My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 440
ลูกศรที่ถูกยิงออกมาถูกยิงออกมาอย่างเรียบง่าย มันไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรมากนัก มีเพียงแสงสีฟ้าจางๆ เท่านั้นที่ดูต่างไป เมื่อเทียบกับลูกศรที่ยิงโดยยอดมือธนูท่ามกลางป่ามืด มันเป็นลูกศรที่เรียวบางกว่าด้วยซ้ำ
ปรมาจารย์เต๋า จือหยวนเจ้าสำนักแห่งสำนักเซียนสวรรค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฮั๊ววู่เด๋ามาก่อนแล้ว ตอนนี้สภาพของจือหยวนใกล้ตายไปมากกว่าครึ่ง ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตสิ่งเดียวที่จือหยวนพอจะทำได้นั่นก็คือการใช้งานเครื่องรางทั้งหมดที่ตัวเขามี
การยิงลูกศรครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธจากสำนักทั้งเจ็ดที่ซ่อนอยู่เงียบไปชั่วครู่ แม้ว่ามันจะเป็นลูกศรที่ดูเรียวบางแต่ถ้าหากฟังจากเสียงของลูกศรที่บินผ่านอากาศ มันเป็นเสียงที่คนทั่วไปไม่อาจจะเข้าใจได้
โดยปกติแล้วหลังจากที่ผู้ฝึกยุทธสามารถควบคุมพลังลมปราณของตนเองได้ พวกเขาก็มักจะเปลี่ยนรูปร่างของมันให้กลายเป็นกระบี่, ดาบ, พลังฝ่ามือ ยิ่งพลังที่ถูกปล่อยออกมาเดินทางไปไกล พลังลมปราณที่ถูกปล่อยก็จะถูกแรงลมกัดเซาะจนเบาบางลง
เพราะเหตุนั้นเองในตอนที่มือธนูทั้งหลายใช้การโจมตีระยะไกล พวกเขาก็มักจะสร้างลูกธนูให้หนาและใหญ่เสมอ มันเป็นการป้องกันการกัดเซาะนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามพลังงานสีฟ้าจางๆ ดูแตกต่างออกไป มันเรียวบางและประณีตกว่าพลังลูกศรการโจมตีทั่วๆ ไป มันสามารถเจาะชั้นพลังงานและร่างกายของยอดฝีมือได้ ลูกศรที่ถูกยิงออกมามันถูกอัดแน่นพลังมาจากภายใน ฮั๊วยู่จิงจะสามารถปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนี้ได้เลยอย่างงั้นเหรอ? ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 3 กลีบสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เชียว? มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเป็นผู้ปล่อยการโจมตีออกมา
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ผู้ฝึกยุทธจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ร่างที่ไร้ชีวิตของจือหยวนและผู้ฝึกยุทธทั้ง 5 ที่ถูกจู่โจมต่างนิ่งสงบ พวกเขาไม่สามารถบินได้อีกต่อไป ทุกคนล้มลงไปกับพื้น
…
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,500”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 50”
เมื่อลู่โจวได้รับการแจ้งเตือน ตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัว ผู้ฝึกยุทธทั้ง 5 ที่ถูกการโจมตีด้วยมีพลังวรยุทธต่ำเตี้ย ลู่โจวหันหลังกลับมาก่อนที่จะคืนธนูจันทราให้กับฮั๊วยู่จิงไป ฮั๊วยู่จิงได้แต่อ้าปากค้างจ้องมองตัวเขา ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดเตือนสติ “รับไปซะสิ”
“ข้า…ค่ะ” ฮั๊วยู่จิงรีบรับธนูกลับไปก่อนที่จะรีบโค้งคำนับ
“เจ้าควรจะใช้ลูกศรพลังงานที่เหมาะสมเมื่อเจ้ายิงลูกศรอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากเจ้ายิงลูกศรเพียงแค่ลูกเดียวเจ้าควรจะใช้สมาธิไปกับการยิงให้มากขึ้น” ลู่โจวได้ให้คำแนะนำ
