My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 462
ก่อนหน้านี้ความขัดแย้งระหว่างสามสำนักหยุน, เทียน และลั่วเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในช่วงเวลา 100 ปีที่ปรมาจารย์หยุนเทียนลั่วเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษ ความบาดหมางระหว่างทั้งสามสำนักจึงไม่อาจที่จะควบคุมได้อีก สำนักหยุนได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นที่ก่อเรื่องในครั้งนี้ขึ้น
แม้ว่าทั้งสามสำนักจะมีรากฐานและต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีใครสามารถอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ โดยเฉพาะในตอนที่มีผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบถือกำเนิดขึ้น
ทุกๆ คนที่เผชิญหน้ากับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหนอนแมลง
หยุนวู่จี เจ้าสำนักหยุนได้ตายจากไปแล้ว สาวกที่เหลือของสำนักหยุนไม่มีผู้นำอีกต่อไป เพราะแบบนั้นเองความโกลาหลจะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าหากปรมาจารย์หยุนเทียนลั่วยังคงอยู่ เรื่องต่างๆ ก็อาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมได้ แต่ในตอนนี้ปรมาจารย์หยุนเทียนลั่วได้จากไปแล้ว แล้วใครกันล่ะจะควบคุมทุกคน?
หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีใครจะสามารถพูดได้ว่าพวกเขาไร้ซึ่งอคติ ดังนั้นทางออกที่เหมาะสมที่สุดก็คือการให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าดูแลเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้วปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธคนแรกผู้ที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ ด้วยการสนับสนุนของยอดฝีมือ สามสำนักก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีก
หนานกงเหว่ยเป็นผู้ตระหนักได้ถึงปัญหายิ่งกว่าใครๆ ลู่โจวได้พิสูจน์แล้วว่าตัวเขาฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้ ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่ลู่โจวได้ฝึกฝนมันอันตรายหรือยากลำบากเพียงใด แต่ถ้าหากมีผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบคอยนำทางทุกคน การที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะต้องเป็นเรื่องที่ราบรื่นขึ้นมากแน่
เจ้าสำนักทั้งสองและสาวกของสำนักทั้งสามต่างก็เหลือบมองไปที่ลู่โจวอย่างคาดหวัง
ลู่โจวเหลือบมองม่านพลังทั้งสิบ, เหล่าสาวกที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหรือแม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัว “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าไม่ใช่นักบุญ”
“…” หนานกงเหว่ยผิดหวัง “แต่ท่านปรมาจารย์…”
“เจ้ายังจะกล้าพูดถึงหยุนเทียนลั่วอีกเหรอ?” ลู่โจวเหลือบมองพวกเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้หนานกงเหว่ยพูดจนจบ ถ้าหากทั้งหนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือสนใจไยดีเรื่องของหยุนเทียนลั่วให้มากกว่านี้ หยุนวู่จีเจ้าสำนักหยุนก็คงจะไม่สามารถทำร้ายอะไรหยุนเทียนลั่วได้ ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็คือผลจากการกระทำของทั้งสามสำนักเอง
ลู่โจวได้หันกลับมาก่อนที่จะเดินตรงไปยังรถม้าล่องเมฆา
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และเล้งลั่วรีบเดินตาม
เมื่อฮั๊ววู่เด๋าได้เห็นแบบนั้น ตัวเขาก็ได้โค้งคำนับให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามครั้งก่อนที่จะจากดินแดนแห่งนี้ไป
“ผู้อาวุโสฮั๊ว เจ้าช่วยพูดอะไรเพื่อพวกเราต่อหน้าผู้อาวุโสจีจะได้ไหม?” หนานกงเหว่ยอ้อนวอน
สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้ยังคงไม่แยแส ตัวเขายังคงรู้สึกเสียใจกับการจากไปของหยุนเทียนลั่ว ฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะทำตามคำขอนี้ ตัวเขาส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้าจะต้องรับผลการกระทำด้วยตัวเจ้าเอง” หลังจากที่พูดจบฮั๊ววู่เด๋าก็ได้จากไป ตัวเขาไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์กับสามสำนักอีก
ซูยู่ชูได้แต่ส่ายหัว นางหันหลังก่อนที่จะเดินจากไปเช่นกัน
เมื่อเห็นแบบนั้นผู้อาวุโสแห่งสำนักลั่ว ลู่ปิงก็ได้รีบตามไป “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส…ให้ข้า…ให้ข้าได้ควบคุมรถม้าเอง!”
