจวอยู่ที่นี่ด้วย เหล่าสาวกของเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่ และถ้าหากไป่มาแสดงตัวออกมา เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถจัดการกับไป่มาได้ด้วยพลังการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต เมื่อจัดการไป่มาได้แล้วการที่จะเก็บกวาดศัตรูที่เหลือก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในตอนนี้ต้วนมู่เฉิงได้รับอนุญาตจากผู้เป็นอาจารย์แล้ว ดูเหมือนว่าตัวเขาจะดูกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ ต้วนมู่เฉิงที่จะเริ่มเปิดฉากการโจมตีได้ใช้พลังอวตารร้อยวิถีของเขาออกมาซะก่อน มันเป็นพลังอวตารที่มีความสูงกว่า 40 ฟุต
“ศิษย์พี่สาม…ท่านยังดูเกรี้ยวกราดเหมือนเคย” หมิงซี่หยินเห็นภาพนี้จนคุ้นตา นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเขาไม่อยากประลองกับผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้ ‘ใครกันจะไปทนถูกหอกนั่นแทงอย่างบ้าคลั่งได้ทุกวัน…’