My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 449
ภายในพระราชวังเขียวชอุ่มแห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันหลิวกู่กำลังใช้พู่กันของตัวเองขีดเขียนอักษรอยู่
ในระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าของผู้ส่งสารก็ได้ดังขึ้น
หลิวกู่รีบหยุดเขียนตามสัญชาตญาณ ตัวเขาได้วางพู่กันลงบนโต๊ะก่อนที่จะจ้องมองไปยังประตู
ก่อนที่ผู้ส่งสารจะเข้ามาในห้อง ตัวเขาได้คุกเข่าลงก่อนที่จะพูดออกมาก่อน “ฝ่าบาท หน่วยสอดแนมของพวกเรารายงานมาแล้วว่าเจ็ดสำนักใหญ่ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าจัดการไปหมดแล้ว พวกเขาไม่แม้จะต่อต้านได้เลย”
หลิวกุ่ยคิดเอาไว้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องเสียหายด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าจีเทียนเด๋าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ตัวเขาก็คงจะไม่อาจรับมือกับยอดฝีมือจำนวนมากได้ ทั้งปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลินที่เลือกจะเคลื่อนไหวโดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน จีเทียนเด๋าก็คงจะรับมือด้วยความยากลำบาก สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรต้องกลัว ด้วยการต่อสู้นี้จะทำให้ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลิวกู่หายไป แต่ผู้ส่งสารกลับบอกว่าเจ็ดสำนักใหญ่พ่ายแพ้โดยที่ไม่อาจต่อต้านได้เลย? นี่มันหมายความว่าอะไรกัน
หลิวกู่ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “พูดซ้ำทีสิ”
เสียงของผู้ส่งสารดูสั่นเครือ “หน่วยสอดแนมของพวกเราเพิ่งจะรายงานมาว่าเจ็ดสำนักใหญ่ เอ่อ ข้าหมายถึงสำนักทั้งแปดที่รวมสำนักหยุนไปด้วยถูกศาลาปีศาจลอยฟ้ากำจัดจนหมดแล้ว พวกเขาไม่สามารถที่จะต่อต้านอะไรได้เลย” ผู้ส่งสารน้ำตาคลอเบ้า ตัวเขากลัวว่าหลิวกู่จะโกรธก่อนที่จะใช้พลังฝ่ามือโจมตี ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในอดีตผู้ส่งสารหลายคนก็ได้เสียชีวิตในลักษณะนี้
การเข้าเฝ้าจักรพรรดิก็เหมือนกับการจับเสือด้วยมือเปล่า มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
แม้ว่าหลิวกู่จะดูสงบจากภายนอก แต่ก็ไม่มีใครจินตนาการได้เลยว่าหลิวกู่จะเป็นแบบไหนถ้าหากตัวเขารู้สึกโกรธขึ้นมา “มันเป็นไปได้ยังไงกัน? สีวู่หยาและยู่เฉิงไห่กลับมาแล้วอย่างงั้นเหรอ?” นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้เดียวที่หลิวกู่คิดได้
ผู้ส่งสารกลืนน้ำลาย ตัวเขาครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วก่อนที่จะมาที่นี่ ผู้ส่งสารได้เตรียมข้อมูลมามากกว่าร้อยครั้ง “จี…ตีเทียนเด๋าฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้แล้ว!”
ครั้งนี้หลิวกู่ไม่ได้ขอให้ผู้ส่งสารทวนคำพูดอีกครั้ง ตัวเขาตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลิวกู่นิ่งเงียบไปราวกับว่าวิญญาณได้ออกจากร่างกายของเขาไปแล้ว
ที่ห้องศึกษา บรรยากาศทั้งหมดสงบจนเกินไป มันสงบจนกดดันให้ผู้ส่งสารคนนั้นหายใจลำบาก
ผู้ส่งสารไม่กล้าจะพูดอะไร ร่างกายของเขาสั่นจนหยุดตัวเองไม่ได้
หลิวกู่หยุดนิ่งไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อผ่านมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลิวกู่ได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วงานวิจัยของพวกเราเกี่ยวกับการแยกดอกบัวทองคำคืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“ฝ่าบาท…ผู้รอดชีวิต กะ…กำลังพยายามผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาอีกครั้ง”
“ดีมาก” หลิวกู่กลับไปยังโต๊ะทำงาน ตัวเขาเก็บอารมณ์เอาไว้ก่อนที่จะถามออกมาอย่างเยือกเย็น “แล้วสถานการณ์การต่อสู้ที่มณฑลเหลียงเป็นยังไงบ้าง?”
“คนจากรั่วหลี่และสาวกของสำนักอเวจีกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ยู่เฉิงไห่เดินทางไปยังมณฑลเหลียง เขาคงจะไม่สามารถสร้างปัญหาได้ไประยะเวลาหนึ่ง” ผู้ส่งสารเริ่มรายงานออกมาอย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น
หลิวกู่หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขาได้จุ่มมันลงบนหมึกก่อนที่จะเขียนอักษรออกมา ตัวเขาได้เขียน ‘รวมเป็นหนึ่ง’ ลงบนกระดาษ ในจังหวะสุดท้ายของการเขียนหลิวกู่ได้สะบัดมันอย่างแรง…
ฟรึ๊บ!