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ชี้แนะ” สิ่งที่ฮั๊วยู่จิงได้เห็นมีประโยชน์กับการฝึกฝีมือมาก ในการยิงธนูก่อนหน้านี้ นางมักจะยิงธนูให้รวดเร็วและทรงพลังมากที่สุด มีบ่อยครั้งที่เป้าหมายของนางอยู่ไกลจนเกินไป แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังใช้ลูกศรขนาดใหญ่ มันเป็นการกระทำที่ใช้พลังเกินกว่าเหตุนั่นเอง
“ท่านปรมาจารย์จะไม่โจมตีต่อหรอคะ?” หลังจากที่ได้ความรู้ใหม่ เป็นธรรมดาที่ฮั๊วยู่จิงจะอยากเห็นการแสดงฝีมือของยอดฝีมืออีก
ลู่โจวได้พลิกฝ่ามือข้างขวาของตัวเอง ในตอนนั้นอาวุธนิรนามก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ก่อนที่ฮั๊วยู่จิงจะทันได้ถามอะไรต่อ ในตอนนั้นอาวุธนิรนามก็ได้กลายเป็นธนูขนาดเล็กไปซะแล้ว “นี่คือ…”
“ธนูนิรนาม” ลู่โจวตอบในขณะที่จ้องมองไปยังสนามรบ
ฮั๊วยู่จิงรู้สึกตื่นเต้น นางจ้องมองไปที่ธนูนิรนามที่มีขนาดเล็กกว่าธนูจันทราของตัวนางเอง นางที่เห็นธนูเพียงชั่วครู่รู้ได้ทันทีว่าธนูของลู่โจวนั้นเหนือกว่านางมาก สุดท้ายอาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ดี
ลู่โวลูบเคราในขณะที่รอคอยโอกาส
พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์รวมกับอาวุธระดับสรวงสวรรค์ พลังที่ได้จะต้องจัดการกับผู้ฝึกยุทธจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดได้แน่
ในขณะที่กำลังมองหายอดฝีมือจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ด ลู่โจวก็ได้พึมพำกับตัวเอง “มีเพียงแค่ทัพหน้าที่ปรากฏตัวออกมาสินะ ถ้าหากพวกเจ้าชอบเล่นซ่อนหา ข้าก็จะเล่นด้วยเอง”
ธนูที่ยิงมาจากความมืด?
ฮั๊วยู่จิงขมวดคิ้วในตอนแรก ในไม่ช้านางก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เป็นธรรมดาที่มือธนูจะใช้การโจมตีจากระยะไกลให้เกิดประโยชน์ จู่โจมศัตรูจากที่อันมืดมิด ก่อนหน้านี้นางได้เล็งยิงธนูในที่เปิดจนเกินไป นางเกือบจะถูกยอดมือธนูของฝ่ายศัตรูสังหารก็เพราะเหตุผลนั้น เป็นเพราะคำพูดของลู่โจวที่ผ่านประสบการณ์และความคิดอันกว้างขวางทำให้ฮั๊วยู่จิงได้เรียนรู้สิ่งใหม่
…
ในขณะเดียวกัน
หลังจากที่จือหยวน เจ้าสำนักเซียนสวรรค์ได้เสียชีวิต ฮั๊ววู่เด๋าก็กลับมาอย่างปลอดภัยได้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ตัวเขาได้ใช้พลังลมปราณอย่างมหาศาลไปกับการโจมตี เมื่อฮั๊ววู๋เด๋ากลับมาถึง ตัวเขาเดินโซเซเล็กน้อยก่อนที่จะตั้งหลักได้อีกครั้ง
ซู่ฮ่องกงรีบประคองฮั๊ววู่เด๋า “น่าทึ่งจริงๆ วิชากระดองเต่าของท่านได้เปิดโลกทัศน์ของข้าให้กว้างขึ้นจริงๆ”
ฮั๊ววู่เด๋าไม่มีเวลาที่จะตอบรับอะไรคำเยินยอของซู่ฮ่องกง ตัวเขาหันกลับไปมองที่ห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างหงุดหงิด
กองกำลังพันธมิตรจากเจ็ดสำนักใหญ่ค่อยๆ บุกเขามาอย่างช้าๆ
ผู้อาวุโสทั้ง 9 แห่งสำนักหยุนรู้สึกโล่งใจที่กำลังสนับสนุนเดินทางเข้ามา
เล้งลั่วมองไปข้างหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ต้วนมู่เฉิง, สาวน้อย กลับไปซะเถอะ!”
