My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 390
ใครกันที่เป็นยอดฝีมือผู้แท้จริง?
ลู่โจวได้แสดงให้กับทุกคนได้เห็นถึงความหมายของยอดฝีมือผู้แท้จริงแล้ว
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนไม่อาจที่จะรับมือกับกงหยวนได้เลย แต่ถึงแบบนั้นกงหยวนที่ต้องเจอกับลู่โจวก็ถูกจัดการไปอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเองก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจของทุกคน ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้จริงแล้วอยู่ใกล้แค่ไหน ทุกๆ ปีทุกคนก็ได้แต่คาดเดาเท่านั้น แต่มันก็ไม่เคยถูกต้องเลย ทุกๆ ครั้งที่มีการบุกเข้าโจมตี แท้จริงแล้วก็เป็นการตรวจสอบขีดจำกัดที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังเจออยู่
ภายใต้สถานการณ์ธรรมดาทั่วไป ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ในช่วงอายุขัย 100 ปีสุดท้ายแห่งชีวิตจะมีพลังวรยุทธที่ถดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าใช้วิธีการอะไรเพื่อรักษาพลังวรยุทธที่มีให้มากมายขนาดนี้? ยังมีความเป็นไปได้อื่นที่ทุกคนไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง หรือว่าแท้จริงแล้วปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะค้นพบวิธีที่จะฝึกฝนตัวเองจนไปมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้
ถ้าหากทุกคนไม่เห็นลู่โจวแสดงฝีมือกับตาตัวเอง ก็คงจะไม่มีใครเชื่อแน่ว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้แสดงพลังที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
เหล่าอาวุโสทั้งสามแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็คิดเรื่องนี้ในเวลาเดียวกัน หรือว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะกลับไปอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งแล้ว
พลังที่ลู่โจวปล่อยออกไปดูสมบูรณ์แบบจนเกินไป มันไม่มีข้อบกพร่องเหลืออยู่เลย
เช่นเดียวกับไป่มาที่พุ่งมาก่อนหน้านี้ เมื่อไป่มาได้พุ่งเข้ามาหาลู่โจวอีกครั้งตัวเขาก็ถูกอาวุธนิรนามจู่โจมไปทั่วร่าง มันเป็นเหมือนกับที่ตัวเขาได้บอกกับยู่ฉางตงเอาไว้ ถ้าหากต้องการที่จะสังหารใคร สิ่งที่จะต้องทำก็มีแค่เพียงการเหวี่ยงดาบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความคมของอาวุธนิรนามนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่า มันเข้าใจดีว่าการที่ผู้คนมารวมตัวกันในตอนนี้เป็นเพราะอะไร
แคร๊ก!
เสียงอะไรบางอย่างที่คล้ายกับเสียงผ่าต้นไผ่ได้ดังขึ้นกลางอากาศ เสียงมันคมชัดและฟังดูน่าพึงพอใจมาก
ทุกๆ คนที่ได้ฟังเสียงนั้นต่างก็พึงพอใจกันจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินมันไพเราะมากกว่าครั้งไหนๆ มันเป็นเสียงวิเศษที่ทำให้ทุกคนโล่งอก
อัจฉริยะผู้ใช้เวทมนตร์คาถาจากลั่วหลานอย่างไป่มาเสียชีวิตลงแล้ว
