My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 328
น้ำตกตามธรรมชาติได้ไหลตกมาตามแรงโน้มถ่วง แสงของดวงตะวันที่ทอแสงระยิบระยับกำลังจะหมดลง
ในตอนนี้ลู่โจวกำลังนั่งอยู่บนรถม้า ตัวเขานั่งลูบเคราในขณะที่นั่งชมวิวทิวทัศน์ในขณะที่เดินทาง
รถม้าลอยฟ้าลอยส่ายไปส่ายมา แต่ถึงแบบนั้นอุปสรรคเพียงเท่านี้ก็ไม่อาจทำให้ลู่โจวหยุดชมวิวทิวทัศน์ได้
รถม้าลอยฟ้าได้บินเข้ามาใกล้ยอดเขาเมฆากระจ่างในตอนที่แสงอาทิตย์หมดไป “ท่านผู้อาวุโส พวกเราถึงหุบเขาเมฆากระจ่างแล้ว ข้าคิดว่าลูกศิษย์ของท่านจะต้องปรากฏตัวในอีกสองวันข้างหน้าแน่” ต้วนชิงได้เดินมาพูดกับลู่โจวจากทางด้านหน้า
“พวกเรามาถึงแล้วอย่างงั้นสินะ?”
ต้วนชิงเกาหัว ‘นี่มันจะเร็วเกินไปรึเปล่า? แต่พวกเราก็เดินทางมานานแล้ว เดินทางมาจนพระอาทิตย์ตกดินไปซะด้วยซ้ำ…’ อันที่จริงการเดินทางจะต้องเร็วกว่านี้มากถ้าหากทุกคนมาที่นี่ด้วยตัวเอง ในท้ายที่สุดต้วนชิงก็ตัดสินใจที่จะตอบกลับมาเพื่อเอาหน้า “ข้าได้ควบคุมพังงารถม้าเป็นการส่วนตัวเองท่านผู้อาวุโส ข้าไม่อยากให้ท่านเสียเวลามากไปก็เลยเร่งความเร็วมาน่ะ…”
ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กลับโบกแขนอย่างหงุดหงิดแทน
ต้วนชิงรู้สึกอึดอัดใจ ตัวเขากำลังสงสัยว่าทำอะไรผิดไปรึเปล่า ตัวเขาไม่ได้พูดในระหว่างการเดินทางเลยเพราะกลัวว่าจะรบกวนลู่โจวที่กำลังเพลิดเพลินไปกับการชมทิวทัศน์ แต่ถึงแบบนั้นท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี
ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะจ้องมองไปยังยอดเขาเมฆากระจ่าง ในตอนนั้นเองภาพจินตนาการอะไรบางอย่างจากส่วนลึกในจิตใจของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมา “วิหารเมฆาของเหล่าแม่ชี” ลู่โจวได้เหลือบมองไปยังใจกลางหุบเขา ตัวเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าวิหารเมฆาของเหล่าแม่ชี้ถูกสร้างขึ้นมาที่นี่ วิหารอยู่ห่างจากเมืองหลวงทางตอนเหนือกว่า 1,000 ไมล์ด้วยกัน ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เงียบสงบและยังดูโดดเดี่ยวเหมาะที่สำหรับฝึกฝนตน บางทีทั้งนักบวชกับเหล่าแม่ชีผู้ก่อตั้งเดิมอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องทางโลกจริงๆ
“ท่านผู้อาวุโสยังความรู้กว้างขวางไม่เปลี่ยน วิหารแห่งนี้ถูกเรียกว่าวิหารเมฆา มันเป็นวิหารที่จะมีแต่แม่ชีอาศัยอยู่” ต้วนชิงพูดเสริม หลังจากนั้นตัวเขาก็ครุ่นคิดถึงการหาที่พักพิงอย่างวิหารเมฆา แต่ถึงแบบนั้นที่แห่งนั้นก็มีเพียงแต่แม่ชี มันคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่ผู้ชายอย่างเขาจะเข้าพักที่นั่น
ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงต้องสามารถค้างคืนได้ในทุกๆ ที่ สถานที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเหล่าผู้ฝึกยุทธมากนัก เนื่องจากร่างกายของพวกเขาทั้งแข็งแกร่งและสามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ การที่จะสามารถพักผ่อนที่ไหนก็ได้ไม่เว้นแต่กิ่งไม้ก็ยังเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“ลดระดับซะ” ลู่โจวพูดออกมาอย่างห้วนๆ
“ลดระดับรถม้าเร็วเข้า” ต้วนชิงรีบสั่งการเพื่อเอารถม้าลง
ที่บริเวณนี้ไม่มีร่องรอยอารยธรรมใดในขอบเขตกว่า 100 ไมล์โดยรอบเลย มีเพียงวิหารเมฆาและต้นไม้สูงตั้งอยู่เท่านั้น
เมื่อรถม้าลอยเข้าสู่ป่า ทุกๆ คนก็ไม่อาจที่จะเห็นท้องฟ้าอีกต่อไป ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้หนาทึบ
ลู่โจวได้ฟื้นพลังพิเศษส่วนหนึ่งในระหว่างที่พักผ่อนอยู่บนรถม้าลอยฟ้ามาแล้ว ตัวเขาที่ไม่มีธุระอะไรกับรถม้าลอยฟ้าอีกจึงกระโดดลงจากมัน
คนอื่นๆ เองก็เช่นกัน เหลือเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รับหน้าที่คุ้มกันรถม้าลยอฟ้า ไม่นานหลังจากนั้นลู่โจวและคนอื่นๆ ก็อยู่ที่ด้านนอกวิหารเมฆา
ต้วนชิงได้อาสาช่วยเหลือลู่โจวออกมา “ข้าน้อยจะเป็นคนเคาะให้เอง” ตัวเขาได้เคาะประตูของวิหารเมฆาอย่างแข็งขัน
ประตูวิหารเปิดออก มีแม่ชีชราคนหนึ่งได้เดินออกมา
“เป็นเจ้านี่เอง?” ลู่โจวจำแม่ชีคนนั้นได้
เสวียงจิ้งสะดุ้ง นางได้เหยียดฝ่ามือออกมาก่อนที่จะโค้งคำนับไปในทันที “ท่านผู้อาวุโสจี…ได้โปรดอภัยสำหรับการต้อนรับของข้าที่หละหลวมแบบนี้ด้วย ข้าไม่คิดว่าท่านจะเดินทางมาไกลถึงที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้” นางรีบเปิดประตูของวิหารจนสุด
ลู่โจวรู้สึกงุนงง ‘ในวิหารเมฆานี่ไม่มีใครคนอื่นๆ เหลืออีกแล้วอย่างงั้นหรอไงกัน? ทำไมเจ้าวิหารแม่ชีเสวียงจิ้งถึงได้ออกมาเปิดประตูวิหารเป็นการส่วนตัวกันแน่?’ ลู่โจวได้จ้องมองไปยังลานกว้างที่อยู่ด้านใน มันเต็มไปด้วยวัชพืชรกร้างรวมไปถึงใบไม้แห้ง ดูเหมือนว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างก็ไม่ผิด “เชิญทางนี้ท่านผู้อาวุโส”
เมื่อเข้ามาในลานวิหาร ลู่โจวก็ได้ถามออกมา “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวอย่างงั้นสินะ?”