“ข้าจะไม่ถอย” หยวนเอ๋อจ้องมองไปที่คู่ต่อสู้ของนาง
“ผู้อาวุโสเล้งล ท่าน่ะใช้พลังมากเกินไปแล้ว ท่านควรกลับไปจะดีกว่า ข้ากับศิษย์น้องเล็กจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง” ต้วนมู่เฉิงพูดก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ ตัวเขาได้บินไปอย่างสง่างามพร้อมกับหอกราชันย์
หยวนเอ๋อบินตามไปติดๆ
รถม้าลอยฟ้าได้หยุดบิน
“ตาแก่จีอยู่ไหน?”
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นได้ยกหอกราชันย์ก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าคือเฟิงชิงแห่งสำนักเจินชาง”
ใกล้กันนั้นมีเสียงของใครอีกคนดังขึ้นจากรถม้าลอยฟ้า “ส่วนข้าเจ้าสำนักเฮ้งชู หนิงเหลียง”
“ข้าเจ้าอาวาสจากวิหารแห่งความโชคดี เหมี่ยวหยิน”
“ข้าเจ้าสำนักเจ็ดดวงดารา เจียหยวน”
“ข้าเจ้าสำนักดวงหฤทัย หลิวรู่ชี”
“และข้าศิษย์คนแรกแห่งสำนักต้วนหลิน จินหาน”
ผู้นำของเจ็ดสำนักใหญ่อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว นอกเหนือจากจือหยาน เจ้าสำนักเซียนสวรรค์ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ภายในรถม้าลอยฟ้าทั้ง 6 ต่างก็ลอยอยู่เหนือเหล่าศิษย์สาวกทั้งหลาย กองกำลังที่บุกจู่โจมในครั้งนี้เทียบเหนือกว่ากองกำลังที่จู่โจมภูเขาทองก่อนหน้ามาก
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากล้าที่จะยั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะใจดีไม่ตอบโต้เลยอย่างงั้นสินะ?”
เฟิงชิงที่ได้ฟังแบบนั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา พวกเราทุกคนที่นี่ต่างก็เสียคนสำคัญให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าไป พวกเจ้าไม่เพียงแต่จะฆ่าพวกเขาอย่างไร้ปรานี พวกเจ้าพุ่งเป้ามาที่สิบสำนักใหญ่ด้วย แม้แต่สำนักหยุนเองพวกเจ้าก็ไม่คิดละเว้น พวกเจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหมล่ะ?
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” ต้วนมู่เฉิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา ตัวเขาได้แกว่งหอกราชันย์อย่างไม่สบอารมณ์ ในตอนั้นเองพลังลมปราณก็เริ่มโคจรรอบตัวของต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะไปยังปลายหอกมากยิ่งขึ้น
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
เฟิงชิงที่ยืนอยู่ในรถม้าได้ปล่อยฝ่ามือออกมา
พลังแผ่สวรรค์ที่ไหลเหมือนกับสายน้ำได้เข้าปะทะกับหอกราชันย์ที่กำลังปัดป้องพลังทั้งหมด
ในช่วงเวลาที่แสนสำคัญนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก ในตอนนี้สำนักฝ่ายธรรมะและอธรรมต่างก็แตกหักกันอย่างสมบูรณ์แบบ การแตกหักไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน สุดท้ายแล้วความบาดหมางทุกอย่างก็ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กันอยู่ภายในสนามรบแห่งนี้
“บอกให้มหาวายร้ายจีแสดงตัวออกมาซะ!”
เหล่าสาวกด้านล่างต่างก็ใช้อาวุธฟาดพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ก๊อง! ก๊อง! ก๊อง!
เสียงกึกก้องได้ดังไปทั่วหุบเขาทอง
…
เล้งลั่วมองไปที่ดวงจันทร์ ค่ำคืนนี้ได้กลายเป็นค่ำคืนแห่งความวุ่นวายไปแล้ว ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะรอดพ้นจากการทดสอบนี้ไปได้ยังไงกัน? ถ้าหากดูจากขนาดกองทัพของศัตรู เล้งลั่วที่เห็นแบบนั้นสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างมาก ถ้าหากตัวเขาอยู่ที่นี่คนเดียวและมีพลังวรยุทธสมบูรณ์ดี เล้งลั่วก็คงจะหนีไปนานแล้ว แต่น่าเสียดาย เล้งลั่วไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่
…
ในขณะที่ผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังลอยไปหาต้วนมู่เฉิง
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
เหล่ายอดฝีมือหลักของสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดยังไม่คิดที่จะแสดงตัวออกมาง่ายๆ พวกเขาต่างก็ซัดพลังฝ่ามือเข้าใส่ต้วนมู่เฉิงเป็นครั้งคราว
ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!
