My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 469
ตอนที่ 469 ข้ายังอ่อนแอไปสินะ
คาร์รันในตอนนี้เกือบที่จะตายเต็มที เมื่อตัวเขาถูกเตะ อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมดก็ถูกทําลายไปโดยสมบูรณ์ เมื่อครู่ก่อนตัวเขายังสามารถที่จะช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ ในตอนนี้ความหวังทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้า….เจ้าเป็นใครกันแน่! คนแบบไหนกันที่จะเหยียบซ้ำเติมคนล้มแบบข้า!”
ชายที่แต่งตัวประหลาดเกาหัว ในตอนนั้นเองตัวเขาก็นึกถึงภาพของยู่ฉางตงในก่อนหน้านี้ ชายผู้แต่งตัวประหลาดได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันนิ่งเงียบ “ข้าต้องขอโทษด้วย”
“ ห้ะ?”
“ข้า ยู่ฉางตง”
“ … ” คาร์รันที่เห็นแบบนั้นจิตใจว่างเปล่า หรือว่านี่จะเป็นภาพหลอนหลังจากที่ถูก ดาบเข้าโจมตีกันแน่? คนที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้คือ ยู่ฉางตง ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงแล้วจะมียู่ ฉางตงอีกคนได้ยังไงกัน? คาร์รันไออย่างรุนแรงก่อนที่จะใช้ความคิด “หรือว่านี่คือภาพลวงตา ใช่แล้ว มันคือภาพลวงตาแน่ ๆ”
คาร์รันหลับตาก่อนที่จะพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาขยี้ตาก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง “ดาบ…ดาบปีศาจอย่างงั้นเหรอ?”
ชายที่แต่งตัวประหลาดพยักหน้าตอบรับเบาๆ “นั่นมันก็แค่ฉายา มันไม่ได้สําคัญที่จะพูดถึงสักนิด”
“แน่จริงเจ้าก็ต่อสู้กับข้าอย่างยุติธรรมสิ” คาร์รันพูดด้วยความโกรธแค้น
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาสในตอนที่คู่ต่อสู้กําลังออนแอเช่นนี้” ชาย แปลกหน้ายกมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองอาวุธคล้ายเคียวก็ปรากฏขึ้น
“เจ้าไร้ยางอาย…อ้ากก!”
เคียวพื้นพิภพได้เฉือนไปที่คอของคาร์รันโดยตรง หลังจากนั้นเองคลื่นพลังฝ่ามือจํานวนหนึ่งก็ได้ชัดเข้าใส่หน้าอกของคาร์รัน
ครู่ต่อมาหมิงซี่หยินก็ได้ยกมือขึ้น ตัวเขาที่จัดการคาร์รันได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับชนเผ่าอื่นเลย โชคดีจริงๆ ที่ข้าตามท่านมา” หมิงซี่หยินเหยียดแขนก่อนที่จะจ้องมองดูดวงอาทิตย์ “โชคยังดีที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้าจะไปที่สถาบันศึกษากลุ่มดาวหมีใหญ่เพื่อหายาแห่งการเบ่งบานด้วยตัวเอง”
….
ณ ศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ 1,000”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ 1,000”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสําเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ 1,500”
เมื่อลู่โจวได้ยินการแจ้งเตือนเหล่านี้ ตัวเขาก็ลืมตาขึ้น
“ยู่ฉางตงอย่างงั้นเหรอ?”
ด้วยพลังอวตารดอกบัวสามกลีบในปัจจุบันของเขาไม่พอที่จะรับมือกับสุดยอดฝีมือได้ ยังดีที่หมิงซี่หยินไปด้วย เพราะแบบนั้นทุกอย่างจึงผ่านมาด้วยดี
“ยังดีที่เจ้าพวกนั้นยอมช่วยเหลือกัน”
ลู่โจวหลับตาก่อนที่จะทําสมาธิต่อ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยู่ฉางตงได้กลับมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ตัวเขาไม่รอช้ารีบเดินทางไปยังศาลาตะวันออกในทันที “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ทํางานที่ได้รับมอบหมายจนลุล่วง ข้าได้นํายาช่วยชีวิต 223 เม็ดกลับมาแล้ว”
“ดี” ลู่โจวถามต่อ “ ทุกอย่างราบรื่นไหม?”
“ทุกอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย” ยู่ฉางตงตอบกลับ
ลู่โจวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าไม่เคยที่จะโกหกข้า”
ยู่ฉางตงตกตะลึง ตัวเขารีบโค้งคํานับก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าผิดไปแล้ว ในระหว่างทางกลับข้าได้พบกับหัวขโมยสามคน หัวขโมยพวกนั้นไม่สําคัญที่จะพูดถึง”
“ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้ว พักผ่อนให้สบายซะ”
ยู่ฉางตงที่กําลังจะหันหลังกลับไปนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้ามีเรื่องที่จะขอร้องท่านอาจารย์
”ว่ามา”
“ข้าอยากจะอ่านบันทึกของศิษย์น้องเจ็ด”
“บันทึกอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล ตัวเขาได้หยิบบันทึกขึ้นมาก่อนที่จะส่งมันออกไปยังนอกห้อง
เอี้ยด!
