My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 446
สีวู่หยาเป็นผู้ที่มีเครือข่ายข้อมูลที่กว้างขวาง อีกทั้งตัวเขายังรู้ภูมิหลังของเจ็ดสำนักใหญ่ทั้งหมดและยังรู้จุดอ่อนของเจ้าสำนักแต่ละคนอีกด้วย สีวู่หยาเคยคิดเอาไว้ ตัวเขาวางแผนจะให้สมาชิกหลักของสำนักแห่งความมืดอย่างยี่ฉีชิงส่งจุดอ่อนของเจ็ดสำนักใหญ่ให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากอาจารย์ของตัวเขาเปลี่ยนใจ ตัวเขาก็อาจจะไปเจรจากับเจ็ดสำนักใหญ่ได้ ด้วยข้อมูลทั้งหมดรวมไปถึงความสามารถในการเจรจา เจ็ดสำนักใหญ่จะต้องถูกคำพูดของสีวู่หยาไล่กลับไปได้แน่ และยิ่งมียู่เฉิงไห่และสำนักแห่งความมืดคอยสนับสนุนตัวเขา สีวู่หยาก็มั่นใจมากกว่าตัวเขาจะต้องทำสำเร็จ แต่ท่านอาจารย์ของเขากลับทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้สีวู่หยาจึงต้องมองมาที่ผู้เป็นอาจารย์ใหม่
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าขันมากที่สุด มันเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในใต้หล้าก็ว่าได้!
สีวู่หยาเคยคาดเดาอยู่หลายครั้งว่าอาจารย์ของตัวเขาล่วงรู้ความลับของอวตารดอกบัวเก้ากลีบแล้ว สีวู่หยาเคยพูดกับศิษย์พี่คนโตเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้ไม่มีใครคิดจะเชื่อ แต่ในตอนนี้ ‘ความจริง’ ได้ฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของเขาไปเป็นที่เรียบร้อย ถ้าหากมีคนบอกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากทางทิศใต้ ในตอนนั้นก็คงจะไม่มีใครเชื่อ มีเพียงคนที่เห็นมันกับตาเท่านั้นที่จะเชื่อได้ มันก็เหมือนกับเรื่องราวในครั้งนี้
ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบต้องการความช่วยเหลืออย่างงั้นเหรอ? เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่ง กลอุบายทั้งหมดต่างก็ไร้ค่า
หวืออ!
ม่านพลังส่องสว่างมากขึ้นกว่าเก่า ในตอนนี้ม่านพลังของภูเขาทองและร่างอวตารได้ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่ว
ศาลาปีศาจลอยฟ้าดูเหมือนจะกลับมาสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนกับในอดีตได้อีกครั้ง
…
ในขณะเดียวกันลู่โจวไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ตัวเขายังคงถ่ายโอนพลังลมปราณของตัวเองต่อไป ลู่โจวในตอนนี้ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการรับรางวัลมา มันเป็นรางวัลที่ได้มาจากสีวู่หยานั่นเอง แต่แน่นอนว่าในตอนนี้ตัวเขาไม่มีเวลามากพอที่จะหันไปสนใจสีวู่หยา
ลู่โจวไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นบนพื้น ตัวเขาจดจ่อพลังอย่างเต็มที่ในการถ่ายโอนพลังเพื่อสร้างม่านพลังขึ้น ‘ศิษย์ไม่รักดีนั่นคงจะสงสัยในคำถามอีกแล้วสินะ?’
ลู่โจวต้องการที่จะซ่อมแซมม่านพลังให้กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ ท้ายที่สุดแล้วพลังระดับสุดยอดที่ได้มาจากการใช้การ์ดก็จะหายไปอยู่ดี เมื่อถึงเวลาที่กำหนดพลังลมปราณที่มีไม่จำกัดของตัวเขาก็จะหายไป
…
สีวู่หยาเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘แล้วคนจากเจ็ดสำนักใหญ่อยู่ไหนกัน?’