“วู่เหนียนได้จากไปนานแล้ว ในตอนนี้ข้าจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในวิหารเมฆาแห่งนี้” เสวียงจิ้งได้ตอบกลับมาพร้อมกับพนมมือ
ลู่โจวลูบเคราพลางพยักหน้าไปด้วย ‘ถ้าหากเป็นแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน แม่ชีที่อยู่คนเดียวคงจะไม่มีกฎเกณฑ์วุ่นวายอะไร’
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่มากพอที่จะให้ผู้อยู่อาศัยได้พักพิง “ข้าจะอยู่ที่นี่สักสองสามวัน” ลู่โจวได้พูดออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นเสวียงจิ้งเลยกล่าวออกมา “ท่านผู้อาวุโส เชิญทางนี้…” แม่ชีคนนี้ไม่มีเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ แม้ว่านางจะเป็นเจ้าของที่นี่แต่นางก็มีแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น
ต้วนชิงได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ตัวเขามองไปที่สหายที่อยู่ข้างกายของตน ‘ไม่ต้องมองมาที่ข้า ช่วยไม่ได้ที่นี่ไม่มีแม่ชีหลงเหลืออีกแล้ว ไปเก็บกวาดด้วยตัวเองซะ’
ลู่โจวได้เดินตามเสวียงจิ้งไปยังห้องที่แสนจะเงียบสงบ สถานที่แห่งนี้ดูสะอาดสะอ้านเหนือกว่าห้องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
เสวียงจิ้งได้พูดต่อ “ทางนี้”
ลู่โจวพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย หลังจากนั้นตัวเขาก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเอามือไขว้หลัง
สภาพแวดล้อมภายในห้องทั้งมีเอกลักษณ์และดูสวยงาม มันมีชั้นหนังสือรวมไปถึงโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ รอบห้องเองก็มีหน้าต่างทรงกลมที่จะทำให้ลู่โจวมองเห็นทัศนียภาพเหนือหุบเขาเมฆากระจ่างได้ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสได้เปิดหูเปิดตาอดีตเจ้าวิหารของพวกเรา และเพราะแบบนั้นนางจึงได้สร้างห้องแห่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะฝึกฝนตนเอง” เสวียงจิ้งพูดออกมา
จีเทียนเด๋าและแม่ชีแห่งวิหารเมฆาเคยได้พบปะพูดคุยกันมาก่อน ทั้งสองได้เฝ้ามองดวงจันทร์บนหุบเขาสีม่วง และยังได้เฝ้ามองปลาในทะเลสาบร้อยกลีบอีกด้วย เมื่อลู่โจวนึกออกตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา “จิงหยานเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มาก แต่น่าเสียดาย นางน่ะเป็นคนที่มีความคิดที่ฟุ้งซ่านมากไปหน่อย”
“ท่านพูดถูกแล้วท่านผู้อาวุโส ท่านอาจารย์เองก็พูดเกี่ยวกับตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน”
“นางตายได้ยังไงกัน?”
“ท่านอาจารย์ของข้าได้ใช้ชีวิตของตัวเองไปถึงอายุขัยที่มีอยู่อย่างจำกัดแล้ว ท่านได้ตายจากไปในสองศตวรรษก่อน…” เสวียงจิงได้ส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา
ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ใช้ความคิด โดยปกติแล้วผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์จะสามารถอยู่ได้ถึง 600 ปีด้วยกัน แต่ถ้าหากคนคนนั้นสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารที่ผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาได้อายุของคนคนนั้นก็จะเพิ่มกลีบละ 50 ปี ไม่เคยมีใครฝึกฝนตัวเองจนมีดอกบัวเก้ากลีบมาก่อน และเพราะเหตุนั้นเองจึงไม่มีใครที่เอาชนะขีดจำกัดของอายุขัย 1,000 ปีที่มีมานานนี้ได้ มันเป็นขีดจำกัดที่ยากเกินกว่าจะข้ามผ่าน
ถ้าหากผู้ฝึกยูทธไม่ได้รนหาที่ตายเองก็คงจะสามารถอยู่ได้ถึง 900 ปีหรืออาจจะอยู่ได้ถึง 1,000 ปีบวกลบนิดหน่อย เหตุใดกันขีดจำกัดของอายุขัยถึงมีเท่านี้กันแน่?
“ท่านอาจารย์ของข้าพยายามก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะมีอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่สุดท้ายนางก็ล้มเหลวไป ด้วยเหตุนี้ทำให้นางสูญเสียแก่นแท้ชีวิตและเลือดจนเสียชีวิตไปในที่สุด” เสวียงจิ้งได้ตอบกลับมา
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า “เก้ากลีบอีกแล้วสินะ” ตัวเขาจำได้ดีว่าอัจฉริยะแห่งดาบจากเมืองหลวงทางตอนเหนือหยวนดู่เองก็พบกับขีดจำกัดแบบนี้เช่นกัน ชายคนนั้นได้พูดแบบเดียวกันก่อนที่ตัวเขาจะเสียชีวิตไป ในความเป็นจริงการที่ใครสักคนสูญเสียแก่นแท้ชีวิตและเลือดไป คนคนนั้นก็จะสูญเสียอายุขัยไปด้วย
ไม่ว่าจะมีขีดจำกัดอยู่แต่ตามกฎทั่วไปของวิถีแห่งการฝึกยุทธ สิ่งที่เรียกว่าอายุขัยจะสามารถเพิ่มได้ตามระดับพลังของผู้ที่ฝึกฝนตน แล้วเหตุใดกัน การที่จะฝึกฝนตัวเองเพื่อไปถึงขั้นที่เก้ากลับทำให้ชีวิตของคนคนนั้นสั้นลงแทน?