ประตูถูกเปิดและปิดลงอย่างรวดเร็ว
ยู่ฉางตงได้คว้าบันทึกเอาไว้ ตัวเขารีบโค้งคํานับก่อนที่จะจากไป “ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน”
“ติ้ง! ยู่ฉางตงทําภารกิจสําเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 10,000
ลู่โจวหลับตาก่อนที่จะทําสมาธิต่อไป ตัวเขาไม่ได้ออกจากศาลาตะวันออกมากว่า 4 วันแล้ว
….
เข้าวันที่ 5 ลู่โจวยังคงอยู่ในในศาลาเช่นเดิม ตัวเขารู้ดีว่าพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แล้ว สภาพจิตใจและร่างกายของเขาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“พลังวรยุทธที่ฉันมีดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมา” ลู่โจวพึมพํากับตัวเอง “ดูเหมือนว่ามันจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”
ถ้าหากพลังของลู่โจวยังคงพัฒนาต่อไปแบบนี้ตัวเขาก็ควรที่จะเก็บแต้มบุญไว้ซื้อกลีบดอกบัว ถ้าหากในอนาคตไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไรให้ลู่โจวจัดการ ตัวเขาก็คงจะพัฒนาพลังอวตารของตัวเอง ได้เร็วขึ้นแน่
ลู่โจวเหยียดร่างกายก่อนที่จะเดินออกมาจากประตู
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อกําลังกระโดดไปมาในขณะที่ฝึกฝนอยู่กับสายสะพาย นิพพานของนาง เมื่อนางสังเกตเห็นลู่โจว หยวนเอ๋อก็รีบทักทาย “ท่านอาจารย์….ศิษย์พี่เจ็ดเดินทางไปยังมณฑลชิงเมื่อวาน เขาเห็นว่าท่านกําลังพักผ่อน ศิษย์พี่ก็เลยฝากข้าให้มาบอกท่าน”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวลงบันไดมา ตัวเขาในตอนนี้ยังคงเอามือไขว้หลังเหมือนกับวันก่อนๆ
ด้วยพลังวรยุทธที่สีวู่หยามี การที่จะให้เขาพายู่เฉิงไห่กลับมาที่นี่คงจะเป็นเรื่องยาก เหตุผลที่ลู่โจวได้ส่งสีวู่หยาไปทําภารกิจก็เพราะว่าศิษย์คนนี้จะสามารถหายู่เฉิงไห่ พบอย่างง่ายดาย แม้ว่าตัว เขาจะไม่สามารถพายู่เฉิงไห่กลับมาด้วยกําลังได้ อย่างน้อยที่สุดสีวู่หยา ก็จะช่วยให้ยู่เฉิงไห่เผชิญหน้ากับเหล่าราชวงศ์ได้
เมื่อลู่โจวนึกถึงคําพูดของหมิงซี่หยิน ตัวเขาก็ถอนหายใจออกมา ลู่โจวกําลังคิดถึงสิ่งที่ได้คุย กับสีวู่หยา
ก่อนที่จะหาคริสตัลแห่งความทรงจําพบ ลู่โจวเองก็ไม่กล้าจะยืนยันว่าจีเทียนเด๋าพยายาม จะสังหารยู่เฉิงไห่จริงไหม “ฉันจะต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้” หลังจากที่คิดได้ดังนั้น ตัวเขาก็เหลือบไปมองหยวนเอ๋อ “หยวนเอ๋อ การฝึกฝนของเจ้าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หยวนเอ๋อดูไม่พอใจเท่าไหร่ในขณะที่ตอบกลับมา “ท่านอาจารย์ การจะผลิกลีบดอกบัวกลีบใหม่ได้ เป็นอะไรที่ยากมาก ข้ายังไม่สามารถผลิกลีบดอกบัวกลีบที่สามได้!”
“กลีบที่สาม? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าสามารถผลิกลีบดอกบัวกลีบที่สองได้?” สู่โจวจําได้ ว่าหยวนเอ๋อเพิ่งจะผลิกลีบดอกบัวกลีบแรกได้ ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะเผชิญหน้ากับปัญหาเดียวกัน ยิ่งวรยุทธที่พวกเขามีสูงมากเท่าไหร่ การที่จะพัฒนามันให้สูงมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่สําหรับหยวนเอ๋อแล้วไม่ใช่แบบนั้น พลังของนางก้าวหน้าเร็วจนเกินไป มันเพิ่มมากขึ้นอย่างไร้เหตุผล
หยวนเอ๋อเกาหัวตัวเอง “ศิษย์คิดว่าคงจะเป็นครึ่งเดือนก่อน ศิษย์จําไม่ได้จริงๆ”
“ครึ่งเดือนอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวพูดไม่ออก อย่าบอกว่าหยวนเอ๋อจะคิดว่าผลิกลีบดอกบัวใน ชั่วข้ามคืนได้นะ?
