My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 461
ถ้าหากซูยู่ชูยังคงมีข้อสงสัยอยู่ ในตอนนี้ข้อสงสัยทุกอย่างก็คงถูกพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบปัดเป่าจนหายจางไปอย่างสมบูรณ์ อันที่จริงนางก็มั่นใจตั้งแต่นางได้ก้าวเท้าขึ้นรถม้าลอยฟ้าไปพร้อมกับลู่โจวแล้ว ทัศนคติของสำนักทั้ง 3 ต่างก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าเจ็ดสำนักใหญ่ได้บุกจู่โจมภูเขาทอง แม้ว่าจะยอมเชื่อแล้วแต่เมื่อนางได้เห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบนางก็ยังประหลาดใจอยู่ดี
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็จับจ้องไปที่พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ในก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ยังคงลังเลว่าพวกเขาควรจะแยกดอกบัวทองคำออกมาจากร่างอวตารหรือไม่ การแยกดอกบัวทองคำที่เร็วมันจะทำให้ผู้ฝึกยุทธคนนั้นนำหน้าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ แต่เมื่อพบกับความไม่แน่นอนและอันตรายที่ถึงกับชีวิตผู้ฝึกยุทธทั้งหลายจึงยังลังเลอยู่
“ถ้าหากกลีบดอกบัวสามารถผลิบานขึ้นมาอีกครั้งได้ ดอกบัวทองคำก็สามารถผลิบานได้อีกเช่นกัน!”
“นี่คือที่มาของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบสินะ!”
“ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าฝึกฝนตัวเองรวดเร็วขนาดนี้ได้ไง? ทุกๆ คนยังคิดลังเลที่จะแยกดอกบัวทองคำซะด้วยซ้ำ!”
ทุกๆ คนแทบจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ เป็นธรรมดาที่ผู้มีพลังมากกว่าจะได้เปรียบผู้ที่มีพลังน้อยกว่า
เวลา 10 วินาทีแห่งความเงียบงันได้ผ่านไปในชั่วพริบตา เวลาอันสั้นยังไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกอิ่มเอมกับพลังอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้ ทุกๆ คนรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเฝ้ามองงานประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรร่างพลังอวตารก็ได้หายจางไปแล้ว
ทันทีที่ร่างอวตารหายไป ลู่โจวก็ร่อนลงสู่พื้น ตัวเขาเหลือบมองหยุนเทียนลั่วผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นไม้
ความเหนื่อยล้าที่หยุนเทียนลั่วเคยมีดูเหมือนจะหายจางไป ตัวเขาดูมีพลังมากกว่าเดิม ดวงตาของหยุนเทียนลั่วเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวของเขาก็ยังมีรอยเลือดฝาดดี หลังจากที่ได้ดูพลังอวตารไปหยุนเทียนลั่วดูเหมือนจะมีอายุน้อยลงกว่า 10 ปี
หลังจากที่เงียบไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดลู่โจวก็ได้เอ่ยปากพูด “เจ้าคิดว่าไง?”
คำพูดของลู่โจวได้ทำให้ทุกคนกลับมารู้สึกตัว
หยุนเทียนลั่วตอบกลับ “มันช่างคุ้มค่า”
“เจ้าคิดแบบนั้นจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?”