เมื่อชานหยุนเจิงเห็นพฤติกรรมของลู่ปิง นางก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างเอือมระอา ในตอนที่นางกำลังจะตำหนิลู่ปิง ในตอนนั้นเฟิงยี่จือก็ได้พูดออกมาซะก่อน “หุบปากของเจ้าซะ”
สายตาของเฟิงยี่จือเริ่มเปลี่ยนไป ชานหยุนเจิงที่เห็นแบบนั้นตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก เฟิงยี่จือเป็นเจ้าสำนักลั่ว เป็นธรรมดาที่ผู้อาวุโสแห่งสำนักลั่วจะต้องเกรงกลัวต่อผู้เป็นเจ้าสำนัก
ทุกๆ คนได้แต่เฝ้ามองชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าหายไปในอากาศ มันได้ผ่านม่านพลังทั้งหลายก่อนที่จะหายไปในกลีบเมฆ
หลังจากที่เห็นรถม้าหายไปเฟิงยี่จือก็ได้หันมามองชานหยุนเจิงก่อนที่จะถามออกมา “ชานหยุนเจิง เจ้าเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
“หะ?”
“ถ้าหากลู่ปิงต้องการประจบศาลาปีศาจลอยฟ้า ก็ปล่อยเจ้านั่นไปซะเถอะ เจ้าจะทำยังไงล่ะถ้าหากผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจู่โจมพวกเรา?”
“แต่…แต่ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังดูถูกพวกเรา!” ชานหยุนเจิงตอบโต้กลับมาในทันที
“ถ้าหากพวกเขาจะทำแบบนั้น มันก็สิทธิ์ของพวกเขา” เฟิงยี่จือตอบกลับ
หนานกงเหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก อย่าได้สำคัญตัวเองสูงจนเกินไปเลย”
“ค่ะ ท่านเจ้าสำนัก”
“ฟังคำสั่งข้า แจ้งให้เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนัก บอกพวกเขาว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าได้มาเยี่ยมชมที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นการส่วนตัว พวกเขาได้สั่งสอนและชี้แนะการฝึกฝนให้กับพวกเรา”
เหล่าสาวกที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง สาวกคนหนึ่งเงยหน้าก่อนที่จะถามเพื่อความแน่ใจ “แค่นั้นเหรอครับ?”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” เฟิงยี่จือพยักหน้าให้
หนานกงเหว่ยและเฟิงยี่จือต่างก็สบตากันก่อนที่จะยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสทั้งหมดที่อยู่ใกล้ต่างก็เข้าใจความตั้งใจของทั้งสองคนดี
สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือการส่งข้อความนี้ให้กับคนภายนอกได้รู้ เจ้าสำนักทั้งสองอยากที่จะให้ทุกคนได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างศาลาปีศาจลอยฟ้าและสามสำนักเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการของคนนอกแล้ว ด้วยข่าวที่เผยแพร่ออกไปจะมีใครกล้าดูถูกสามสำนักอีกกัน?
…
บนรถม้าล่องเมฆา
ลู่ปิงได้ควบคุมรถม้าให้ผ่านม่านพลังชั้นสุดท้ายไปได้ ตัวเขาควบคุมรถม้าด้วยความคุ้นเคย รถม้าล่องเมฆาที่ถูกลู่ปิงควบคุมบินไปอย่างราบรื่นและมั่นคง
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดยกย่องขึ้น “ไม่เลวเลยจริงๆ เจ้าสนใจที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม?”
เมื่อลู่ปิงได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ได้ถามออกมาอย่างตื่นเต้น “จะ…จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ขะ…ข้าจะอยู่ที่นั่นได้จริงๆ สินะ?”
ในตอนนี้จะมีใครที่ไม่อยากเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า?
“ไม่ ข้าก็แค่ล้อเล่น” หมิงซี่หยินตอบกลับมาอย่างไร้ปรานี
“…”
ถ้าหากเป็นเรื่องในอดีต หมิงซี่หยินก็คงจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลู่โจวยอมรับลู่ปิง แต่ในตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ต่างออกไปแล้ว ศาลาปีศาจลอยฟ้าควรที่จะรับเฉพาะยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
ซูยู่ชูที่ได้เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว ‘ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่สนใจที่จะรับผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเหรอ?’ เมื่อคิดได้แบบนั้นนางก็ได้หันไปหาลู่โจว ลู่โจวในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่
ลู่โจวมองไปที่ทะเลหมอกและทิวเขา แม้ว่าจะมองวิวทิวทัศน์อยู่แต่ใจของเขากลับไม่ได้สนใจภาพที่เห็นเลย “หลัว…”
‘ชื่อของนางคืออะไรกันแน่? แล้วนางเป็นใครกัน? นางจะกุมความลับอะไรเอาไว้?’ ถ้าหากหญิงสาวที่หยุนเทียนลั่วพูดถึงเป็นคนที่ทำให้หยุนเทียนลั่วฝึกฝนตัวเองอย่างรุดหน้าในเวลาอันสั้นได้ นางก็ควรจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมื่อ 300 ปีก่อน แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับนางเลย หยุนเทียนลั่ว, เล้งลั่ว หรือแม้แต่ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน
เมื่อซูยู่ชูได้ยินคำว่า ‘หลัว’ นางก็ได้ถามออกมา “ท่านกำลังคิดถึงแม่นางลึกลับคนนั้นอยู่สินะพี่จี?”