“ข้ามีเรื่องที่จะต้องทํา เจ้าอยู่ที่นี่คอยฝึกฝนตัวเองให้ดี”
“ท่านอาจารย์ข้าอยากไปกับท่าน!” หยวนเอ๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นทําหน้าบึ้ง “อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
“ค่ะ…”
ลู่โจวสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะเดินไปยังหลังภูเขา
หยวนเอ๋อรู้สึกเศร้าใจเมื่อมองผู้เป็นอาจารย์เดินจากไป ก่อนหน้านี้อาจารย์ของนางมักจะพานางไปยังทุกที่ที่ตัวเขาไป แต่ในตอนนี้ลู่โจวกลับทิ้งหยวนเอ๋อไว้ เพราะแบบนั้นหยวนเอ๋อจึงคิดน้อยใจในตัวเอง “ท่านอาจารย์คงจะคิดว่าพลังวรยุทธของข้าอ่อนแอเกินไปสินะ ถ้าหากไม่ เป็นแบบนั้นท่านอาจารย์ก็คงจะไม่ถามเกี่ยวกับพลังของข้าหรอก”
ที่ด้านหลังภูเขา
ลู่โจวได้พลิกฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นเองการ์ดแปลงกายก็ได้ปรากฏขึ้นมา
ในอดีตลู่โจวไม่มีวิธีที่จะป้องกันตัวมากนัก เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะพาหยวนเอ๋อไปทั่วทุกที่ที่ตัวเขาเดินทางไป แต่ในตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ และด้วยพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์รวมไปถึงการ์ดวิเศษที่ลู่โจวมี การจะป้องกันตัวเองคงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าหากลู่โจวพาหยวนเอ๋อไปด้วย การปลอมตัวของเขาก็คงจะถูกมองออกง่ายมากยิ่งขึ้น
ในโลกของการฝึกตน มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนตัวเองมาถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะ ถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือ ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป สามารถปลดปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชาได้ สุดยอดเคล็ดวิชาที่ว่าไม่มีคําจํากัดความที่ตายตัว ส่วนมากแล้วมันจะหมายถึงวิชาที่ทรงพลัง และแสนจะยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะใช้คําๆ นี้เรียกสุดยอดวิชาจากทั้งลัทธิขงจื้อ, ชาวพุทธ และลัทธิเต๋า
และในตอนนี้ลู่โจวก็มีพลังอยู่ในขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ใช่ผู้อ่อนแออีกต่อไป
“มณฑลจิงอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวมองไปยังทิศที่มณฑลจิงตั้งอยู่ “ฉันอยากจะไปเห็นจริงๆ ว่าเจ้าศิษย์ไม่รักดีนั่นทําอะไรอยู่”
ด้วยการ์ดแปลงกายที่ลู่โจวมีมันจะทําให้การจับศิษย์ไม่รักดีอย่างยู่เฉิงไห่ง่ายมากขึ้น
แม้ว่าลู่โจวจะออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป แต่ยู่ฉางตงและคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ที่นี่ก็ยังสามารถดูแลภูเขาทองต่อไปได้อยู่ดี ในตอนนี้ม่านพลังได้รับการฟื้นพลังจนเต็มที่แล้ว ภูเขาทองได้กลาย เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
“วิชชาร์ต”
วิชชาร์ตที่ได้ยินเสียงเรียกได้ยินมาตามหมู่เมฆ
ลู่โจวรีบขึ้นไปนั่งบนหลังของมันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเดินทางออกไปในทันที
ลู่โจวเลือกที่จะใช้การ์ดแปลงกายเมื่ออยู่บนท้องฟ้า เมื่อการ์ดถูกใช้งาน พลังอันมหาศาลก็ได้ไหลออกมาจากการ์ด พลังนั้นได้หมุนรอบตัวของลู่โจวเอาไว้ ลู่โจวที่ถูกพลังล้อมรอบไม่เคยรู้สึกถึงความเสียวซ่านแบบนี้มาก่อน
ลู่โจวที่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปไม่รู้เลยว่ารูปร่างในตอนนี้จะเป็นยังไง ตัวเขาที่คิดสงสัยจึงรีบ สั่งให้วิซซาร์ดแวะทะเลสาบที่อยู่ใกล้ๆ กับหลังภูเขา ตัวเขามองลงไปยังทะเลสาบเพื่อที่จะดูเงาสะท้อนของตน
ลู่โจวมองเห็นชายชราอีกคนที่กําลังมองกลับมา ชายชราคนนี้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ผมของเขาครึ่งหนึ่งเป็นสีดํา ใบหน้าของชายชราคนนี้ดูเฉียบคมขึ้น ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นรู้สึกพอใจ
ลู่โจวใช้เวลาสํารวจรูปร่างหน้าตาไม่นานนักก่อนที่จะขี่วิชชาร์ตเพื่อเดินทางไปยังมณฑลชิงต่อ