“ถ้าหากข้าได้เห็นมันอีกครั้ง ข้าก็คงจะตายอย่างสงบได้แล้ว” หยุนเทียนลั่วพูดชมเชย
‘ตาแก่นี่ได้คืบจะเอาศอก! ฉันยอมลงทุนใช้การ์ดปลอมแปลงพลังไปก็เพื่อตาแก่นี้แท้ๆ ไม่มีแต้มบุญที่ไหนตกมาจากฟ้าฟรีๆ หรอกนะ!’ แม้ว่าลู่โจวจะคิดแบบนั้นแต่ตัวเขาก็ไม่ได้พูดออกไป ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับ “อย่าได้โลภไปหน่อยเลย”
หยุนเทียนลั่วถอนหายใจ ตัวเขายกมือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น “ยังไงก็เถอะข้าขอบคุณพี่จีจริงๆ”
“มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยจะได้ไหม? มันเกี่ยวกับวิธีที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้…” หยุนเทียนลั่วกำลังจะกลายเป็นฝุ่นธุลี ในตอนนี้ขาข้างหนึ่งของตัวเขาได้ก้าวเข้าสู่โลงศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาแค่ต้องการข้อมูลนี้ให้กับเหล่าสาวกที่เหลืออยู่เท่านั้น เพื่อเห็นกับเด็กรุ่นใหม่หยุนเทียนลั่วจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อที่จะถามคำถามนี้ไป ท้ายที่สุดแล้วถ้าหากหยุนเทียนลั่วไม่กล้าถาม ก็คงจะไม่มีใครกล้าที่จะถามถึงมันอีก
เมื่อได้ยินคำถามของหยุนเทียนลั่วเหล่าสาวกทุกคนก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา ที่ใบหน้าของพวกเขามีแต่ความตื่นเต้น ทั้งหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือก็เช่นกัน
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า “วิธีการแยกดอกบัวทองคำไม่ใช่เรื่องโกหก”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกๆ คนต่างก็เริ่มใช้ความคิด มันเป็นตามคาด วิธีการแยกดอกบัวทองคำเป็นของจริง อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะแยกดอกบัวทองคำแล้วเสียชีวิตก็ยังมีสูงจนเกินไป ด้วยเหตุนี้เองหลายคนจึงท้อแท้และไม่กล้าที่จะลอง แต่เมื่อมีผู้กล้าทดลองมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราการรอดชีวิตเองก็มีมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้การแยกดอกบัวทองคำออกมาการที่จะผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาใหม่อาจจะเป็นปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถผลิกลีบดอกบัวได้รึเปล่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ลู่โจวได้พูดยืนยันไปทำให้ทุกคนมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นดูเหมือนว่าลู่โจวจะได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลกแห่งการฝึกตน ใครกันที่จะยินดีแบ่งปันวิธีการฝึกฝนตัวเองจนสำเร็จให้กับคนอื่นๆ แบบนี้? คนธรรมดาทั่วไปคงจะไม่คิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบลู่โจวแน่
“หนานกงเหว่ย, เฟิงยี่จือ” หยุนเทียนลั่วได้เรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ
“ครับ!” ทั้งสองตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ทำไมพวกเจ้ายังไม่ขอบคุณผู้อาวุโสอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือก็ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เสียมารยาทไป ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะความตื่นเต้นที่พวกเขามี หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็คารวะให้กับลู่โจว “ขอขอบคุณผู้อาวุโสจี”
เหล่าสาวกเองที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้ตัว พวกเขารู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร ทุกๆ คนตั้งแถวก่อนที่จะกล่าวขอบคุณลู่โจว
“ขอขอบคุณผู้อาวุโสจี!”
คลื่นเสียงที่มาจากสาวกนับพันดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน มันเป็นการแสดงความเคารพต่อลู่โจวนั่นเอง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นหมิงซี่หยินก็รู้สึกภูมิใจมากยิ่งขึ้น
“ติ้ง! ได้รับการสรรเสริญจากผู้คน 3,500 คน และได้รับการสรรเสริญอย่างแรงกล้าอีก 1,500 คน ได้รับแต้มบุญ: 18,500 (การสรรเสริญโดยไม่เจตนาจะไม่ได้รับรางวัล) ”
‘หืม?’ ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินการแจ้งเตือนนี้ ตัวเขารู้สึกประหลาดใจในตอนแรก หลังจากนั้นตัวเขาก็เริ่มคำนวณทุกอย่างอย่างรวดเร็ว มีสาวกหลายคนในสามสำนัก แต่ถึงแบบนั้นผู้คนที่เข้าและออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระมีเพียง 5,000 คนเท่านั้น นั่นหมายความว่าสิ่งที่ลู่โจวทำให้ผู้คนสรรเสริญอย่างแรงกล้าได้ยังเป็นอะไรที่มีอัตราสำเร็จต่ำ แม้ว่านี่จะเป็นวิธีที่ดีที่จะใช้หาแต้มบุญ แต่มันก็ยังเสี่ยงที่แต้มบุญจะถูกหักถ้าหากไม่ระวังเรื่องวิธีการ ลู่โจวจะเดือดร้อนมากถ้าหากตัวเขาไม่ได้อะไรตอบแทน ลู่โจวที่ไม่มีแต้มบุญเลยรู้ซึ้งถึงความยากลำบากในการเอาชีวิตรอดดี
หยุนเทียนลั่วได้พูดต่อ “แล้วท่านวางแผนที่จะทำอะไรต่อล่ะพี่จี?”
“ฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่สิบ” ลู่โจวตอบกลับมาอย่างไม่แยแส
“…”
หยุนเทียนลั่วดูเหมือนจะจดจำอะไรบางอย่างได้ “พี่จี…เหตุผลที่ทำให้ท่านมาที่นี่มีแค่นี้เองอย่างงั้นเหรอ…”
“ข้ามีเหตุผลทั้งหมดอยู่ 2 ประการด้วยกันที่มานี่ที่ อย่างแรกข้าต้องการที่จะมาเยี่ยมเยียนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าจะจากไป ยังไงซะก็ไม่มีใครในโลกหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้ การจากไปของเจ้าจะหมายความว่าข้าจะต้องสูญเสียคนที่รู้จักไป”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
หยุนเทียนลั่วไม่ได้ดูเหมือนกับเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนัก ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เมื่อข้าได้ยินคำพูดของท่าน ข้าก็รู้สึกได้ว่าเวลาที่ข้าได้ใช้ไปในโลกใบนี้มันได้คุ้มค่าแล้ว”
หมิงซี่หยินทำท่าที่จะอาเจียนอีกครั้ง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ เมื่อเห็นลมหายใจที่เปลี่ยนแปลงไปของหยุนเทียนลั่วตัวเขาก็ไม่คิดที่จะอาเจียน
“ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเหตุผลที่สองกับข้า พี่จี…ข้า…ข้ารู้แล้ว ฮาฮ่า ในที่สุดนางก็ต้องเชื่อข้าพี่จี” หยุนเทียนลั่วจดจำอะไรบางอย่างในอดีตได้
“หืม?”
“300 ปีก่อนถ้าหากนางไม่ได้จากโลกยุทธภพไป ข้าก็คงไม่อาจพิชิตอุปสรรคทุกอย่างจนก่อตั้งสามสำนักได้ โลกใบนี้มักจะคิดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” หยุนเทียนลั่วส่ายหัวก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทุกๆ คนต่างก็ตกใจและสับสนเมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเทียนลั่ว ใครคือ ‘นาง’ ที่หยุนเทียนลั่วกล่าวถึง? ปรมาจารย์ของทุกคนได้ซ่อนอะไรเอาไว้? มีใครที่จะคอยช่วยเหลือทั้งสามสำนักจนมาถึงทุกวันนี้อย่างงั้นเหรอ?
นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ลู่โจวมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้
เมื่อย้อนกลับไป ในตอนนั้นความสามารถในการฝึกฝนตัวเองของหยุนเทียนลั่วยังคงไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทันใดนั้นเองความก้าวหน้าในการฝึกฝนของตัวเขาก็ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ตัวเขากับจีเทียนเด๋าต่างก็รู้จักกันมานาน แม้ว่าเส้นทางที่ทั้งสองคนเลือกเดินจะแตกต่างกัน แต่มันก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน โลกใบนี้อยากที่จะรู้มาโดยตลอดว่าทำไมพลังวรยุทธที่หยุนเทียนลั่วมีจึงพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด หยุนเทียนลั่วได้เคยว่าเอาไว้ว่าพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบไม่ใช่จุดจบ พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบและสิบกลีบเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนไปถึงได้ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครคิดเชื่อเขา ในตอนนั้นทุกๆ คนต่างก็มองสิ่งที่หยุนเทียนลั่วพูดเป็นเพียงเรื่องตลก
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะลูบเครา “ในตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าเจ้ากำลังพูดข่มข้าอยู่”
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง สุดท้ายแล้วพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด” หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมาอย่างพอใจ ตัวเขาได้คิดย้อนไปถึงสิ่งที่เคยทำมา หยุนเทียนลั่วไม่เคยรู้สึกผิดเลย เมื่อหยุนเทียนลั่วได้เห็นความจริงของโลกยุทธภพเดิมถูกทำลายลงตัวเขาก็คิดได้ว่าตัวเองใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่าแล้ว