ตัวอักษร ‘รวมเป็นหนึ่ง’ ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามากขึ้น มันมีแสงล้อมรอบออกมา ตัวอักษรที่เปล่งแสงได้กลายเป็นพลังตัวอักษรก่อนที่จะพุ่งไปยังผู้ส่งสารที่อยู่ตรงประตู มันได้เสียบแทงหัวของเขาในชั่วพริบตา
หลิวกู่ไม่แม้แต่จะชายตามอง ตัวเขาได้ยินแต่เสียงของร่างกายคนที่ล้มลงสู่พื้น หลิวกู่ยังคงใช้พู่กันเขียนตัวอักษรต่อ ‘ชนเผ่านับหมื่น’ หลิวกู่ที่เขียนเสร็จได้วางพู่กันลงบนโต๊ะ ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “พาเจ้านั่นออกไปซะ”
หัวของผู้ส่งสารคนนั้นระเบิดจนไม่เหลือชิ้นดี ในตอนที่ผู้ส่งสารคนนั้นกำลังจะตาย ตัวเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมหลิวกู่ถึงลงมือสังหารเขา
สำนักอเวจีของยู่เฉิงไห่ยังคงสร้างความเสียหายไปทั่วมณฑลทั้งเก้า ยู่เฉิงไห่ที่สร้างปัญหาได้จะไม่ใช่ความอับอายที่จักรพรรดิหลิวกู่จะต้องแบกหน้ารับไว้ได้ยังไงกัน?
…
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้มันยังเป็นที่ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารได้เร็วที่สุด ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่หลิวกู่จะเป็นคนแรกที่ได้รู้เรื่องนี้
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้นาน ไม่นานนักข่าวของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลับก็ได้แพร่ไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ข่าวลือได้แพร่ไปทั่วมณฑลทั้งเก้าโดยที่มีเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นจุดศูนย์กลาง
ความสำเร็จที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีได้ทำให้ทั่วทั้งโลกประหลาดใจ
…
ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังแลกเปลี่ยนพูดคุยกับพร้อมกับดื่มเครื่องดื่ม
“ใครจะกล้ายืนหยัดต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า พวกเขาจะต้องกลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแน่”
“เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นสถานที่ที่น่ายกย่องจริงๆ ถ้าหากวันหนึ่งข้าเข้าศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ต่อให้ต้องสละอายุขัยนับ 10 ปีก็ยังคุ้มค่า”
“ฝันไปซะเถอะ…ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าในตอนนี้ แม้แต่จะไปถึงก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คนอื่นๆ ได้หัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น
ท่าทีของผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในบรรดาผู้ที่สนับสนุนศาลาปีศาจลอยฟ้า เมื่อได้ยินข่าวทุกคนก็คลั่งไคล้ศาลาปีศาจลอยฟ้ากันมากขึ้น
แต่ในบรรดาผู้ที่ต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็ได้แค่เงียบเท่านั้น
ในตอนนั้นเองชายผู้สง่างามคนหนึ่งก็ได้ถามออกมา “ขอโทษทีนะ แต่มีผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?”
“สหาย ข้าบอกได้เลย แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ตรงนั้นแต่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแน่!”
“เขาได้แยกดอกบัวทองคำออกอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น…วิธีการแยกดอกบัวทองคำเพิ่งจะถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาตัวรอดจากการแยกดอกบัวทองคำได้ และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องผลิกลีบดอกบัวใหม่ เพราะแบบนั้นข้าก็เลยสงสัยว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะใช้วิธีการอื่น”
ใครอีกคนพยักหน้าก่อนที่จะพูดแทรก “ถูกต้อง การแยกดอกบัวทองคำก็เป็นแค่อีกเส้นทางหนึ่งเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าสำนักใหญ่หลายสำนักพยายามที่จะไม่สร้างดอกบัวทองคำในตอนที่ฝึกฝนตั้งแต่แรก พวกเขากำลังมุ่งเน้นให้เหล่าสาวกผู้ที่เพิ่งจะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างกลีบดอกบัวแทน…บางคนพยายามที่จะกำจัดดอกบัวทองคำด้วยยาวิเศษ ในตอนนี้น่ะมันมีหลายวิธีแล้ว”
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายพยักหน้าเห็นด้วย
ชายผู้สง่างามยิ้มให้ก่อนที่จะพูดตอบรับ “ขอบคุณทุกท่านที่ชี้แนะ”
ชายผู้สง่างามยืนขึ้นก่อนที่จะจากที่แห่งนี้ไป แต่ในตอนนั้นเองเสี่ยวเอ้อก็ได้หยุดชายคนนั้นเอาไว้ซะก่อน “คุณชาย กรุณาจ่ายค่าเครื่องดื่มด้วย”
ชายคนนั้นตกตะลึง ตัวเขาล้วงกระเป๋าของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ “โทษทีนะ วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่วันที่ดีสำหรับข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าในอนาคตแน่”
“หะ? คุณชาย พวกเรามีลูกค้าอีกมากมาย โรงเตี๊ยมของพวกเราเป็นแค่โรงเตี๋ยมเล็กๆ เท่านั้น…” เสี่ยวเอ้อรู้สึกลำบากใจที่ไม่อาจเก็บค่าเครื่องดื่มได้
ชายคนนั้นค้นกระเป๋าตัวเองอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม มือของเขาพบแต่ความว่างเปล่า
เสี่ยวเอ้อที่เห็นดาบที่ชายคนนั้นถืออยู่ได้พูดออกมา “ทำไมท่านไม่ทิ้งดาบเล่มนั้นเอาไว้เป็นหลักประกันล่ะ?”
