My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 312
ทันใดนั้นสีวู่หยาก็นึกขึ้นได้ว่ายี่เทียนซินเกือบที่จะฟื้นฟูพลังวรยุทธมาเกือบจะเต็มที่แล้ว สีวู่หยารู้ดี พลังวรยุทธของยี่เทียนซินถูกทำลายไปหลังจากที่นางได้สมรู้ร่วมคิดกับสำนักฝ่ายธรรมะเพื่อโจมตีผู้เป็นอาจารย์ของตัวเอง ‘พลังวรยุทธของนางฟื้นฟูมาในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน? หรือว่านี่เป็นพรสวรรค์ของเหล่ามนุษย์เผือกกันแน่?’ หลังจากที่ใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งตัวเขาก็ล้มเลิกที่จะคิดเรื่องนี้ “ข้าจะช่วยท่านตามหามันเองศิษย์พี่”
ยี่เทียนซินได้หันไปรอบๆ ก่อนที่จะจ้องมองรอบตัวเอง นางได้มองไปยังกระท่อมอันแสนสงบก่อนที่จะพูดออกมา “แล้วยังไง เจ้าสำนักความมืดผู้ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้เองหรอ?”
“ข้าไม่มีทางเลือก ตอนนี้ข้าสูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไปแล้ว สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเก็บตัวเงียบเท่านั้น” สีวู่หยาได้ตอบกลับมา
“เจ้าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาโดยตลอด แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียพลังไปแต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังสามารถควบคุมคนของเจ้าเพื่อทำงานสร้างความวุ่นวายแบบนี้ได้” ยี่เทียนซินได้พูดออกมาอย่างประชดประชัน
สีวู่หยาพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน “แล้วตอนนี้ศิษย์พี่อาศัยอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
“ผืนมหาสมุทรทั้งสี่เป็นบ้านของข้าเอง”
“ถ้าหากท่านเต็มใจแล้วล่ะก็ ข้าอยากที่จะให้ท่านเข้าร่วมสำนักแห่งความมืด…” สีวู่หยาพูดขึ้น
ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นหัวเราะออกมา นางได้จ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธชุดเดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ทุกๆ คนต่างก็บอกว่าเจ้าน่ะเจ้าเล่ห์มาก เจ้าพยายามที่จะผูกมัดผู้เป็นศิษย์พี่เอาไว้ให้อยู่ในแผนของเจ้าด้วยสินะ?”
“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลย” สีวู่หยาโบกมือปฏิเสธ
“เมื่อลองมาคิดดูให้ดีในตอนที่เจ้าอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า เจ้าก็สร้างชื่อได้มากแล้ว แม้ว่าท่านอาจารย์จะอารมณ์ร้อนแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ค่อยที่จะตำหนิเจ้าเท่าไหร่ บอกข้ามาตามตรงซะ ทำไมเจ้าถึงต้องเลือกออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?” ยี่เทียนซินได้จ้องมองไปที่สีวู่หยาอย่างจริงจัง การจากไปของนางแตกต่างจากคนอื่นๆ นางออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพราะเรื่องของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ เมื่อมองย้อนกลับไป ยี่เทียนซินก็รู้ดีว่ามันผิดมหันต์ นางไม่ได้คาดคิดว่าคนอื่นๆ จะจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปเพราะเหตุผลเดียวกัน
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “จะมีอะไรได้อีกถ้าหากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองน่ะ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองอย่างงั้นหรอ?” ยี่เทียนซินที่ได้ฟังแบบนั้นสับสน “การที่เจ้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกศิษย์พี่กัน?”