“ก่อนที่ท่านอาจารย์จะจากไป นางได้เตือนทุกคนว่าไม่ให้ใครฝึกฝนตัวเองเกินไปกว่าขั้นที่แปดได้ คนที่ริอาจทำแบบจะต้องจบชีวิตในแบบเดียวกัน” เสวียงจิ้งได้พูดเสริม
“ในครั้งสุดท้ายที่ข้าได้คุยกับนางก่อนจะจากกัน ในตอนนั้นนางก็ยังดื้อรั้นอยากที่จะฝึกฝนตัวเองไปให้ถึงขั้นที่เก้าให้จงได้…” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเวทนา
“ตอนนี้ท่านอยู่ที่จุดสูงสุดของอวตารดอกบัวแปดกลีบมานานมากแล้วผู้อาวุโสจี…ท่านย่อมมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้และจะต้องเข้าใจมันมากกว่าอาจารย์ของข้าแน่”
ลู่โจวไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่เสวียงจิ้งได้พูดออกมามีเหตุผล เนื่องจากจีเทียนเด๋าได้อยู่ในจุดสูงสุดของผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบมานานแล้ว ลำพังจีเทียนเด๋าเองก็คงจะพยายามก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดไปให้ได้ด้วยเช่นกัน หรือนั่นจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้จีเทียนเด๋าต้องตาย?
“พักผ่อนให้สบายเถอะท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอลา” เมื่อเสวียงจิ้งเห็นลู่โจวกำลังจมอยู่ในความคิด นางก็ไม่อยากที่จะรบกวนอีกต่อไป นางได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะกล่าวคำอำลา
ลู่โจวยังคงใช้ความคิดของตัวเองต่อไป จะมีผู้ฝึกยุทธที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบที่อดทนไม่ให้ตัวเองฝึกฝนตัวเองไปถึงอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?
ลู่โจวจำการ์ดพลังชีวิตที่ตัวเขามีได้ ถ้าหากความพยายามทำให้ตัวเองข้ามผ่านจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะทำให้อายุของตัวเขาสั้นลงจริงๆ ลู่โจวเองก็ยังมีการ์ดพลังชีวิตอยู่ดี นั่นหมายความว่าในตอนนี้ตัวเขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อีกต่อไป บางทีลู่โจวอาจจะเป็นคนแรกที่สามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็เป็นได้
ลู่โจวได้คิดเรื่องนี้สักพักผ่อนที่จะส่ายหัวละทิ้งความคิดที่มี ‘ในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจะต้องฟื้นฟูพลังของตัวเองให้ได้ซะก่อนก่อนที่จะคิดหาวิธีการจับศิษย์ทรยศทั้งสามกลับมาให้ได้’
ลู่โจวจำเป็นจะต้องพักที่นี่ต่อไปอีก 5 วันด้วยกัน ตัวเขาได้แต่หวังว่ายู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงจะไม่ปรากฏตัวออกมาเร็วจนเกินไป ในตอนนี้การ์ดทั้งหมดของเขายังติดคูลดาวน์อยู่ ถ้าหากการ์ดของเขายังเป็นอยู่แบบนี้สิ่งเดียวที่ลู่โจวจะพึ่งพาได้นั่นก็คือพลังพิเศษที่ได้จากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เท่านั้น
เมื่อคิดแบบนั้นลู่โจวก็เดินไปที่เตียงก่อนที่จะนั่งลง ตัวเขาจ้องมองภาพทะเลสาบร้อยกลีบที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์ก่อนที่จะหลับตาทำสมาธิ
ณ ยามราตรี ใกล้ๆ กับทะเลสาบร้อยกลีบ
ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ได้ส่องสว่างก่อนที่จะสะท้อนเข้ากับสายน้ำของทะเลทสาบแห่งนี้
ยู่ฉางตงกำลังแทงดาบยืนยาวลงบนพื้นก่อนที่จะเอามือวางบนด้ามจับของมัน ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ข้าควรที่จะปกปิดตัวตนของตัวเองก่อนที่จะทิ้งชีวิตที่เหลือที่ทะเลสาบแห่งนี้ดีไหม?”