เมื่อมีคนพูดถึงดาบ ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็จ้องมองไปยังดาบเล่มนั้นทันที ผู้ที่มีสายตาเฉียบคมรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นดาบที่ดี ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าดาบที่ดีมีความหมายต่อผู้ใช้ดาบมากแค่ไหน ผู้ใช้ดาบจะไม่มีวันพรากจากดาบของตน
“ข้าจะจ่ายให้เขาเอง” สตรีผู้สง่างามปรากฏตัวขึ้นจากด้านหน้า นางได้จ่ายค่าเครื่องดื่มทั้งหมดให้กับเสี่ยวเอ้อไป
ชายคนนั้นเหลือบมองไปที่นางก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอบคุณ”
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมักจะยากจนเสมอ แต่ถึงแบบนั้นการที่มีหญิงสาวจ่ายค่าเครื่องดื่มแทนให้แบบนี้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธใกล้เคียงก็ยังรู้สึกอับอายแทนชายที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวคนนั้นได้โค้งคำนับให้ “โปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วยเถอะ ท่านศิษย์คนรอง”
“…” ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างตกตะลึง
ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยท่าทีอ่อนโยน “ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่คิดที่จะรับศิษย์น่ะ”
หญิงสาวคนนั้นลุกขึ้น นางพูดออกมาอย่างมีพลัง “ข้ามีชื่อว่าฉินรู่ปิง ข้ารู้สึกชื่นชมศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าอยากจะวิงวอนให้ท่านช่วยรับข้าเป็นศิษย์ด้วย ท่านศิษย์คนรอง!” นางคุกเข่าลงหลังจากที่พูดจบ
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างตกใจ
“ข้าจำได้แล้ว นางเป็นลูกสาวของฉินจุน เจ้าชายแห่งพลัง!”
“ถ้าหากนั่นเป็นนางจริง แสดงว่านี่จะต้องเป็น…” ศิษย์คนรองที่ฉินรู่ปิงกำลังพูดถึงไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นศิษย์คนที่สองแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ชายคนนี้ได้บินมาจากหุบเขาวู่เซียนอย่างไม่หยุดพัก ยู่ฉางตงที่บังเอิญผ่านเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้หยุดพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
พรึ๊บ!
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็ก้มหมอบในทันที พวกเขาทุกคนสั่นไปทั้งตัว
เสี่ยวเอ้อคนนั้นเองก็สั่นไปด้วยความกลัว ตัวเขารีบหยิบเงินที่ได้รับออกมาก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหายู่ฉางตง “ข้า…ข้าโง่เขลาเบาปัญญา…ได้โปรด…ได้โปรด…!”
“เจ้าสมควรแล้วที่จะได้รับเงินนั่น” ยู่ฉางตงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ข้าสมควร…สมควร…สมควรที่จะได้รับเงินแล้ว” เสี่ยวเอ้อตกใจมาก ตัวเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสาวกคนที่สองของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเป็นคนที่มีเหตุผลและยังใจดีเช่นนี้
ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ เองก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
ยู่ฉางตงยังคงยิ้มให้ในระหว่างที่ตบบ่าของเสี่ยวเอ้อคนนั้น หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หันไปมองที่ฉินรู่ปิง “เส้นทางการฝึกยุทธนั้นยากลำบากและเต็มไปด้วยอันตราย ในเมื่อเจ้าเกิดมามีชาติกำเนิดอันดีแล้ว เจ้าไม่เหมาะที่จะมาฝึกตนหรอก”
“ท่านศิษย์คนรอง”
ชิ๊ง!
ดาบยืนยาวถูกชักออกมาจากฝัก
ภายใต้แสงดวงตะวันอันเจิดจ้า ดาบยืนยาวได้ส่องประกายสีแดงจางๆ ออกมา ประกายแสงจากดาบทำให้ดาบเล่มนี้ดูพิเศษมากกว่าเดิม
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธที่มารวมตัวกันต่างก็จ้องไปที่ดาบยืนยาวตรงหน้า ทุกคนต่างก็หวาดกลัวในสิ่งที่ได้เห็น
“มันเป็นเขาจริงๆ ด้วย ดาบปีศาจยู่ฉางตง!”
“เขายังไม่ตายอย่างงั้นเหรอ?”