My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 471
ตอนที่ 471 เหตุใดท่านถึงได้ตามข้ามา?
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ดวงตาของฮั๊วจงหยางเป็นประกาย ตัวเขาโค้งคํานับก่อนจะพูดขึ้น “ในตอนที่พวกท่าน พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปสืบข่าวใกล้ๆ กับเมืองมณฑลจิงมาก่อน อันที่จริงแล้วข้าได้พบอะไรบางอย่างเมื่อตอนนั้น แต่ข้าไม่ได้คิดมากอะไรและไม่ได้ถามใครให้ถี่ถ้วน”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้า “ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า เจ้ากําลังจะบอกให้พวกเราจับผู้ที่จะถูกบูชายัญเพื่อใช้ในแผนการของเราอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกแล้ว”
ดวงตาของยู่เชิงไห่สว่างขึ้น ตัวเขาตบไหล่ของสีวู่หยาก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทําไมข้าถึงคิดเรื่องนี้ไม่ออกเลย สมแล้วที่เป็นเจ้า”
ฮั๊วจงหยางที่ฟังแบบนั้นก็รู้สึกเคารพชื่นชมสีวู่หยามากยิ่งขึ้น แม้ว่าข้อมูลที่ตัวเขาได้รับมาจะเป็นข้อมูลเดียวกันก็ตาม แต่ตัวเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่เมื่อข้อมูลไปอยู่ในมือของสีวู่หยา มันกับมีประโยชน์ขึ้นมาอย่างมหาศาล
สีวู่หยาพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “ในตอนนี้พลังวรยุทธที่ข้ามยังไม่ลึกล้ํามากพอ เพื่อที่จะทําแผนการของเราให้สําเร็จ ข้าคงต้องขอรบกวนพี่ฮั๊วสักหน่อย”
ยู่เฉิงไห่รีบตอบรับไปในทันที “เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว เชิญเจ้าใช้งานสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ตามใจชอบเลย ทุกๆคนจากสํานักอเวจีก็เช่นกัน รีบสั่งการให้เจ้าพวกนั้นช่วยเหลือศิษย์น้องผู้ หลักแหลมของข้าชะ” หลังจากที่พูดจบยู่เฉิงไห่ที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าคําพูดมันฟังดูไม่จริงใจไม่มากพอ ตัวเขารีบเอามือตบหน้าอกของตัวเองก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเองก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮั๊วจงหยางก็รีบตอบรับ “ท่านสีวู่หยาได้โปรดฝากงานนี้ไว้กับข้าเถอะ ข้าคุ้นเคยกับผังเมืองมณฑลจิงดี ข้ารู้ดีว่าแท่นบูชาสวรรค์ตั้งอยู่ที่แห่งหนใด” ฮั๊วจงหยางไม่มีทางที่จะปล่อยให้ผู้เป็นเจ้าสํานักไปลักพาตัวใครแน่ งานแบบนี้เหมาะกับสาวกของยู่เฉิงไห่อย่า งตัวฮั๊วจงหยางเอง
ยู่เฉิงไห่มองไปที่ฮั๊วจงหยางอย่างไม่เห็นด้วย
สีวู่หยาพยักหน้าตอบรับ “ถ้าหากเป็นแบบนั้นเห็นที่ข้าจะต้องฝากให้พี่ฮั๊วจัดการแล้วล่ะ”
“ข้าจะทํามันอย่างดีที่สุดเอง” ฮั๊วจงหยางรีบตอบรับ
สีวู่หยาพูดต่อ “แม้ว่าจะไม่มีคนจากทางการบนแท่นบูชาสวรรค์ก็ตาม แต่พวกเราก็ควรจะเก็บตัวตนเอาไว้ให้เป็นความลับมากที่สุด พวกเราไม่ควรจะเปิดเผยตัวตนให้ใครได้รับรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองก็คงไม่อาจจะช่วยอะไรพี่ได้ นอกจากนี้พี่ฮั๊ว ท่านจึงพี่งพาไหวพริบ อย่าได้ใช้กําลังเด็ดขาด พิธีบูชายัญบนแท่นบูชาสวรรค์นั้นเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของพวกเรา
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ฮั๊วจงหยางคารวะให้ก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่ไป
