My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 433
“ถูกต้อง! นั่นแหละเจียงเซี่ยวเจียนที่ข้าพูดถึง!” ซู่ฮ่องกงอุทานออกมา
สีวู่หยาขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้น “สิบสุดยอดสำนักฝ่ายธรรมะเหลือแค่เพียงเจ็ดสำนักเท่านั้น หลังจากที่จู่โจมภูเขาทองล้มเหลว ข้าก็แน่ใจว่าพวกเขาได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมดในศึกครั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ท่านอาจารย์เป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านอาจารย์ดูปกติดี…ข้าอยากที่จะรู้จริงๆ ว่าท่านอาจารย์ทำอะไรกันแน่ ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ที่นั่น?” ซู่ฮ่องกงพูดออกมา
“หืม?” สีวู่หยามองไปที่ซู่ฮ่องกง “เจ้าคิดแบบนั้นอย่างงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…” ซู่ฮ่องกงรีบปิดปากในทันที
“พลังวรยุทธของผู้อาวุโสทั้งสามเป็นยังไง?” สีวู่หยาถามต่อ
“อย่าให้ข้าได้พูดเลย สหายเก่าของฝานลี่เทียนได้หลอกลวงตัวเขาไปดักทำร้าย ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่ลงมือช่วย ฝานลี่เทียนก็คงจะตายไปแล้วเป็นแน่! ผู้อาวุโสฮั๊วเองก็เชี่ยวชาญแต่การใช้เคล็ดวิชาแห่งการป้องกัน ถ้าหากต้องต่อสู้จริงๆ ตัวเขาก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนผู้อาวุโสเล้งมีความคล่องตัวสูงและยังว่องไว แต่ถ้าหากจะให้ต่อสู้กันตรงๆ ก็คงจะไม่มีใครต่อสู้กับฝานลี่เทียนได้” สิ่งที่ซู่ฮ่องกงพูดเป็นความจริง ท้ายที่สุดแล้วฝานลี่เทียนก็ยังมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่ในมือ เขาถือว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง!
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าอาจจะตกอยู่ในอันตราย”
“ฮั๊วยู่จิงเองก็ไม่ได้แย่อะไร…นางเกือบที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที้มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบเต็มที” ซู่ฮ่องกงพูดเสริม
“ถ้าหากเป็นเมื่อสมัยก่อน สมัยที่มีแต่ผู้เหล่ายอดฝีมือ มันคงจะดีกว่านี้แน่ แต่ในตอนนี้ต่างออกไป ด้วยกำลังที่พวกเรามีไม่เพียงพอที่จะใช้ป้องกันตัวเองแน่ ด้วยข่าวลือของเรื่องการแยกดอกบัวทองคำรวมไปถึงข่าวที่ท่านอาจารย์ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที เป็นไปได้สูงที่สำนักใหญ่ทั้งเจ็ดอาจจะตัดสินใจเสี่ยงโชค” สีวู่หยาวิเคราะห์ทุกอย่าง
“แล้วพวกเราควรทำยังไงกัน?” ซู่ฮ่องกงถามออกมาด้วยความกังวล
“แจ้งศิษย์พี่ใหญ่ซะ” ยู่เฉิงไห่เป็นชื่อที่ปรากฏขึ้นในใจของสีวู่หยา ศาลาปีศาจลอยฟ้าอาจจะพลิกสถานการณ์ได้แน่ถ้าหากได้ยู่เฉิงไห่และสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่มาช่วยเหลือ
“แบบนั้นมันคงจะเป็นไปไม่ได้แน่! เมื่อไม่นานมานี้เกิดเรื่องบังเอิญขึ้น คนจากรั่วหลี่ได้ทำการโจมตีมณฑลเหลียง พวกเขากำลังต่อสู้กับศิษย์พี่ใหญ่อยู่!” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา
สีวู่หยาขมวดคิ้วอีกครั้ง นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?
“ศิษย์พี่รองติดต่อกลับมารึยัง?”
“ยัง”
“…” สีหน้าของสีวู่หยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่คงจะถูกวางแผนเข้าขัดขวาง เป็นเพราะศิษย์พี่รองหายตัวไปดูเหมือนว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะพึ่งพาได้แต่ข้าสินะ”
ซู่ฮ่องกงพูดไม่ออก ‘เขาไม่กลัวว่าท่านอาจารย์จะมาได้ยินหรือไงกัน?’