“ในระหว่างที่ศิษย์พี่ทั้งสองอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็งี่เง่าด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาเคยต่อสู้กันเมื่อนานมาแล้วก็เพื่อที่จะเอาชนะใจของท่านอาจารย์เมื่อหลายปีก่อน ในหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาก็เริ่มขัดแย้งกันมากขึ้น ข้าไม่อยากเห็นศิษย์พี่ทั้งสองแตกคอกันเองเลย” สีวู่หยาตอบกลับ
ยี่เทียนซินส่ายหัว “แค่นั้นเองอย่างงั้นหรอ?” ถ้าหากเหตุผลของสีวู่หยามีเพียงต้องการจะหยุดศิษย์พี่ทั้งสอง เหตุผลแค่นั้นดูยังไม่เพียงพอ
“ถ้าหากอยากจะรู้มากกว่านั้นเห็นทีท่านต้องถามศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองเองแล้วล่ะ” สีวู่หยาตอบ
“แล้วทำไมข้าจะต้องไปถามพวกเขาด้วยตัวเองกันล่ะ?” ยี่เทียนซินรู้สึกสับสนอีกครั้ง สีวู่หยาไม่เลือกที่จะตอบคำถามนางเอง สีวู่หยาเลือกที่จะตอบคำถามโดยที่ให้ไปถามคนอื่นแทน
“แล้วศิษย์พี่คิดยังไงกับศิษย์พี่รองล่ะ?”
“เขาเป็นคนที่สุภาพและก็อ่อนโยน…ข้าคิดว่าเขาจะต้องมีนิสัยที่ดีกว่าผู้ฝึกยุทธฝ่ายธรรมะที่หน้าซื่อใจคดพวกนั้น” ยี่เทียนซินตอบกลับ
สีวู่หยาหยักหน้าก่อนจะพูดออกมา “ที่ทางตอนเหนือจะมีชาวหยานอาศัยอยู่ พวกเขามักจะแต่งกายกันไม่สุภาพเท่าไหร่และนอกจากนี้พวกเขายังพกพาดาบกันอีกด้วย พวกเขามักจะมีเสือสองตัวอยู่ข้างกาย แต่ถึงแม้ว่าจะมีพลังสักแค่ไหนพวกเขาก็ไม่ชอบความขัดแย้งและคอยหลีกหนีมันเสมอ และยังมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าดอกเมลิล็อต มันเป็นดอกที่จะบานในรุ่งสางแต่จะเหี่ยวเฉาในยามค่ำคืน ทุกๆ คนต่างก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมและไม่คิดที่จะอิจฉาริษยาใคร”
แม้ว่ายี่เทียนซินจะไม่เข้าใจคำพูดของสีวู่หยา แต่ถึงแบบนั้นนางก็ตกใจกับคำพูดที่สีวู่หยาใช้เปรียบเปรยถึงผู้เป็นศิษย์พี่ของรองของตัวเองแบบนี้ นางไม่คิดที่จะตั้งคำถามกับสีวู่หยาอีกต่อไป
สีวู่หยายังคงพูดต่อไป “เชื่อข้าเถอะศิษย์พี่ สถานการณ์มันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้ ไม่ว่าจะยังไงข้าจะต้องไปถึงจุดสั้นสุดให้ได้”
ในตอนที่นางรู้ตัวเองว่าเป็นมนุษย์เผือก นางในตอนนั้นก็มีความคิดที่สับสนไปหมด เมื่อนางคิดถึงความรู้สึกเมื่อตอนนั้นนางก็ไม่อยากจะถามเหตุผลอะไรกับสีวู่หยาอีกต่อไป
“แล้วศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ?”