สภาพแวดล้อมของศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ลู่โจวมองไปที่ร่างกายผู้ฝึกยุทธด้วยเลือดที่นอนอยู่ใกล้ๆ กับก้อนหินโดยที่ไม่รู้สึกเห็นใจอะไร เวทมนตร์คาถามีทั้งด้านมือและด้านสว่าง น่าเสียดายที่คนมีฝีมืออย่างไป่มาจะเลือกเดินไปยังด้านมืด
“พลังของท่านอาจารย์เป็นพลังมหาศาลที่ไม่อาจหยั่งถึงจริงๆ! วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!” ซู่ฮ่องกงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบสงบ
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ซู่ฮ่องกง
“เอ่อช่วยไม่ได้ล่ะนะ…ช่วยไม่ได้…” ซู่ฮ่องกงได้แต่เกาหัวของตัวเอง เมื่อซู่ฮ่องกงทำแบบนั้นถุงมือนักสู้ก็ได้กระทบเข้ากับหัวของตัวเขาเอง พื้นผิวที่แข็งแกร่งของถุงมือได้ทำให้หัวของซู่ฮ่องกงสัมผัสเข้ากับความเจ็บปวดไปอย่างเต็มๆ
นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการพูดเยินยอ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ยังเห็นหุ่นเชิดทั้งหลายเคลื่อนที่ต่อไป แม้ว่ามันจะเป็นการเคลื่อนที่ที่ช้ากว่าเดิมก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วหุ่นเชิดทั้งหลายก็ได้ล้อมรอบทุกคนเอาไว้
หุ่นเชิดมันมีจำนวนมากจนเกินไป นอกจากนี้พวกมันยังมีพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งจนน่าตกใจอีกด้วย ถ้าหากชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าต้องฆ่าหุ่นเชิดไปทีละตัว ลู่โจวก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ลู่โจวมองไปที่หมอกควันสีม่วงบนท้องฟ้าและพลังอวตารที่อยู่เบื้องหน้าตัวเขา ตัวเขาได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “วิซซาร์ด”
โฮร๊กกก!
วิซซาร์ดได้ยืนอยู่พลังอันเป็นมงคลท่ามกลางหมู่เมฆ มันได้บินมาหาลู่โจวจากบนหมอกควันสีม่วง
ภาพนี้เองทำให้ตัวเขานึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้กับสิบคนทรง
ฮั๊ววู่เด๋าเบิกตากว้าง ตัวเขามองไปที่วิซซาร์ดที่กำลังกระจายพลังอันเป็นมงคลของมันออกมา
หมอกควันสีม่วงที่ถูกพลังอันเป็นมงคลได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น
ในเมื่อเหล่าหุ่นเชิดไม่มีพลังเวทมนตร์คาถาคอยขับเคลื่อนพวกมันก็ล้มลงไปกับพื้น
การกำจัดพลังเวทมนตร์คาถาเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อหมอกควันสีม่วงทั้งหมดจางหายไป หุ่นเชิดทั้งหมดก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก วิซซาร์ดได้ส่งเสียงคำรามอันยาวนานออกมา…มันเป็นเสียงที่บ่งบอกว่าภารกิจของมันเสร็จสิ้นแล้ว วิซซาร์ดได้บินกลับหายไปในความมืดอีกครั้ง
ลู่โจวสังเกตเห็นสถานะของวิซซาร์ดที่อยู่ในเมนูระบบ ตัวเขาคาดเดาเอาไว้ว่าวิซซาร์ดจะต้องใช้เวลาพักฟื้นอีก 7 วันเหมือนครั้งก่อน
คนอื่นๆ จ้องมองไปยังทิศที่วิซซาร์ดได้หายตัวไป ทุกๆ คนได้แต่ตกตะลึงจนต้องขยี้ตาของตัวเอง
‘นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างงั้นสินะ? ทำไมถึงไม่มาให้เร็วกว่านี้ล่ะ?’