“แม่นางคนนั้นเป็นผู้ที่กุมความลับของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ และบางทีนางอาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบด้วยก็ได้…เจ้าเองไม่คิดที่จะสนใจอย่างงั้นเหรอ?”
“น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้ยินแม่นางชื่อนั้นมาก่อน” ซูยู่ชูตอบกลับ
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ถามออกมา “มันไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปหน่อยเหรอที่ยอดฝีมือจะเก็บซ่อนตัวจากโลกใบนี้ได้น่ะ?”
“ถ้าหากหยุนเทียนลั่วพูดความจริง แม่นางคนนี้จะต้องมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย” เล้งลั่วพูดเสริม
“ข้าเห็นด้วย…เพียงแค่วิธีการฝึกตนที่ได้จากนางก็ยังทำให้หยุนเทียนลั่วที่เป็นคนธรรมดาสามารถกลายเป็นเจ้าสำนักทั้งสาม ถ้าหากเทียบกับอาจารย์ของข้านางดูเหมือนจะ….” หมิงซี่หยินได้หยุดพูดไปซะก่อน ตัวเขาเกือบที่จะพูดว่าหญิงสาวลึกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ของตน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ของตัวเขาต้องสั่งสอนศิษย์ทั้งเก้าคน ในขณะที่หญิงสาวลึกลับคนนั้นสั่งสอนคนเพียงคนเดียว หมิงซี่หยินก็เลยไม่อยากเปรียบเทียบทั้งสองคนอีก
จู่ๆ ซูยู่ชูก็ได้หันกลับมาก่อนที่จะวางไม้เท้าของนางลงบนพื้น นางได้คุกเข่าลงก่อนที่จะคารวะไปทางลู่โจว “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะบุกรุกศาลาปีศาจลอยฟ้าในก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ล่วงเกินพี่จีไป ข้ายินดีที่จะรับผิดทุกอย่าง” ซูยู่ชูได้เรียกลู่โจวอย่างนอบน้อมให้ได้มากที่สุด ดูเหมือนว่านางจะมีไหวพริบอยู่บ้างแม้ว่าจะไม่เต็มใจที่จะพูดนิดหน่อยก็ตามที
ลู่โจวมองไปที่ซูยู่ชูก่อนที่จะตอบกลับไป “อดีตยังไงก็เป็นเพียงอดีต ข้าไม่ถือสาหรอก”
ซูยู่ชูดีใจมากที่ได้ยินแบบนั้น นางที่กำลังจะพูดขอบคุณแต่ก็มีเสียงของลู่โจวดังขึ้นมาซะก่อน “แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง…”
“ข้ายินดีทำทุกอย่างพี่จี ท่านพูดมาเถอะ”
“ฟังข้าให้ดี” สีหน้าของลู่โจวดูเปลี่ยนไป สีหน้าของตัวเขาดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ตัวเขาไม่ได้ดูเข้มงวดและดุดันเหมือนกับเมื่อก่อน “เงื่อนไขของข้านั้นแสนจะเรียบง่าย เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าและยอมรับใช้ข้าซะ…อย่าเพิ่งตัดสินใจไป คิดทบทวนมันให้ดี เมื่อเจ้าได้คำตอบแล้วเจ้าค่อยบอกข้า…”
ซูยู่ชูตกตะลึง
ทุกๆ คนต่างก็จ้องมองไปที่ซูยู่ชูอย่างพร้อมเพรียงกัน
หยวนเอ๋อเองก็เงยหน้าขึ้น นางรู้สึกคุ้นเคยกับกลยุทธ์แบบนี้ดี “ท่านอาจารย์ ให้ข้านับถอยหลังรอคำตอบจากสิบเลยไหม?”