สีวู่หยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาวิ่งไปทางทิศตะวันตกของหุบเขา สีวู่หยาได้จ้องมองจากหุบเขาลงมา เป็นเพราะแสงสว่างสีวู่หยาจึงมองเห็นทุกอย่างที่อยู่บนพื้นเบื้องล่าง เท่าที่ตาของสีวู่หยามองเห็น ที่บนพื้นมีเพียงร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นไปแล้ว
ที่คูน้ำมีร่องรอยของดาบพลังงานนับไม่ถ้วนจู่โจม บางที่มีหลุมอันใหญ่ยักษ์เกิดขึ้น ร่างของเหล่าสาวกจากเจ็ดสำนักใหญ่นอนเกลือนไปทั่วเชิงเขา
สีวู่หยาได้แต่ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น “นี่คือพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอย่างงั้นสินะ?”
…
ห่างจากหุบเขาไปหนึ่งไมล์
หมิงซี่หยินกำลังเหลือบมองเฟิงชิงด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ารู้อะไหม? ข้าจะต้องขอชมเชยเจ้าจริงๆ เจ้าน่ะมีเล่ห์เหลี่ยมมากที่สุดแล้ว นอกจากเจ้าจะเป็นคนวางแผนให้กับเจ็ดสำนักใหญ่ เจ้ายังมีไพ่ตายสำรองเอาไว้อีกด้วย แต่ยังไงซะผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ไม่ต่างกัน”
หลังจากที่เผาผลาญจุดตันเถียน จุดพลังลมปราณของตัวเองไป ท่าทีของเฟิงชิงก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน “เจ้าเป็นคนเลือกที่จะหันหน้าให้กับคุณธรรมเพื่อก้าวไปสู่นรกอเวย์จีแทน”
หมิงซี่หยินได้ใช้นิ้วชี้ไปยังเฟิงชิง “คิดว่าข้าจะกลัวอย่างงั้นเหรอ?”
การกระทำของหมิงซี่หยินทำให้เฟิงชิงโกรธเคือง ตัวเขาต้องการที่จะฉีกหมิงซี่หยินให้เป็นชิ้นๆ แม้ว่าจะฝืนเผาจุดตันเถียนของตัวเองไป แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีขีดจำกัด เฟิงชิงไม่อยากที่จะเสียเวลาพูดคุยต่อไป ตัวเขาพุ่งไปหาหมิงซี่หยินด้วยความเร็วสูงแทน
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
พลังฝ่ามือปรากฏขึ้นจากบนกลางอากาศ!
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว “เร็วเข้า เร็วให้มากกว่านี้ซะ…แม้ว่าเจ้าจะบาดเจ็บอยู่แต่มันจะไม่ช้าไปหน่อยหรอไงกัน?”
การตัดสินใจที่เฟิงชิงเคยมีถูกความโกรธเข้ามาบดบัง การโจมตีของเฟิงชงรุนแรงและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
หลายครั้งที่หมิงซี่หยินรู้สึกกดดัน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาจะต่อสู้กับยอดฝีมือด้วยพลังวรยุทธที่ตัวเองมีในปัจจุบันได้ยังไงกัน? ถ้าหากเฟิงชิงไม่ได้รับบาดเจ็บจากผู้เป็นอาจารย์ในก่อนหน้านี้ ตัวเขาก็คงจะไม่กล้าท้าทายเฟิงชิงแบบนี้แน่
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หมิงซี่หยินล่าถอยกลับเข้าไปในป่า
พรึ๊บ!
เฟิงชิงตามไปติดๆ ตัวเขาหันไปรอบตัวก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าจงใจพาข้ามาที่นี่สินะ?”
“เจ้าฉลาดหลักแหลมจริงๆ” หมิงซี่หยินพยักหน้า
“ที่ที่มีแต่ป่าเจ้าจะไปทำอะไรได้”
หวืออ!