ลู่โจวตั้งใจที่จะใช้วิซซาร์ดในเวลานี้ ถ้าหากตัวเขาใช้วิซซาร์ดมาตั้งแต่แรก ไป่มาที่เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดจะต้องชิงหนีไปแน่ การจัดการไป่มาก่อนค่อยจัดการกับเหล่าหุ่นเชิดถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว ลู่โจวเฝ้ามองหุ่นเชิดที่กองกันอยู่บนพื้น ตัวเขาได้แต่ส่ายหัว การต่อสู้ในครั้งนี้มีแต่เสียกับเสีย ตัวเขาไม่ได้รางวัลแต้มบุญตอบแทนกลับมาเลยจากการจัดการหุ่นเชิด นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบก็ยังถูกทำลายไปมาก หมอกควันสีม่วงที่ไป่มาใช้ออกมาได้ดูดซับอายุขัยของพืชในบริเวณโดยรอบไปกว่าครึ่งหนึ่ง ในตอนนี้พืชพรรณทั้งหลายก็ได้แต่แห้งเหี่ยวจนไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ซู่จิงได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะจ้องมองซากศพทั้งหลายที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น ตัวเขาได้ประกบฝ่ามือของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “อมิตตาพุทธ
“นักบวชเฒ่า เจ้าอมิตตาพุทธอะไรกัน?” ซู่ฮ่องกงที่เฝ้ามองศพเองพูดขึ้น
“พวกเขาทุกคนช่างน่าสงสาร ไม่มีใครมีความบาดหมางกับข้าเลยแท้ๆ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของคนทรงคนนั้น”
ซู่ฮ่องกงพยักหน้า “ข้าเองก็คิดว่าเจ้าพูดถูก”
ซู่จิงหันกลับมาเผชิญหน้ากับลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์จี ทุกชีวิตล้วนแต่ต้องการความเป็นธรรม ทุกอย่างย่อมมีวัฏจักรเป็นของตัวเอง อาตมายินดีที่จะสร้างแท่นบูชาให้เพื่อช่วยเหลือให้ดวงวิญญาณของเหล่าหุ่นเชิดพวกนี้จากไปอย่างเป็นสุขเอง ได้โปรดอนุญาตให้อาตมาด้วย”
ลู่โจวตรวจสอบรอบตัว ผู้ที่ตายไปแล้วสมควรที่จะได้รับความเคารพ ท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้ตอบรับไป “ย่อมได้”
“ขอบคุณมากท่านปรมาจารย์” ซู่จิงได้ยืดตัวขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “ในนามของนักบวช อาตมาขอขอบคุณจริงๆ ที่ทุกท่านให้ความช่วยเหลือ”
“นักบวชเฒ่า เจ้านี้อยู่เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ …ข้าฝากด้วยล่ะ”
“มันเป็นหน้าที่ของอาตมาอยู่แล้ว”
หมิงซี่หยินมองไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเป็นนักบวชคนแรกที่ข้าอดทนอยู่ด้วยได้จริงๆ”
ลู่โจวหันกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ขอเดินทางปลอดภัยท่านปรมาจารย์”
“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านอาจารย์”
เมื่อลู่โจวเดินลับสายตาไป ทุกๆ คนก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฝานลี่เทียน เจ้ายังสบายดีอย่างงั้นสินะ?” เล้งลั่วสังเกตเห็นสภาพที่อ่อนล้าของฝานลี่เทียนได้
“ข้ายังไม่ตายเพราะเรื่องแค่นี้หรอก” ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมาในขณะที่จับขวดน้ำเต้าเอาไว้แน่น ตัวเขาไออยู่หลายครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
ฝานซงได้วิ่งกลับมาช่วยพยุงฝานลี่เทียน “อย่าฝืนตัวเองให้มากเลย เจ้าน่ะยังไม่ฟื้นฟูพลังทั้งหมดที่มีเลยด้วยซ้ำไป”
ฝานลี่เทียนไม่ได้โกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตัวเขาได้หัวเราะก่อนที่จะตอบกลับมา “ในเมื่ออยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เมื่อถึงตอนนั้นการทดสอบอันสำคัญก็จะมาเยือนตัวเจ้าเอง มีเพียงการสู้ต่อไปเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราชนะได้”
“อย่าพยายามสั่งสอนอะไรข้าเลย ข้าจะช่วยพยุงเจ้ากลับเอง”
เหล่าสาวกที่เหลือมองไปที่ฝานลี่เทียนและฝานซงที่กำลังบินกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
ในตอนนั้นเองฮั๊วยู่จิงก็ได้บินลงมาจากบนท้องฟ้า นางได้เก็บธนูจันทราของนางไปก่อนที่จะส่ายหัว ดูเหมือนว่านางจะยังต้องฝึกอีกมาก การต่อสู้ในครั้งนี้นางสามารถจัดการกับหุ่นเชิดได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ฮั๊ววู่เด๋าเดินมาหาฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะพูดปลอบใจ “อย่ายอมแพ้ซะล่ะ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์โดยตรง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนทั่วไปแบบเราจะเทียบเคียงความสามารถของพวกเขาได้”
“ค่ะ”
…
ในขณะเดียวกันลู่โจวก็ได้เดินกลับไปยังศาลาทางตะวันออก
การเหวี่ยงดาบของลู่โจวแม้ว่ามันจะดูเป็นเหมือนกับการเคลื่อนไหวทั่วๆ ไป แต่มันได้กินพลังวิเศษของลู่โจวไปจนถึง 2 ใน 3 ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นการใช้อาวุธนิรนามจัดการกับคู่ต่อสู้อีกด้วย
ลู่โจวได้พลิกฝ่ามือของตน ในตอนนั้นอาวุธนิรนามก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่เหนือฝ่ามือของตัวเขา
อักษรสีดำ?