หลังจากที่ฮั๊วจงหยางออกมา ยู่เฉิงไห่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้ารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นจริงๆ เมื่อได้อยู่ใกล้เจ้า ศิษย์น้องเจ็ด ในหลายวันมานี้ข้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย สมองของข้าแทบที่จะแบกรับต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ว่าข้าจะใช้ความคิดแค่ไหนแต่ข้าก็หาวิธีบุกโจมตีเมืองมณฑลจึงไม่ได้”
สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็มีพลังวรยุทธที่ลึกล้ํา คนของสํานักอเวจีไม่ได้ต้อยความสามารถเลย เหตุใดกันถึงไม่มีใครทําอะไรได้”
ยู่เฉิงไห่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อ “ตอนนี้ทั้งเก้ามณฑลต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย และเพราะแบบนั้นทําให้การติดตามสถานการณ์โดยรวมจึงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น ทั้งไป่ยู่ชิง, หยางเยียน และดีชิงต่างก็ต้องปกป้องมณฑลเหลียง พวกเราจะต้องปกป้องมณฑลเหลียงจากการรุกรานของ ชาวรั่วหลี ยิ่งสถานการณ์ยุ่งยากมากเท่าไหร่ การที่พวกเราจะสงบใจเพื่อคิดหาทางออกได้เป็นไปได้ยากขึ้นเท่านั้น” การปรากฏตัวของผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ทําให้โลกใบนี้เข้าสู่ยุคแห่งการแยกดอกบัวในตอนนี้ทั่วทั้งโลกกําลังตกอยู่ในความวุ่นวายที่แท้จริง
แม้ว่าในตอนนี้มณฑลทั้งเก้าจะตกอยู่ในความโกลาหลและยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งต้องตกอยู่ในความควบคุมของสํานักอเวจีแล้วก็ตาม แต่ยู่เฉิงไห้ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสําเร็จได้เลย ตัวเขาจะไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่ถ้าหากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ล่มสลายไป การโค่นล้มจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์แม้ว่าจะฟังดูเป็นเป้าหมายที่ไม่อาจทําได้แต่มันเป็นเพียงเป้าหมายเดียวของยู่เฉิงไห้
“ไม่ต้องห่วงหรอกศิษย์พี่ใหญ่” สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่นุ่มนวล “ข้าจะทําทุกอย่างที่ทําได้เอง”
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างยู่เฉิงไห่สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปเกี่ยวกับสีวู่หยา ตัวเขาไม่รู้เลยว่าสีวู่หยาต้องเจอกับอะไรถึงได้กลายเป็นแบบนี้ สีวู่หยาเริ่มใช้เหตุผลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยู่เฉิงไห้ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ตัวเขาหันหลังกลับก่อนที่จะเหลือบมองแผนที่บนโต๊ะ
…
ณ โรงเตี๊ยมเมฆา
ลู่โจวเปิดผ้าม่านของหน้าต่างออกก่อนที่จะเหลือบมองไปยังถนน ตัวเขาไม่เห็นอะไรที่ดูสะดุดตาเลย “ดูเหมือนว่าฉันจะใช้การ์ดแปลงกายเสียเปล่าแล้วสินะ
ในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้น
“ อาหารได้แล้วครับ นายท่าน” เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาก่อนที่จะวางจานลงบนโต๊ะ
ลู่โจวเหลือบมองไปที่จาน ในความจริงผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่จําเป็นที่จะต้องกินอาหารนานถึงสิบวันสิบคืนได้ แต่เป็นเพราะครั้งนี้ตัวเขามายังเมืองมณฑลจิง เพื่อที่จะแฝงเนียนไปกับคนทั่วไปลู่โจวจึงไม่มีทางเลือกอื่น “เสี่ยวเอ้อ ที่เมืองแห่งนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า?”