เฟิงชิงได้เรียกพลังอวตารของตัวเองออกมา เป็นเพราะตัวเขาได้ฝืนเผาผลาญจุดตันเถียนของตัวเองไป เฟิงชิงมีแต่ต้องจัดการกับหมิงซี่หยินให้ได้เร็วที่สุด ยิ่งต่อสู้ยืดเยื้อนานเท่าไหร่ตัวเขาก็จะยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น เดิมทีเฟิงชิงเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบ แต่ก็เพราะการเผาผลาญพลังลมปราณทำให้พลังที่ตัวเขามีถดถอยลงไปมากกว่าครึ่ง ตอนนี้ตัวเขามีพลังเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบได้เท่านั้น ถ้าหากเป็นการต่อสู้ทั่วไป มันคงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเฟิงชิงมากที่จะสังหารผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลับได้ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างมันแตกต่างไป เฟิงชิงจำเป็นจะต้องรีดเค้นพลังทั้งหมดที่เหลือเพื่อจัดการกับหมิงซี่หยิน
เฟิงชิงหงายฝ่ามือออกมา ที่ฝ่ามือของเขามีเครื่องรางอักษรปรากฏตัวขึ้น มันหมุนวนรอบฝ่ามือก่อนที่จะลอยไปหาหมิงซี่หยิน
“น่าทึ่งจริงๆ !” หมิงซี่หยินไม่ใช่คนโง่ ตัวเขาไม่คิดที่จะประชันพลังกับเฟิงชิงตั้งแต่แรก หมิงซี่หยินได้ใช้ปลายเท้าแตะพื้นเบาๆ ก่อนที่จะหายไปด้วยความเร็วแสง
ต้นไม้ทั้งหลายดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา พวกมันได้ขวางกันเฟิงชิงไม่ให้โจมตีหมิงซี่หยิน
ตู๊ม!
ป่าส่วนหนึ่งถูกพลังอวตารและพลังเครื่องรางเข้าทำลาย
เฟิงชิงลอยอยู่บนกลางอากาศพร้อมๆ กับร่างพลังอวตาร ตัวเขาจ้องมองลงมาที่พื้นเบื้องล่างเพื่อหาตัวหมิงซี่หยิน
เสียงของหมิงซี่หยินได้ดังมาจากที่ไกลแสนไกล “เฮ้ย ทางนี้”
ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ทางซ้ายมือของเฟิงชิง หมิงซี่หยินได้กวักมือเรียกเขาด้วยนิ้ว
เฟิงชิงไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา ตัวเขาได้ปล่อยพลังเครื่องรางจากฝ่ามือโดยใช้พลังจากร่างอวตารเป็นการโจมตีแทน
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
การโจมตีของเฟิงชิงพลาดไปอีกครั้ง
หมิงซี่หยินสามารถหลบการโจมตีได้ ถ้าหากเขาไม่สามารถเอาชนะเฟิงชิงในเวลานี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการหลบการโจมตีนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นานเฟิงชิงก็รู้ตัวว่ามีบางอย่างแปลกไป ตัวเขาไม่สามารถปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อต่อไปได้ ตัวเขาไม่เคยพบกับใครที่ฉลาดแกมโกงเหมือนกับหมิงซี่หยินมาก่อน
เฟิงชิงรีบวัดพลังลมปราณที่เหลืออยู่ ตัวเขารีบนำกองเครื่องรางออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะใช้นิ้วชี้ไปที่มัน พลังลมปราณของเฟิงชิงได้พุ่งออกมาก่อนที่จะเริ่มใช้งานเครื่องรางทั้งหมด จากนั้นเฟิงชิงก็ได้ปลดปล่อยเครื่องรางออกมา
ป่าที่เฟิงชิงยืนอยู่ถูกไฟไหม้ไปในทันที
เมื่อยังเห็นว่าไฟยังลุกลามไม่มากพอ เฟิงชิงก็รีบใช้เครื่องรางเพิ่มเติม ตัวเขาได้โยนเครื่องรางไปทั่วทั้งป่า หลังจากเผาป่าเฟิงชิงก็ได้ลอยขึ้นไปอย่างพอใจ ตัวเขาจ้องมองลงมาบนป่าที่มีแต่เปลวไฟ หลังจากนั้นเฟิงชิงก็พยายายมหายอดฝีมือที่รอดชีวิตมาได้