ลู่โจวจำมันได้ดี มันเป็นอักษรที่ได้เห็นในสุสานแห่งดาบ อาวุธนิรนามได้ดูดซับอักษรสีดำของดาบมารไปทั้งหมดก่อนที่จะเปลี่ยนพลังให้เป็นของมันเอง หรือว่าที่อาวุธนิรนามเฉียบคมขึ้นเป็นเพราะว่าสิ่งนี้?
เมื่อคิดได้แบบนั้นลู่โจวก็ได้เปลี่ยนอาวุธนิรนามให้กลายเป็นค้อนไป มันไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยตัวอักษรสีดำเหมือนกับอาวุธนิรนามที่มีรูปร่างเป็นดาบ ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ได้เก็บอาวุธของตนไป
ตัวเขาเลิกใช้ความคิดฟุ้งซ่านก่อนที่จะนั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
คราวนี้ลู่โจวได้ใช้ทั้งการ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตและการ์ดป้องกันไร้ที่ติในการต่อสู้ไป และเพราะแบบนั้นจำนวนการ์ดที่ตัวเขามีจึงลดน้อยลง เมื่อมองดูราคาการ์ดที่ขายในปัจจุบันการ์ดที่ลู่โจวมีจะต้องหมดลงไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่ตัวเขาสามารถพึ่งพาได้มีเพียงพลังวิเศษ ลู่โจวจะต้องคิดหาวิธีที่จะเพิ่มพูนพลังของตัวเองกลับมาอีกครั้ง
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลู่โจวได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองมีเสียงของใครบางคนดังมาจากด้านนอก
“ท่านอาจารย์ ซู่จิงขอพบท่าน”
“ได้”
ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะประเมินพลังวิเศษที่ตัวเขามี พลังมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ทำสมาธิมากว่าหนึ่งคืน ลู่โจวกังวลเล็กน้อยว่าความคืบหน้าในการทำสมาธิของตัวเขามันเกี่ยวข้องอะไรกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนที่สี่รึเปล่า? ไม่ว่าจะสงสัยมากแค่ไหนตัวเขาก็ไม่ได้คำตอบ ตัวเขาได้เดินออกมาจากศาลาทางตะวันออกแทน
เมื่อเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ ลู่โจวก็ได้เห็นภาพอันมีชีวิตชีวา
มีฝูงชนมารวมตัวกันอยู่ระหว่างเสาหินที่ตั้งตระหง่านสองต้นภายนอกห้องโถง ฝูงชนที่มารวมตัวกันสวมเสื้อคลุมของเหล่านักบวชเอาไว้
ที่ภูเขาทองไม่ใช่ภูเขาเล็กๆ ห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าพันตารางเมตร แต่ถึงแบบนั้นมันก็ถูกเหล่านักบวชครอบครองเอาไว้หมดแล้ว
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน?’
ห้องโถงใหญ่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดส่องมาที่ห้องโถงได้
ลู่โจวเดินไปหาเหล่านักบวชอย่างช้าๆ
ซู่จิงเป็นผู้ที่เดินออกมาจากฝูงชนก่อนที่จะพนมมือขึ้น “อมิตตาพุทธ”