ความคิดของหยุนเทียนลั่วในเมื่อ 300 ปีก่อนเป็นอะไรที่น่าเสียดาย ทุกๆ สิ่งเปลี่ยนแปลงไปผู้คนเองก็จากไป
“นางได้ทิ้งโลกยุทธภพเอาไว้เบื้องหลัง และเจ้าก็เลือกที่จะฝึกฝนตนต่อ พลังวรยุทธของเจ้าก็คงจะไม่พัฒนารวดเร็วแบบนี้ และในที่สุดเจ้าก็ได้เป็นเจ้าสำนักทั้งสาม ย้อนกลับไปในตอนนั้นไม่มีใครคิดเลยว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงแบบนี้” ลู่โจวพูด
“ถูกต้อง” หยุนเทียนลั่วพยักหน้าเห็นด้วย
“แม่นางคนนั้นชื่ออะไร?” ลู่โจวเอ่ยถาม
หยุนเทียนลั่วดูสำนึกผิด ตัวเขาได้ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “คนอย่างนางไม่ยอมที่จะถูกใครติดตามแน่ ข้าไม่รู้จักชื่อของนาง บางทีป่านนี้นางคงฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่สิบในที่อันสันโดษแล้วก็ได้”
“ขั้นที่สิบ?”
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ตื่นตกใจ
พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเป็นพลังที่เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตกใจ ใครจะไปคิดว่ายังมีพลังที่อยู่เหนือกว่านั้น หรือว่าปรมาจารย์ของพวกเขาจะพูดเรื่องไร้สาระทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่จะจากไปกัน?
“มันคือสิ่งที่นางเคยพูดเอาไว้ ข้าไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วนางจะเป็นแบบนั้นรึเปล่า…บางทีมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้…” หยุนเทียนลั่วที่พูดจบได้ไออิดออด
“นางมีลักษณะเป็นอย่างไรล่ะ?”
“นางยังเด็ก…” หยุนเทียนลั่วตอบกลับมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในตอนนั้นเองซูยู่ชูที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่โจวก็ได้ส่ายหัว “ข้าเกรงว่าแม่นางคนนั้นจะต้องแก่จนหนังเหี่ยวแบบข้าไปแล้วล่ะ”
หยุนเทียนลั่วเหลือบมองไปที่ซูยู่ชู ตัวเขาหัวเราะออกมาแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร
หมิงซี่หยินพูดต่อ “ไม่ว่านางจะมีอายุเท่าไหร่แต่นางก็เป็นผู้ที่ช่วยผู้อาวุโสหยุนให้ตั้งตัวขึ้นมาได้ ข้าไม่สงสัยเลยที่แม่นางคนนั้นจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดา”
มันคือความจริงที่ซูยู่ชูไม่อาจปฏิเสธ นางรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเสมอที่ได้เป็นอัจฉริยะ ตั้งแต่ที่ฝึกฝนตัวเองตามเส้นทางของลัทธิขงจื๊อ ชาวขงจื๊อก็เรียกนางว่าเป็นอัจฉริยะแห่งโลกยุทธภพ อัจฉริยะที่จะปรากฏตัวขึ้นมาในทุกๆ หลายร้อยปี แต่น่าเสียดายที่นางเป็นผู้หญิง ถ้าหากนางได้รับอนุญาตให้ไต่เต้าขึ้นไปบนจุดสูงสุดของลัทธิขงจื๊อได้ บางทีนางอาจจะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไปแล้วก็ได้ หรือบางทีนางอาจจะต้องตายเพราะความพยายาม
ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องราวในอดีต มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกมากมายในชีวิต ไม่ว่าทุกคนจะเลือกทางไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้ ความเสียใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไร
ในเวลานี้ทุกคนกำลังสงสัยว่าใครกันที่ช่วยเหลือหยุนเทียนลั่วเอาไว้ ทำให้หยุนเทียนลั่วกลับมาลุกขึ้นสู้และขีดเขียนชะตาขึ้นมาใหม่ หญิงสาวคนนั้นคือใครกันแน่?