“…” ลู่โจวไม่ได้ตอบโต้อะไร ตัวเขายังเฝ้ามองซูยู่ชูอยู่ มันเป็นการแสดงออกว่าตัวเขากำลังเฝ้ารอคำตอบอยู่นั่นเอง แม้ว่าลู่โจวจะบอกว่าไม่ได้เร่งรีบและให้ตัดสินใจ แต่ถึงแบบนั้นซูยู่ชูก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นนอกซะจากต้องยอมรับเงื่อนไข
ลู่ปิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างดี ลู่ปิงรู้สึกอิจฉาจนแทบที่จะร้องไห้ออกมา แม้ว่าจะคิดอิจฉาแต่ตัวเขาก็ไม่อาจตำหนิศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ไม่ยอมรับตัวเขาได้ ลู่ปิงจะไปเทียบกับซูยู่ชูได้ยังไงกัน?
หลังจากที่ซูยู่ชูใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง นางก็ได้ตอบกลับมา “ข้ายอมรับ”
“ติ้ง! ได้รับสาวกคนใหม่ ได้รับแต้มบุญ: 1,000”
ลู่โจวคิดเอาไว้แล้วว่าจะได้รับการแจ้งเตือน ตัวเขาได้แต่สงสัยว่าตัวเองควรจะเปิดรับสาวกจำนวนมากให้มาอยู่บนภูเขาทองดีไหม การเปิดรับสาวกจะทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญ และภูเขาทองเองก็ยังมีขนาดกว้างขวาง แต่ถึงแบบนั้นกลับมีผู้อยู่อาศัยอยู่เพียงหยิบมือ เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราก็คงจะไม่อาจจัดการเรื่องทุกอย่างบนภูเขาได้ แต่ถึงแบบนั้นการเปิดรับสาวกโดยที่ไม่คัดเลือกให้ดีอาจจะทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญที่ไม่คุ้มค่า นอกจากนี้เรื่องอาหารที่จะเลี้ยงผู้คนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ลู่โจวไม่อาจที่จะเปลี่ยนศาลาปีศาจลอยฟ้าให้กลายเป็นบ้านการกุศลที่เลี้ยงดูคนทุกคนไปตลอดเพียงเพื่อแต้มบุญได้
หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้ตอบกลับ “ลุกขึ้นยืนซะเถอะ”
ซูยู่ชูยืนขึ้น
เล้งลั่วเองก็ยกมือคารวะเพื่อเป็นการทักทาย
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็เช่นกัน “ผู้อาวุโสซู ยินดีด้วย”
ลู่โจวได้พูดต่อ “เจ้าเก็บตัวเองอยู่ในหุบเขามานานหลายปีแล้ว เจ้าคงจะไม่รู้เรื่องทางโลกเลยสินะ เจ้าคงจะมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ เหตุใดกันเจ้าถึงเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษแบบนั้นกัน?”
ซูยู่ชูเคยเป็นบุคคลในตำนานเมื่อนานมาแล้ว
ซูยู่ชูส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “เรื่องในอดีตไม่ได้สำคัญอีกต่อไป”
“ในตอนนี้เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ข้ามีบางอย่างที่จะต้องพูดกับเจ้า”
“พี่จี เชิญพูด”
“ข้าไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับเหล่าราชวงศ์ผู้ปกครองดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มียอดฝีมือจากลัทธิขงจื๊ออยู่หลายคนอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ หลายคนต่างก็มีตำแหน่งและอำนาจในการปกครอง ถ้าหากเวลานั้นมาถึง เวลาที่พวกเราจะต้องต่อสู้กันจริงๆ …คงจะดีกว่าถ้าหากเจ้าเตรียมใจเอาไว้” ลู่โจวพูดออกมาโดยที่ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
ซูยู่ชูตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่ลู่โจวพูด เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ทรงความรู้และยอดฝีมือจากลัทธิขงจื๊อต่างก็เป็นขุนนางด้วยกันทั้งนั้น ขุนนางทั้งหมดมีตระกูลของเหล่าราชวงศ์เป็นผู้ควบคุมมาโดยตลอด ทั้งความรู้และกำลังคนของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีทุกอย่างมากกว่าแน่ แล้วศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไปสู้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน? ซูยู่ชูรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก นางถูกหลอกให้มาเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อการต่อสู้นี้ แต่ไม่ว่าจะเสียเปรียบแค่ไหนแต่สถานการณ์ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในตอนนี้ฝั่งของศาลาปีศาจลอยฟ้ามียอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ด้วย
…
ในขณะเดียวกันทาศาลาปีศาจลอยฟ้า
ยู่ฉางตงในตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของถ้ำแห่งเงาสะท้อน
ที่ตรงนั้นมีผู้ฝึกยุทธหญิงมากมายหลายคนอยู่ใกล้ๆ
ฝานซงและโจวจี้เฟิงเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน พวกเขากำลังเฝ้ามองยู่ฉางตงด้วยความรู้สึกชื่นชม
การกลับมาของดาบปีศาจทำให้พวกเขาตื่นเต้น ดาบปีศาจ นามที่ฝากฝังความกลัวให้กับผู้คนที่ได้ยินบัดนี้ได้กลับมาแล้ว!