“ศิษย์น้องแปด ข้าให้เวลาเจ้าสองวัน เจ้าจะต้องหาทางโน้มน้าวใจให้ท่านอาจารย์คลายผนึกพลังวรยุทธให้กับข้า จำเอาไว้ล่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…”
“ได้! ท่านเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบเหมือนกันศิษย์พี่!” ซุ่ฮ่องกงพูดออกมาพร้อมกับตบขาของตัวเอง
…
ในขณะเดียวกันที่หุบเขาวู่เซียน
ภายในดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงไม่เคยได้รู้พบเห็นฤดูใบไม้ผลิ ดินแดนแห่งนี้มีแต่ฤดูหนาว มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยภูมิทัศน์ที่ขาวโพลนที่ซึ่งถูกหิมะปกคลุมอยู่เสมอ
แต่วันนี้บนหุบเขาวู่เซียนกลับได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่แสนจะหายาก
แสงสีทองได้ส่องผ่านหลังคา รอดผ่านหิมะสีขาวก่อนที่จะส่งลงที่อะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับภาพวาด
ที่ด้านนอกสุสานเมลิล็อต กลุ่มผู้ฝึกยุทธกลุ่มเล็กๆ กำลังขุดและทำอะไรบางอย่างกับประตูหินอย่างลับๆ
“ที่นี่มันหนาวอะไรแบบนี้กัน! ถอยกลับไปซะ ตำแหน่งบนแผนที่จะต้องถูกต้องแน่ นี่คือสุสานเมลิล็อต ที่ที่หายไปจากโลกไปกว่า 300 ปี”
“หัวหน้า นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเราได้ขุดหลุมฝังศพของพวกชนเผ่าอื่น ข้าตื่นเต้นจริงๆ !”
“ถ้าหากจะพูดกันตามตรง เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายไม่ได้ถูกนับว่าเป็นชนเผ่าอื่น ผู้ชนะจะได้กลายเป็นราชา ผู้แพ้ก็มักจะกลายเป็นกบฏ ประวัติศาสตร์จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ชนะ มันแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้แพ้จะมีสิทธิ์เขียนขึ้นมาใหม่”
“ใครจะไปสนใจเรื่องราวระหว่างชนเผ่ากัน พวกเราไม่ควรมัวเสียเวลาคุยกัน ทำงานซะ!”
แคล๊ก! แคล๊ก!
ด้วยความพยายามของชายฉกรรจ์ทั้งห้า ทำให้ประตูหินค่อยๆ ถูกเปิด
ทั้งห้าคนเข้าไปยังสุสานเมลิล็อต
“หัวหน้า นั่นมันอะไรกัน?” หนึ่งในเหล่าชายฉกรรจ์ได้ชี้ไปยังฝูงหมาป่าที่ปรากฏตัวอยู่เหนือสุสานเมลิล็อต
“หมาป่าอย่างงั้นเหรอ?”
“นี่เป็นลางร้าย พวกเราไม่ควรจะเข้าไปในนั้น ข้าได้ยินมาว่าสุสานที่มีหมาป่าคอยคุ้มกันมันจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยลางร้าย”
“เจ้ากลัวอย่างงั้นสินะ? ถ้าหากเจ้าออกไปตอนนี้ ก็อย่าได้หวังเลยว่าพวกเราจะแบ่งของที่ขโมยมาได้ให้กับเจ้า”
ทุกๆ คนไม่ได้หวั่นเกรงต่อสุสานอีกต่อไป พวกเขาเดินเข้าไปยังส่วนลึกของสุสานมากขึ้น ในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ ที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยกองกระดูก ชายฉกรรจ์ทั้งหมดพยายามค้นหาของมีค่าพร้อมกับระวังตัวจากกับดักไปด้วย
หลังจากที่ค้นหามาได้พักหนึ่ง ทุกคนต่างก็พบของมีค่าเพียงไม่กี่อย่างบนโครงกระดูกสองโครง นอกเหนือจากนั้นทุกคนต่างก็ไม่พบอะไร
“หัวหน้า ดูนั่นสิ…” หนึ่งในนั้นได้ชี้ไปยังประตูบานหนึ่ง มันมีแสงส่องลงมาจากทางด้านบน
“ชู่วว!” ดวงตาของชายผู้ที่เป็นผู้นำเป็นประกายทันทีที่เห็นดาบอยู่ที่ด้านหลัง ชายคนนี้มีประสบการณ์ในการล่าสมบัติมาแล้ว ทันทีที่ตัวเขาเหลือบเห็นแสงสีแดงจากดาบ หัวใจของชายคนนั้นก็เต้นไม่เป็นจังหวะก่อนที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “นี่มันอาวุธระดับสรวงสวรรค์!”
“อาวุธระดับสรวงสวรรค์?” ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ร่าเริงขึ้นมาทันที “โชคดีจริงๆ ! พวกเรารวยแล้ว!”
อาวุธระดับสรวงสวรรค์เพียงแค่ชิ้นเดียว มันทำให้โจรปล้นสุสานทั้งหมดใช้ชีวิตอย่างราชาไปได้ตลอดทั้งชีวิต
ตอนนี้ชายทั้งห้าต่างก็จ้องไปที่ดาบบนพื้น พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ดาบมากยิ่งขึ้น เมื่อเข้ามาใกล้อาวุธลับที่อยู่ภายในสุสานก็ถูกยิงออกมาจู่โจม
ชายผู้นำขมวดคิ้ว “ระวังอาวุธลับ บางทีอาจจะมีใครอยู่ที่นี่ก่อนเราก็เป็นได้!”