“นายท่าน ท่านได้ถามคําถามนี้กับข้าหลายครั้งแล้ว เมืองมณฑลจิงยังคงสงบสุขเช่นเคย ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยกว่าที่นี่อีกแล้ว พักผ่อนให้สบายใจเถอะนายท่าน” เสี่ยวเอ้อพูดออกมาอย่างมั่นใจ
ในตอนนั้นเองก็เกิดความวุ่นวายบนถนนเบื้องล่าง ผู้ฝึกยุทธระดับต่ําหลายคนมารวมตัวกันก่อนที่จะเดินไปทางเหนือ ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกหลายคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูโอ่อาตระการตา
ลู่โจวชี้ไปยังทุกคน “เสี่ยวเอ้อ แล้วนั้นมันคืออะไรกัน?”
เสี่ยวเอ้อเขย่งขาก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ด้านนอกหน้าต่าง “นั่นมันพิธีบูชายัญ มันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น”
“พิธีบูชายัญ?”
“ในอดีตจะมีการสังเวยหมู, วัว, ลูกแกะ หรือแม้แต่สัตว์ตัวอื่นๆ ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้พวกเขา เลือกที่จะสังเวยชีวิตมนุษย์ ใครจะไปรู้กันว่ามันเป็นความจริง?” เมื่อเสี่ยวเอ้อพูดจบตัวเขาก็รีบจัดเตรียมโต๊ะอาหารอีกครั้ง “เชิญนายท่านทานให้อร่อย”
ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มักจะมีเรื่องแบบนี้เสมอ
ลู่โจวส่ายหัว ตัวเขาไม่ต้องการเสนอหน้าเข้าไปยังที่ที่ไม่สมควรอยู่
บนถนนเริ่มมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
เมื่อกําลังจะปิดหน้าต่างตัวเขาก็เหลือบเห็นชายคนหนึ่งที่วิ่งผ่านฝูงชนไป ชายคนนั้นแต่งตัวแปลกตาอย่างชัดเจน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีรูปลักษณ์ที่ดูคุ้นเคยกับลู่โจวอยู่
“คนคนนี้คือ…” ลู่โจวนึกชื่อไม่ออก ชื่อของเขาคืออะไรกัน? ทําไมเขาถึงดูคุ้นตามากขนาดนั้น!
ยิ่งมองชายคนนั้นมากเท่าไหร่ ลู่โจวก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น ตัวเขารีบใช้ปลายเท้าเคาะไปที่พื้นเบาๆ ก่อนที่จะกระโดดออกมาจากโรงเตี้ยม ลู่โจวเลือกที่จะลงสู่ท้องถนนก่อนที่จะ เดินตามชายคนนั้นไป
เมื่อเดินไปจนสุดถนนชายคนนั้นก็ได้หันหน้ากลับมา…
“ผู้อาวุโส ท่านเดินตามข้ามาทําไม?” ชายคนนั้นเดินจงใจเดินไปบนถนนเส้นนี้ก็เพราะรู้ตัวว่า ถูกสะกดรอยตาม
“สหาย พวกเราเคยเจอกันมาก่อนไหม?” ลู่โจวถามออกมาอย่างใจเย็น นี่เป็นคําถามที่ลู่โจวอยากจะรู้จริงๆ ตัวเขายังคงนึกต่อไปว่าชายคนนี้เคยเจอกับตัวเขาที่ไหน
“ข้าคือฮั่วหยาง ข้าคิดว่าท่านคงจะจําผิดคนแล้วละ ผู้อาวุโส หยุดไล่ตามข้าซะเถอะ”
ถ้าหากชายคนนั้นไม่เอ่ยชื่อ ลู่โจวก็คงจะจําไม่ได้ คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือฮั๊วจงหยาง หนึ่งในสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งสํานักอเวจี เขาเป็นยอดฝีมือแห่งโถงมังกรฟ้า
เหตุใดหัวหน้าของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเขีดกลีบถึงเข้ามาย งมณฑลจิงด้วยตัวเอง?