ใกล้ๆ กันสีวู่หยาพยายามโคจรพลังลมปราณของตัวเองอยู่ ตัวเขาที่ได้ยินแบบนั้นจึงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ แต่น่าเสียดาย หุบเขาเมฆากระจ่างอยู่ใกล้เกินไป” คำพูดของเขาเป็นแค่การเปรียบเปรยเท่านั้น ที่แห่งนี้เป็นที่อาจารย์ของพวกเขามักจะใช้เวลาอยู่
ยู่ฉางตงได้เดินออกห่างจากดาบยืนยาวก่อนที่จะเดินไปยังทะเลสาบร้อยกลีบ ตัวเขาได้เดินบนผิวน้ำอย่างช้าๆ ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนบก “ที่ที่อันตรายที่สุดก็ย่อมที่จะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดด้วยเช่นกัน…” ยู่ฉางตงไม่ได้เปียกน้ำเลยสักนิด ตัวเขาที่พูดเสร็จก็ได้สะบัดแขนเบาๆ
ชิ๊ง!
ดาบยืนยาวของตัวเขาที่ปักอยู่มันกลับเข้าฝึกที่หลังเอง ใบดาบที่ส่องแสงสีแดงออกมาดูโดดเด่นเป็นพิเศษในยามค่ำคืน
ยู่ฉางตงยังคงเดินอยู่เหนือผิวน้ำ ตัวเขาไม่ได้ใช้พลังป้องกันใดๆ ออกมา ยู่ฉางตงได้เหวี่ยงดาบยืนยาวไปรอบๆ ก่อนที่ดาบของเขาจะส่งพลังทำลายล้างไปโดนผิวน้ำที่อยู่บนทะเลสาบ
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
หยดน้ำที่ถูกแรงกระแทกของการโจมตีได้สะท้อนเข้าหาต้นไม้ใกล้ๆ ก่อนที่จะทิ้งรูโหว่เอาไว้บนลำต้นเหล่านั้น
ทะเลสาบที่สั่นไหวได้กลับกลายมาสงบอีกครั้ง ทักษะดาบที่ยู่ฉางตงได้ใช้ออกมาอยู่ในพื้นฐานของความสมบูรณ์แบบ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้ทักษะดาบต่อสู้ได้โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังลมปราณหรือดาบพลังลมปราณเข้าช่วย
แคล๊ก! เอี๊ยดดด
ต้นหมายหลายต้นที่ถูกลูกหลงได้โค่นล้มลงไปกับพื้น ในตอนนั้นเองดาบยืนยาวก็กลับคืนสู่ฝักอีกครั้ง
ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ศิษย์น้องเจ็ด ในแง่ของทักษะการใช้ดาบ เจ้าจะให้คะแนนกับกระบวนท่าของข้าอย่างไร?”