หยุนเทียนลั่วในตอนนี้แก่ชรา จิตใจของเขาก็ไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนกับเมื่อก่อน การที่ตัวเขาจะจดจำเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาเป็นอะไรที่ยากจนเกินไป เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำยังคงติดอยู่ในใจของตัวเขา จิตใจของหยุนเทียนลั่วดูกว้างใหญ่ราวกับผืนสมุทร ในขณะที่ภาพความทรงจำต่างๆ เป็นดังปลาตัวเล็กๆ ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในนั้น การที่จะเลือกจับปลาเฉพาะตัวที่อยู่ในนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ว่าจะพยายามจับปลามากแค่ไหนแต่หยุนเทียนลั่วก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในตอนนี้สติของเขากำลังจะหลุดลอยไป
“ท่านปรมาจารย์!”
เมื่อหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือเห็นหยุนเทียนลั่วดูนิ่งไป ทั้งสองคนก็ได้ร้องเรียกหยุนเทียนลั่วอย่างพร้อมเพรียงกัน
หนานกงเหว่ยรีบลุกขึ้นยืน ตัวเขาได้ซัดฝ่ามือเข้าใส่ตัวของหยุนเทียนลั่วก่อนที่จะถ่ายทอดพลังลมปราณ พลังลมปราณอันเข้มข้นได้พุ่งเข้าหาร่างกายของหยุนเทียนลั่วอย่างต่อเนื่อง
ความพยายามของหนานกงเหว่ยดูเหมือนจะได้ผล
หยุนเทียนลั่วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองก็มีความคิดหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในหัว “ข้ารู้แล้ว นางแซ่หลัว”
“หลัว?”
หลัว…อะไรกัน?
ทุกๆ คนต่างก็สับสน ในตอนนี้ทุกคนกำลังคิดถึงยอดฝีมือผู้ที่ถูกเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ว่ามีใครแซ่หลัวหรือไม่?
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกไปถึงเรื่องที่สีวู่หยาพูด ถ้าหากท้องฟ้าและผืนดินได้สร้างกรงกักขังเอาไว้และดอกบัวทองคำก็เป็นได้ดั่งกุญแจมือ แล้วใครกันล่ะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่คิดริเริ่มที่จะสร้างกรงขึ้นมา? ลู่โจวตกใจที่อยู่ๆ ตัวเขาก็คิดถึงเรื่องนี้ ลู่โจวรีบส่ายหัวปฏิเสธ มันเป็นไปไม่ได้ ยังไงซะมนุษย์ก็คือมนุษย์ ใครจะไปสามารถเปลี่ยนแปลงท้องฟ้าและผืนดินให้กลายเป็นกรงได้? แล้วคำตอบของหยุนเทียนลั่วคือใครกัน?
“แล้วชื่อของนางล่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง บางทีตัวเขาอาจจะได้พบกับแม่นางคนนี้ในเร็ววันก็ได้
“ข้า…ข้าจำไม่ได้…”
สาวกหลักต่างก็มารวมตัวกัน เสียงสะอื้นของทุกคนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋าได้แต่ส่ายหัว
ฮั๊ววู่เด๋าคารวะไปที่ลู่โจว
ลู่โจวรู้ความหมายของการคารวะนี้ดี ตัวเขาโบกแขนเสื้อเบาๆ เพื่อเป็นการอนุญาต
เช่นเดียวกับทุกคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ฮั๊ววู่เด๋าได้คุกเข่าลง ตัวเขาเองก็เคยอยู่ในสำนักมาก่อน
“พี่จี…ท่านคิดว่า…พวกเราจะได้พบกันอีกหลังความตายไหม?” หยุนเทียนลั่วยกมือขึ้นมาราวกับจะเอื้อมมือไปจับอะไรบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาไขว่คว้าได้เพียงแค่อากาศ หยุนเทียนลั่วเคลื่อนไหวช้าลง ช้าลงก่อนที่จะตัวแข็งทื่อและหยุดเคลื่อนไหว แสงสว่างภายในดวงตาของเขาเริ่มหายจางไป มันเริ่มกลายเป็นดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวา
“ท่านปรมาจารย์!” เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกได้ดังก้องไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์