“ใครบางคน? ดาบนั่นเป็นอาวุธของเจ้าพวกนั้นอย่างงั้นสินะ?”
ผู้นำขอโจรปล้นสุสานเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธสูงกว่าใคร ชายคนนี้สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของจากในระยะไกลได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ตัวเขากำลังกังวลถึงอาวุธลับที่อาจจะซ่อนอยู่ที่ด้านหลังประตูหิน แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อ “แต่ใครจะไปสนกันว่าอาวุธนั่นจะเป็นของใคร? มาหาพ่อซะ ลูกพ่อ!”
หวืออ!
ดาบที่เห็นตรงหน้าสั่น มันกำลังสั่นสะเทือนทั้งๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นดิน
“หืม? ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายดาบนั่นด้วยพลังวรยุทธในขั้นมหาราชครูไม่ได้”
ชายทั้งห้ากำลังพบว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกไป
“เอาล่ะ มาดูกันเลย…” ชายเป็นผู้นำยกฝ่ามือขึ้น ตัวเขาได้ควบแน่นพลังลมปราณจำนวนมากก่อนที่จะพยายามปลดปล่อยพลังทั้งหมดไปยังดาบที่ถูกทิ้งไว้
หวืออ! หวืออ! หวืออ!
ดาบยืนยาวสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ไปกันเถอะหัวหน้า!”
“อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!”
“เกือบแล้ว! อีกแค่นิดเดียว…”
พลังวรยุทธของทั้งสี่คนที่เหลือไม่ได้แข็งแกร่งเท่า พวกเขาทั้งหมดทำได้เพียงให้กำลังใจเท่านั้น ทุกคนต่างก็เหลือบมองดาบโดยที่ไม่ยอมขยับไปไหน แม้ว่าหัวหน้าของพวกเขาจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาราชครูก็ตาม แต่มันก็ยังดูไม่เพียง พลังของอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่ได้เห็นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วความโลภก็เริ่มบังตาทุกคนมากกว่าเดิม
หวืออ!
“มันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
ดาบยืนยาวได้ส่องประกายแสงสีแดงเข้มในขณะที่ลอย ดาบเล่มนั้นได้พุ่งหาชายทั้งห้า
พรึ๊บ!
ดาบยืนยาวได้ส่องประกายออกมาชั่วครู่ก่อนที่จะเฉือนคอชายทั้งสี่คน
ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังขั้นมหาราชครูพลิกตัวถอยกลับก่อนที่จะทรุดตัวลง ตัวเขามองไปที่ดาบด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อหันกลับมามองพรรคพวกทั้งหมดดวงตาของเขาก็เริ่มเบิกกว้าง
ชายคนหนึ่งเอามือจับคอของตัวเองก่อนที่จะพูดติดๆ ขัดๆ “หะ…หัว…หัวหน้า…”
ก่อนที่จะได้อธิบายอะไร…
พรึ๊บ!
ชายทั้งสี่ก็ล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะหยุดหายใจ
ดาบเล่มเดิมยังคงลอยอยู่เหนือประตูหิน มันลอยอยู่ได้พักหนึ่งก่อนที่จะพลิกกลับไปเป็นแนวตั้งและตกลงสู่พื้น
ฟรึ๊บ!
พื้นที่อยู่โดยรอบต่างก็ถูกทำลายจนไม่เหลือสภาพเดิม ทันทีที่สังหารผู้คนไปดาบเล่มนั้นก็ส่องแสงสีแดงเข้มยิ่งขึ้นไปอีก
ชายผู้ที่เป็นหัวหน้ารู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่เย็นไปถึงกระดูกสันหลัง ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อในขณะที่ขยี้ตา ภาพที่อยู่ตรงหน้าของชายคนนั้นมันเป็นสิ่งที่ดูน่าเหลือเชื่อเกินกว่าภาพในจินตนาการได้ซะอีก
ในตอนนั้นเองก็มีชายชุดเขียวผมยาวปรากฏตัวขึ้นมา ใบหน้าของเขาดูเรียวยาว แววตาของชายที่จ้องมองมาทั้งดูอ่อนโยนและดูเย็นชาในเวลาเดียวกัน
“จะ..เจ้า…เจ้า!” ชายผู้นำรู้สึกถึงของเหลวอะไรบางอย่างที่หยดลงไปยังขา ตัวเขาไม่อาจที่จะห้ามไม่ให้มันไหลได้ มันเป็นความร้อนเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในที่อันหนาวเหน็บแห่งนี้ ขาของเขาสั่นอย่างรุนแรง
ชายชุดเขียวได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ผู้บุกรุกสุสานเมลิล็อตมีแต่จะต้องตาย”