สีวู่หยาได้ตอบกลับมาอย่างจริงจัง “ไม่มีใครเทียบเคียงทักษะดาบกับท่านได้หรอกศิษย์พี่รอง”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะตอบเจ้า…แม้ว่าท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลไป”
ในทางกลับกันสีวู่หยาไม่ได้รู้สึกมั่นใจเหมือนกับยู่ฉางตง สีวู่หยามักจะรับรู้ข่าวคราวของผู้เป็นอาจารย์มาโดยตลอด และเพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เหมือนกับยู่ฉางตง ซู่จินฉาน นักบุญแห่งดาบ, ซู่ปิงจากแห่งเมืองรูหนาน ยู่ฉางตงล้วนแต่ไม่เคยกลัวใคร การที่ยู่ฉางตงไร้ความกลัวแบบนี้ยิ่งทำให้สีวู่หยาเสี่ยงที่จะวิ่งเข้าหาผู้เป็นอาจารย์ของตัวเอง
ในท้ายที่สุดสีวู่หยาก็ได้ถามออกมา “ศิษย์พี่รอง ข้าไม่อยากที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่ท่านมีหรอกนะ…แต่ดูเหมือนว่าพลังของท่านอาจารย์เองก็ยังเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นกัน”
ยู่ฉางตงขมวดคิ้ว เท้าของเขาได้จุ่มลงไปในน้ำกว่าครึ่งนิ้วได้ ตัวเขาได้ดีดตัวออกมาจากทะเลสาบภายในการเคลื่อนไหวเดียว ในตอนนั้นคลื่นน้ำก็ได้กระเพื่อมขึ้นจากพลังที่ยู่ฉางตงใช้ไป เท้าของเขาไม่ได้เปียกน้ำแม้แต่นิดเดียว ตัวเขาจ้องมองไปที่สีวู่หยาเพื่อที่จะรอฟังคำอธิบายต่อไป
สีวู่หยาได้พูดขึ้น “ที่ด้านนอกหมู่บ้านเมื่อตอนนั้น ข้าเห็นพลังของท่านอาจารย์กับตาตัวเอง ท่านอาจารย์กำลังยืนอยู่บนดอกบัวสีฟ้า…ในตอนแรกข้าคิดว่ามันเป็นพลังจากม่านพลังของภูเขาทอง แต่ข้าคิดผิด พลังนั่นสามารถลบล้างพลังผนึกมนตราที่อยู่บนร่างกายของข้าได้ ถ้าหากเป็นพลังจากม่านพลังจริงมันคงจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่…”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรอ?” ยู่ฉางตงถามกลับมา
“ข้ามั่นใจ” สีวู่หยาตอบกลับไปอย่างจริงจัง “บางทีท่านอาจารย์อาจจะค้นพบวิธีที่จะเอาชนะอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ได้แล้วก็เป็นได้”
สีหน้าที่ดูอ่อนโยนและสุภาพของยู่ฉางตงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจเท่าไหร่ “ศิษย์น้อง ถ้าหากเจ้าพยายามห้ามไม่ให้ข้าต่อสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ด้วยวิธีนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องได้แต่ผิดหวังแน่”
“ท่านเข้าใจข้าผิดแล้วศิษย์พี่ นั่นไม่ใช่ความหมายที่ข้าจะบอกท่านเลย” สีวู่หยาตอบกลับ
“ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำแบบนั้น”
“ข้าสาบานกับสวรรค์ว่าข้าไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น” สีวู่หยาชูนิ้วขึ้นฟ้า
ยู่ฉางตงยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ตัวเขาหันไปรอบๆ อย่างช้าๆ ก่อนที่ดาบยืนยาวจะลอยเข้าหาฝ่ามือของตัวเขาเอง “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าคิดว่าระหว่างช้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใครกันที่จะเป็นผู้ชนะ?”
‘คำถามชักจะยากขึ้นไปทุกที’ สีวู่หยาที่ได้ยินคำถามแบบนั้นพูดไม่ออก ตัวเขาพยายามเก็บสีหน้าเอาไว้ให้ดีที่สุดก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านต้องชนะแน่นอน”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้น” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาเบาๆ “นี่ก็ดึกแล้ว ศิษย์น้องเจ็ดเจ้าก็พักผ่อนซะเถอะ”
ไม่ทันที่เสียงของยู่ฉางตงจะเงียบหายไป ในตอนนั้นก็มีประกายแสงสีฟ้าส่องสว่างจากทิศทางที่หุบเขาเมฆากระจ่างตั้งอยู่ มันเป็นแสงที่ดูเหมือนกับหิ่งห้อย น่าเสียดายที่มันอยู่ไกลเกินไป ด้วยความมืดเช่นนี้คงจะไม่มีใครสังเกตเห็นแสงที่อยู่ไกลไปกว่าหลายไมล์นั่นได้
สีวู่หยายังคงนั่งสมาธิต่อไป ตัวเขากำลังโคจรพลังของตัวเองกลับมา ในหลายวันต่อจากนี้สีวู่หยาจะต้องฟื้นคืนพลังให้ได้มากที่สุด ตัวเขาไม่อยากที่จะเสียเวลาไปแม้แต่นิดเดียว สีวู่หยาได้โคจรพลังต่อไปทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อดวงอาทิตย์กลับมาทอแสงอีกครั้ง สีวู่หยาก็ได้ตื่นขึ้นจากหยดน้ำค้างที่ไหลอาบใบหน้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นตัวเขาก็เห็นศิษย์พี่รองของตัวเองยืนอยู่ด้านข้างแล้ว
ยู่ฉางตงได้ชี้ไปยังทิศที่วิหารเมฆาตั้งอยู่ “ที่นั่นมีควันไฟจากปล่องควันครัว”
สีวู่หยาอยากจะเตือนผู้เป็นศิษย์พี่ว่าการยืนอยู่ข้างๆ ของใครสักคนในขณะที่เขาคนนั้นนอนอยู่เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากเก็บคำพูดนั้นไป ท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ข้าเคยสืบเรื่องของวิหารเมฆามาแล้ว หลังจากที่แม่ชีวู่เหนียนเสียพลังวรยุทธไป นางก็ได้จากวิหารเมฆาไปด้วย แม่ชีที่เหลือไม่มีอะไรให้น่าห่วง แม่ชีของวิหารเมฆาได้ทิ้งที่นั่นกันไปหมดแล้ว ในตอนนี้ก็คงจะมีแต่เสวียงจิ้งเท่านั้นที่อยู่ที่นั่น แล้วทำไมถึงมีควันไฟลอยออกมาจากปล่องครัวกัน?”