สาวกกว่าหลายพันคนของสามสำนักต่างก็บินเข้ามาใกล้ม่านพลัง
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคนธรรมดาหรืออัจฉริยะยังไงซะชีวิตก็ต้องดำเนินไปตามวิถีของมัน
ลู่โจวได้ยกมือขึ้น ในตอนนั้นเองพลังลมปราณของตัวเขาก็ได้ทำให้ตัวของหยุนเทียนลั่วเริ่มลอยขึ้น
เฟิงยี่จือที่เห็นแบบนั้นรู้สึกเจ็บปวด ตัวเขาตกใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น แต่ไม่ทันที่จะได้ลุกขึ้นหนานกงเหว่ยก็ได้กดไหล่ของตัวเขาเอาไว้ก่อน
เหล่าสาวกคนอื่นๆ ต่างก็เงยหน้ามอง
ลู่โจวลอยขึ้นไปบนอากาศ ตัวเขาได้พาหยุนเทียนลั่วขึ้นไปบนอากาศด้วย
เพื่อที่จะได้มาซึ่งพลังแห่งการคงอยู่ การคงอยู่ที่จะทำให้การเดินทางไม่สิ้นสุด การเดินทางที่แฝงไปด้วยความดี
ดอกบัวสีฟ้าจางๆ เริ่มปรากฏขึ้นมาจากฝ่ามือของลู่โจว
พลังอันทรงพลังได้ล้อมรอบร่างกายของหยุนเทียนลั่วเอาไว้ราวกับคลื่นยักษ์
ดอกบัวฟ้าเบ่งบาน!
“ช่างเป็นพลังอะไรที่วิเศษขนาดนี้!”
“พลังเยียวยาอย่างงั้นเหรอ?”
“นี่มันคือวิชาแห่งการเยียวยาแบบไหนกัน?”
หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็ตกตะลึงในภาพที่เห็น พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าลู่โจวพยายามที่จะช่วยผู้เป็นปรมาจารย์ของพวกเขาอยู่
สาวกนับพันจ้องไปที่ดอกบัวสีฟ้าที่กำลังบานสะพรั่ง มันได้แผ่ขยายออกจากใจกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พืชที่เคยเหี่ยวเฉาบนผืนดินกลับมาเบ่งบานขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงคลื่นพลังที่เพิ่มมากขึ้นของดอกบัวที่เบ่งบาน ทุกคนคิดว่าพลังของผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกำลังปกคลุมร่างกายของหยุนเทียนลั่วเอาไว้
จนถึงตอนนี้ดอกบัวสีฟ้าได้บานสะพรั่งแล้ว…
หลังจากที่ดอกบัวได้เบ่งบานทุกอย่างก็เริ่มหยุดเคลื่อนไหว เมื่อแสงสีฟ้าจางหายไป ก็ไม่มีใครได้เห็นร่างกายของหยุนเทียนลั่วอีก สิ่งที่ทุกคนเห็นมีเพียงแสงประกายสว่างไสวที่ส่องลงบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ลู่โจวขมวดคิ้ว ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าก่อนที่จะถอนหายใจ ‘มันไม่ง่ายเลยที่จะดึงคนตายกลับมา’ ถ้าหากจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือลู่โจวทำไม่สำเร็จ
แม้แต่พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์กว่าครึ่งก็ยังไม่อาจดึงคนตายกลับมาได้ มันคือสิ่งที่ชีวิตควรจะเป็น
ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก ตัวเขาได้ทำมันลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าหากลู่โจวสามารถช่วยหยุนเทียนลั่วสำเร็จ หยุนเทียนลั่วก็จะมีชีวิตยืนยาวขึ้นเพียงไม่กี่ปี แต่น่าเสียดายสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเอาชนะสวรรค์ได้
ม่านพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงดังก้องกังวาน
เหล่าสาวกทุกคนต่างก็คารวะลงกับพื้น
คนตายควรที่จะได้รับความเคารพ
แม้แต่หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋อที่มีนิสัยขี้เล่นเองก็ยังไม่กล้าทำอะไร
เมื่อลู่โจวได้ลอยลงมาหนานกงเหว่ยที่กำลังต่อสู้กับความเศร้าโศกก็ได้ร้องตะโกนขึ้น “ได้โปรดนำทางพวกเราทั้งสามสำนักด้วยผู้อาวุโสจี!”
“โปรดนำทางสามสำนักด้วยผู้อาวุโสจี!”