“ให้พูดตามจริงข้าเองก็ไม่รู้อะไร” สีวู่หยาพูดต่อ “อันที่จริงข้าวางแผนที่จะกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนที่ท่านอาจารย์หมดเวลาลงเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่ถึงแบบนั้นจนถึงตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่มีวี่แววที่จะหมดอายุขัยลงเลย ข้าคิดว่าศิษย์พี่เองคงจะเห็นท่านอาจารย์กับตาตัวเองมาแล้ว”
ยี่เทียนซินไม่ได้ตอบกลับ ไม่เพียงแต่อาจารย์ของนางจะไม่ได้ดูใกล้สิ้นอายุขัย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แตกต่างอะไรเลยกับตอนที่มีพลังอยู่ในจุดสูงสุด เมื่อนางนึกถึงดอกบัวทองคำกลีบที่เก้านางก็พูดออกมา “บางทีท่านอาจารย์อาจจะฝึกฝนตัวเองไปจนถึงดอกบัวกลีบที่เก้าแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” สีวู่หยาพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“แต่ข้าเห็นมันกับตาตัวเอง”
สีวู่หยาไม่ได้ตอบกลับไป ในตอนนั้นยี่เทียนซินก็ได้ส่ายหัวก่อนจะพูดออกมา “บางทีข้าคงจะตาฝาดไป…”
“…” สีวู่หยาโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น การที่จะให้เชื่อเรื่องนี้ได้เป็นไปได้ยากมาก สีวู่หยาคิดว่ายังไงมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากอาจารย์ของเขาสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีดอกบัวกลีบที่เก้าได้จริง ตัวเขารวมไปถึงศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองคงจะไม่ได้เดินเล่นอย่างอิสระเช่นนี้ ท่านอาจารย์คงจะใช้พลังขั้นสุดยอดจัดการกับสำนักฝ่ายธรรมะไปนานแล้ว
“แม้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้า แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังฉลาดที่สุดในหมู่ของพวกเรา ข้าเชื่อเจ้า…ฝากความนับถือของข้าไปให้ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองด้วย” หลังจากพูดจบยี่เทียนซินก็ได้หายไปจากทางเข้า
“ท่านไม่คิดที่จะเข้าร่วมสำนักแห่งความมืดของข้าอย่างงั้นหรอศิษย์พี่?” สีวู่หยาถามออกมาอีกครั้ง
“ไม่…เจ้าควรจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้จะดีกว่านะศิษย์น้อง” เมื่อพูดจบร่างของยี่เทียนซินก็ได้หายไปในม่านหมอก
ยี่ฉีชิงโค้งคำนับให้ ตัวเขารู้สึกโล่งอกหลังจากที่เห็นทางจากไป “ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านยี่เทียนซิน”
สีวู่หยายิ้มก่อนจะพูดออกมา “เมื่อลองคิดดูให้ดีเจ้าเองก็แซ่ยี่เหมือนกัน…เจ้ากลัวศิษย์พี่ของข้ามากขนานนั้นเลยอย่างงั้นหรอ?”
ยี่ฉีชิงรีบโบกมือปฏิเสธ ตัวเขาไม่กล้ามากพอที่จะแอบอ้างว่ามาจากตระกูลเดียวกันกับนางได้
สีวู่หยาไม่ได้คิดจะติดใจอะไรเรื่องของยี่เทียนซิน “เมื่อเร็วๆ นี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง?”
“สำนักอเวย์จีกำลังพักผ่อนหลังจากที่เอาชนะสำนักเที่ยงธรรมมาได้ ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธนับหมื่นอยู่ภายใต้การนำทางของสำนักอเวย์จี ข้าคิดว่าในไม่นานนี้สำนักอเวย์จีคงจะต้องหาเป้าหมายใหม่แน่”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงศิษย์พี่ใหญ่จะไปมีเวลาจัดการกับเรื่องของพระราชวังได้ยังไงกัน” สีวู่หยาส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจ
“ท่านเจ้าสำนักหมายความว่าอะไรกัน?”