“มีข่าวลือมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจจะตายไปแล้ว ศิษย์พี่รอง” เสียงของสีวู่หยาได้ดังมาจากในถ้ำ
ยู่ฉางตงยิ้มจางๆ “นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย”
“ศิษย์พี่ ท่านรู้ไหมว่าท่านอาจารย์ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นที่เก้าแล้ว?” สีวู่หยาได้ถามออกมา
“ข้ารู้” คำตอบของตัวเขาดูสงบและเยือกเย็น
“ท่านไม่กังวลอย่างงั้นเหรอ?”
“กังวล?” ยู่ฉางตงมองไปที่สีวู่หยาด้วยหางตา “คนที่ควรกังวลคือศัตรูของพวกเรามากกว่า”
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก “ข้าเป็นห่วงศิษย์พี่ใหญ่”
ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่ทำตัวเอง”
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
“ศิษย์น้องเจ็ด ข้าน่ะมักจะคำนึงถึงเจ้าเสมอ ถ้าหากข้าไม่ได้คำนึงถึงเจ้า ข้าก็คงจะสู้อย่างสุดกำลังกับศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้ว”
สีวู่หยาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ตัวเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมศิษย์พี่ทั้งสองถึงต้องทำตัวเป็นศัตรูเช่นนี้ จากสิ่งที่สีวู่หยาได้รู้มา ทั้งคู่ไม่ควรที่จะมีความแค้นขนาดนี้ ทั้งสองคนคงจะมีความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มากกว่า ไม่ว่าจะยังไงทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก มันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าหากปล่อยให้อดีตผ่านพ้นไป? แม้ว่าจะคิดแบบนั้นแต่สีวู่หยาก็ไม่เลือกที่จะพูด “ท่านพูดถูกแล้วล่ะศิษย์พี่รอง”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้วล่ะ” ยู่ฉางตงพูดต่อ “ข้ารู้แล้วล่ะว่าจะทำอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่”
“…”
เมื่อสีวู่หยาสัมผัสได้ว่ายู่ฉางตงกำลังจะจากไป ตัวเขาก็รีบตะโกนขึ้นมา “ศิษย์พี่รอง!”
ยู่ฉางตงหยุดเดิน
สีวู่หยารีบพูดต่อ “ท่านอาจารย์ได้บันทึกส่วนตัวของข้าไปแล้ว ถ้าหากท่านมีโอกาสข้าก็อยากที่จะให้ท่านได้อ่านมัน”
“อืม” คำตอบของยู่ฉางตงตรงไปตรงมาและเรียบง่าย เมื่อได้ตอบรับเสร็จตัวเขาก็เดินไปยังศาลาทางใต้
จ้าวยู่ปรากฏตัวขึ้นมา ท่าทีของนางดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจ้าวยู่มองเห็นยู่ฉางตงนางก็รีบเดินมาหาในทันที “ศิษย์พี่รอง!”
“ทำไมเจ้าถึงได้ดูกังวลแบบนี้?”
“มีเรื่องฉุกเฉิน!” จ้าวยู่รีบยกจดหมายที่อยู่ในมือขึ้นมา
“ไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นตระหนกไป แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่ แต่ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
ยู่ฉางตงรีบรับจดหมายที่อยู่ในมือของจ้าวยู่มา “ผู้อาวุโส ข้ามีข่าวดีที่จะมอบให้ท่าน โลกยุทธภพบัดนี้เข้าสู่ยุดแห่งการแยกดอกบัวทองคำ สถานศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่และสำนักแก่นแท้แห่งหยางได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างยาช่วยชีวิตและยาแห่งการเบ่งบานขึ้นมา ยาช่วยชีวิตเป็นยาที่จะทำให้ผู้ที่กินสามารถแบกดอกบัวทองคำออกจากร่างอวตารของตัวเองโดยที่ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสได้ ในขณะที่ยาแห่งการเบ่งบานจะช่วยรับประกันว่าผู้ฝึกยุทธที่แยกดอกบัวทองคำจะสามารถผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาอีกครั้ง ข้ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี่!”