ต้วนมู่เฉิงกวัดแกว่งอาวุธเพื่อที่จะป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ ความสนใจของฝ่ายศัตรูดูเหมือนจะอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว
“ฮั๊ววู่เด๋าไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เล้งลั่วเองก็คงจะเช่นกัน ในตอนนี้เหลือแค่สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว มีเพียงแค่สาวกที่เหลือเท่านั้นที่พวกเราควรกังวล”
“ไม่มีอะไรจะต้องกลัว เจ้าพวกนั้นไม่ได้มีพลังอวตารดอกบัวถึง 5 กลีบด้วยซ้ำไป”
“ข้าอยากที่จะรู้จริงๆ ว่ามหาวายร้ายเฒ่าจะซ่อนตัวไปอีกนานแค่ไหน…” หลิวรู่ชีเจ้าสำนักดวงหฤทัยพูดขึ้น ในตอนที่ตัวเขาแสดงตัวออกมาจากรถม้า ในตอนนั้นเองก็มีลูกศรพลังงานสีฟ้าจางๆ พุ่งออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันที
พรึ๊บ!
เสียงธนูที่เสียดสีกับลมมันชัดเจนจนทำให้ทุกคนได้ยิน
เมื่อหลิวรู่ชีเห็นแบบนั้น ตัวเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ข้าน่ะไม่ได้โง่เง่าเหมือนกับจือหยวน!”
จือหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนที่ถูกโจมตี ในขณะที่หลิวรู่ชีแข็งแรงดีทุกอย่าง ไม่มีทางที่ตัวเขาจะไม่สามารถป้องกันตัวเองจากลูกศรพลังงานที่เรียวบางนี้ได้ หลิวรู่ชีปรับท่าทางเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นลูกศรก็ได้เปลี่ยนวิถีด้วยเช่นกัน มันเป็นลูกศรที่ทำเหมือนกับล็อกเป้ามาที่ตัวเขา
สาวกจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดจ้องมองไปที่หลิวรู่ชี
หลิวรู่ชียกแขนขึ้น ตัวเขาได้สร้างเกราะพลังงานปกป้องด้านหน้าของตัวเองเอาไว้ พลังที่ว่าได้เปล่งประกายแสงสีทองออกมา
หวืออ!
ลูกศรพลังงานเจาะทะลุเกราะพลังลมปราณไปอย่างง่ายดาย
ดวงตาของหลิวรู่ชีเบิกกว้างในขณะที่จับจ้องไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า “นี่มัน…”
บรรยากาศกลับมาแปลกประหลาดอีกครั้ง
“เจ้าสำนักหลิว!”
“เจ้าสำนักหลิว เกิดอะไรขึ้นกัน?”
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป หลิวรู่ชีไม่ทันจะได้เห็นลูกศรพลังงานที่พุ่งผ่านอกของตัวเขาไป
“นี่มันฝีมือของยอดมือธนูแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ฮั๊วยู่จิงอย่างงั้นเหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้! นางไม่มีทางแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้แน่!
“บัดซบ! ศาลาปีศาจลอยฟ้าเองก็ยิงธนูมาจากที่มืด!”
‘เกิดอะไรขึ้นกัน?’
‘มันไม่ใช่เรื่องปกติหรือไงกันที่สำนักฝ่ายอธรรมจะใช้วิธีการแบบนี้?’
เหล่าสาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็คิดกับตัวเอง
แม้ว่าแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้จะไม่ได้ส่องแสงสว่างมากนัก แต่ทุกคนก็มองเห็นหลิวรู่ชีเจ้าสำนักดวงหฤทัยตกลงจากรถม้าได้ดี
“น่าทึ่งจริงๆ แม่นางฮั๊ว!” ฝานซงได้พูดยกย่องออกมาในขณะที่ลอยอยู่บนอากาศ
“หุบปากซะ! ถ้าหากไม่มีอะไรจะพูดก็เก็บปากของเจ้าเอาไว้เถอะ!”
ตู๊ม!
หลิวรู่ชีร่วงหล่นสู่พื้น
เหล่าสาวกจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ด และสาวกจากสำนักย่อยต่างก็ยืนมองหลิวรู่ชีที่กำลังตกลงสู่พื้น