“ข้าจะต้องไปเยี่ยมชมการล่าสัตว์เป็นการส่วนตัวซะแล้ว” สีวู่หยาตอบกลับมา
“แต่ท่านเจ้าสำนักสูญเสียพลังวรยุทธไปหมดแล้ว ท่านไม่ควรจะไป”
“เมื่อมีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย ข้าจะต้องไปกลัวอะไรอีกล่ะ” สีวู่หยาตอบกลับ
“ข้าสาบานว่าจะปกป้องท่านเจ้าสำนักด้วยชีวิต”
ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ภายในพระราชวังจิงหยาง
ม่อหลี่กำลังทาแป้งไปที่ใบหน้าพร้อมกับจ้องมองไปยังกระจก นางดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากที่ทาแป้งเสร็จแล้วนางก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดกับชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก “ท่านพี่ ข้าขอบคุณจริงๆ ที่ท่านรักษาบาดแผลให้ข้า”
“พวกเราถือเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เจ้าไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณข้าหรอก”
“ข้าได้ยินมาว่าถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีท่านจะต้องกลายเป็นเจ้าคนนายคนที่ควบคุมคนจำนวนมากไว้ได้แน่” ม่อหลี่ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ไป่หม่าส่ายหัว ตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าคิดว่าทุกสิ่งจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เจ้าคิด”
“ท่านพี่ ท่านยังคงกังวลอยู่อย่างงั้นสินะ…ไม่ต้องห่วง พวกเราได้วางแผนกันเป็นอย่างดีแล้ว จ้าวยู่ศิษย์คนที่ห้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็อยู่ที่พระราชวังแล้ว ศิษย์คนที่สี่เองก็อยู่ด้วยเช่นกัน อัครมเหสีจะมุ่งหน้าไปยังหรงเป่ยในเวลาที่กำหนด เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นแน่…ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้หนีไปเด็ดขาด”
ไป่หม่านึกถึงเรื่องที่เกิดบนแท่นประลองดอกบัวก่อนที่จะส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าเข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกนะ…แต่ปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นยังมีอะไรที่มากกว่าที่ตาเราเห็นแน่”
“ข้ากลัวว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมาซะมากกว่า…” ม่อหลี่ยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ท่านพี่ ข้าจะบอกความจริงกับท่านให้ องค์ชายสองเคยมอบพิมพ์เขียวของรูปแบบพลังทั้งสิบมาให้ข้าเมื่อนานมาแล้ว”
ไป่หม่าดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินแบบนั้น
ม่อหลี่ได้พูดต่อ “หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากองค์ชายสอง ข้าก็ได้วางรูปแบบพลังทั้งสิบเอาไว้ที่สี่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…” หลังจากพูดจบม่อหลี่ก็ยิ้มก่อนที่จะพูดต่อมา “หนึ่งในนั้นข้าได้วางเอาไว้ที่เมืองทางตอนเหนือแล้ว…อีกหนึ่งข้าได้วางไว้ที่หรงเป่ย มีเพียงองค์ชายา, องค์ชายองค์ที่สอง และข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้! ท่านพี่ ท่านจะเป็นคนที่สี่ที่ได้รู้เรื่องนี้…” ม่อหลี่ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกับไป่หม่า
ไป่หม่าถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากจะเล่นกับไฟก็ระวังมือตัวเองให้ดีล่ะม่อหลี่”
“ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว ข้าจะต้องไปกังวลทำไมกัน?” ม่อหลี่ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ไป่หม่าถอนหายใจ ตัวเขาไม่อยากจะจ้องมองนางอีกต่อไปจึงหันไปที่หน้าต่าง “ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะดี เพื่อลั่วหลาน”
“ถูกแล้ว…ไม่มีใครรู้นอกจากข้าว่าข้าจะต้องลำบากแค่ไหนเพื่อแทรกซึมเข้ามาที่พระราชวังและไต่เต้าจนมาถึงตอนนี้ได้ พลังวรยุทธรวมไปถึงสติปัญญาที่ท่านมีต่างก็เหนือกว่าข้ามาก ท่านพี่…ถ้าหากพวกเราร่วมมือกัน ทั้งความแข็งแกร่งที่ข้ากับท่านมี ไม่มีอะไรจะขวางพวกเราได้แน่”