“ดีใจด้วย เจ้าหาข้าเจอแล้วสินะ!” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาในขณะที่สำลักควัน ตัวเขาได้ห่อหุ้มตัวเองด้วยพลังลมปราณเอาไว้ก่อนที่จะวิ่งไปยังหุบเขา ที่ตรงนั้นไม่มีทั้งต้นไม้และไฟ หมิงซี่หยินที่กำลังจะเคลื่อนย้ายไปดูรวดเร็วราวกับสายลม
“หนีอย่างงั้นเหรอ? ตายซะ!” เฟิงชิงโคจรพลังก่อนที่จะปล่อยเครื่องราวกว่าหลายสิบชิ้นออกมา ทันทีที่เครื่องรางถูกใช้งานเครื่องรางทั้งหมดก็เริ่มเปล่งแสงลวดลายออกมา มันส่องประกายแสงสีทองก่อนที่จะกลายเป็นเครื่องรางผนึก เครื่องรางผนึกตกลงบนตัวของหมิงซี่หยิน
เฟิงชิงเริ่มการโจมตีโดยการพุ่งตัวไปหาหมิงซี่หยินพร้อมๆ กับพลังอวตาร แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะมีพลังเทียบเท่าได้กับพลังอวตารดอกบัวหกกลีบเท่านั้น แต่พลังอวตารที่สูงกว่า 70 ฟุตของตัวเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปจะสามารถต่อกรได้
อวตารของเฟิงชิงส่งเสียงออกมา มันกำลังกระทืบเท้าลงบนพื้น
เมื่อต้องพบกับพลังที่แตกต่างกัน กลอุบายใดก็ไม่อาจมีความหมาย
ตู๊ม!
เฟิงชิงและพลังอวตารของเขาลงสู่พื้น ที่ใต้เท้าของพลังอวตารมีหลุมอันใหญ่ยักษ์ เฟิงชิงมั่นใจมากว่าคู่ต่อสู้ของเขาถูกเหยียบไปแล้ว เฟิงชิงที่คิดแบบนั้นหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง “ศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ? เจ้าควรจะตำหนิโชคของตัวเองที่ต้องมาพบกับความตายเร็วเช่นนี้!” เฟิงชิงในเวลานี้สูญเสียสง่าราศีของการเป็นเจ้าสำนักไปหมดแล้ว คำพูดของเขาเริ่มหมดความหมาย ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีสาวกคนใดในศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้ง 9 ถูกสำนักฝ่ายธรรมะจัดการมาก่อน แม้แต่ซู่ฮ่องกงที่ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สามารถหลบหลีกอันตรายได้เสมอ เฟิงชิงรู้ดีว่าการร่วมมือโจมตีจากเจ็ดสำนักใหญ่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วที่เฟิงชิงจะสังหารศิษย์สาวกศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ แต่ทว่าความทะเยอทะยานของตัวเขากลับถูกปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าบดขยี้อย่างไร้ความปรานี แต่ความสำเร็จที่ตัวเขาสังหารศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ถือว่าเป็นแรงจูงใจอย่างดีที่จะทำให้ตัวเขาเดินหน้าต่อไป เฟิงชิงยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดตัวเขาก็ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะผนึกจุดตันเถียนเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นร่างอวตารของเฟิงชิงก็ได้หายไป
ตู๊ม!
เสียงดังก้องกังวานดังขึ้น มีร่างกายของใครคนหนึ่งพุ่งออกมาจากพื้นดิน
เฟิงชิงหันกลับไปมองอีกครั้ง
หมิงซี่หยินยกมือที่ถือเคียวพื้นพิภพขึ้นมา “เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ …แข็งแกร่งมากจนทำให้ข้าต้องใช้พลังถึง 1 ใน 3 ได้”
เฟิงชิงพลาดไปที่ด่วนตัดสินใจ ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที เฟิงชิงฝืนทนต่อความเจ็บปวดภายในใจก่อนที่จะพูดออกมา “วิชามุดดินอย่างงั้นสินะ?”
“ในเมื่อข้าจะต้องใช้วิชานี้ออกมา วิธีการก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป” หมิงซี่หยินค่อยๆ เคลื่อนหาเฟิงชิง