เมื่อฮั๊วจงหยางหันหลังและกําลังจะจากไป ในตอนนั้นเองตัวเขาก็มองเห็นใบหน้าของลู่โจว ฮั่วจงหยางที่เห็นแบบนั้นรีบนึกหาใบหน้าของชายคนนี้ ท้ายที่สุดแล้วฮั่วจงหยางก็ไม่เคยเห็นเขาคงจะดีกว่าถ้าหากตัวเขาไม่ถูกเปิดเผยตัวจริง การถูกเปิดเผยตัวจริงอาจจะทําให้แผนของสีวู่หยาล้มเหลวได้
ลู่โจวเหลือบมองเวลาที่เหลืออยู่ของการ์ดแปลงกาย ตัวเขายังเหลือเวลาอีกสองวันด้วยกัน ลู่โจวเลือกที่จะเดินตามฮั๊วจงหยางต่อไป ตราบใดที่ตามฮั่วจงหยางไป ตัวเขาก็จะได้พบกับศิษย์ไม่รักดีอย่างยู่เฉิงไห่แน่
ลู่โจวซ่อนพลังวรยุทธที่มีไว้ในตอนนี้ตัวเขาได้กลายเป็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากฮั๊วจงหยางรู้ความจริงที่ว่าลู่โจวเป็นใคร ตัวเขาก็คงจะกลัวจนวิ่งหนีไปแน่
ฮั่วจงหยางได้มุ่งหน้าทางผ่านถนนสายสี่ก่อนที่จะออกจากถนนสายหลักไป ตัวเขาเลือกเดินทางไปยังทางเหนือของมณฑลจิงแทน ฮั๊วจงหยางที่มุ่งหน้าอยู่ได้หักเลี้ยวไปที่ด้านข้างก่อนที่จะจู่โจมลู่โจวจากทางด้านหลังด้วยความเร็วสายฟ้า “ยกโทษให้ข้าด้วยผู้อาวุโส!”
เมื่อฮั๊วจงหยางอยู่ห่างจากลู่โจวได้สิบเมตร ฮั๊วจงหยางก็สังเกตเห็นว่าลู่โจวดูไม่กังวลอะไร ฝั่งฮั่วจงหยางเองที่รู้สึกถึงแรงกดดันได้
เมื่อหมัดของฮั่วจงหยางกําลังจะถึงใบหน้าของลู่โจว ลู่โจวก็ได้ยกมือขึ้นมาซะก่อน เมื่อตัวเขาชูมือขึ้นมา พลังลมปราณที่มีก็เริ่มมารวมตัวกันอยู่ที่ฝ่ามือ
เมื่อเห็นแบบนั้นฮั่วจงหยางก็รีบถอยออกมา แต่มันก็ไม่ทัน ทันทีที่มือทั้งสองคนเข้าชนกัน ในตอนนั้นเองก็เกิดการระเบิดขึ้น
ตู๊ม!
ฮั๊วจงหยางที่ถูกพลังระเบิดกระเด็นกลับไปในทันที หลังจากที่ตีลังกาถึงสามครั้ง ในที่สุดฮั๊วจงหยางก็สามารถตั้งหลักได้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ “นี่มันพลังฝ่ามือเผิงไหล? จากพลัง อวตารหกกลีบ? พลังอวตารเจ็ดกลีบ? พลังอวตารแปดกลีบ?” ฮั๊วจงหยางไม่แน่ใจ แม้ว่าตัวเขาจะ ใช้พลังเพียงสามในสิบส่วนก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็กลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ชายชราที่อยู่ตรงหน้ายังคงเยือกเย็น ฮั๊วจงหยางมั่นใจว่าชายชราคนนี้จะต้องมีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบขึ้นไปแน่
ฮั๊วจงหยางไม่คิดที่จะประมาทคู่ต่อสู้อีกต่อไป “ท่านผู้อาวุโส ข้าไม่คิดที่จะหาเรื่องท่าน เหตุใดกันท่านถึงได้ตามข้ามา?”