“ช่างน่ายินดีจริงๆ” ยู่ฉางตงได้พูดต่อ “เจ้าน่ะยังไม่เข้าใจความน่ายินดีของโลกใบนี้หรอกนะศิษย์น้อง”
“บางทีข้าอาจจะเป็นแบบนั้น” สีวู่หยาได้ตอบกลับมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะพูดอะไร…” ยู่ฉางตงได้หัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากนั้นตัวเขาก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชักดาบยืนยาวออกมา
ร่างอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ปรากฏขึ้น มันมีความสูงกว่า 100 ฟุตด้วยกัน ที่ด้านหลังของร่างอวตารมีดอกบัวสว่างจ้าหมุนรอบตัวเองอยู่
ยู่ฉางตงยืนอยู่ท่ามกลางพลังอวตารของตัวเอง ตัวเขาได้กอดอกก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้อง นอกจากศึกครั้งนี้ข้าก็คงจะไม่มีคู่ต่อสู้ไหนที่คู่ควรกับข้าอีกต่อไปแล้ว” หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดเสริมออกมา “จะมีก็แต่ท่านอาจารย์เท่านั้น”
สีวู่หยามองร่างอวตารอันใหญ่ยักษ์ก่อนที่จะคิดถึงอะไรบางอย่าง บางครั้งตัวเขาก็รู้สึกว่าศิษย์พี่รองคนนี้ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเอามากๆ ตัวเขาไม่เข้าใจเลยว่าฉายาดาบปีศาจจะสร้างชื่อเสียงและทำให้เหล่าผู้คนรู้สึกหวาดกลัวได้ยังไงกันแน่
ภายในวิหารเมฆา
ลู่โจวได้ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะมองไปทางอวตารที่สูงกว่าร้อยฟุต แม้ว่ามันจะอยู่ไกลกว่าหลายไมล์แต่ตัวเขาก็มองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
“ทะเลสาบร้อยกลีบสินะ?”
‘ศิษย์ทรยศแน่ๆ’ ตอนนี้เหลือเวลาอีก 4 วันด้วยกันกว่าที่คูลดาวน์การ์ดจะหายไป ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนอะไร ไม่มีอะไรที่ตัวเขาทำได้อยู่ดีถ้าหากออกไปตอนนี้
ในตอนนั้นเองเสียงของต้วนชิงก็ได้ดังออกมาจากด้านนอก “ท่านผู้อาวุโส เกิดเรื่องขึ้นแล้ว! มีร่างอวตารดอกบัวแปดกลีบปรากฏขึ้น!”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส
ในตอนแรกต้วนชิงวางแผนเอาไว้ว่าจะถามลู่โจวถึงวิธีการรับมือ แต่ในตอนนั้นเองตัวเขาก็คิดอะไรได้ ในตอนนี้มันเร็วจนเกินไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผู้อาวุโสก็คงจะตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้เอง อีกอย่างมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเขา ดังนั้นต้วนชิงจึงคำนับให้ก่อนที่จะตอบกลับมา “ผู้อาวุโส ข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่านเอง”
ไม่ว่าจะยังไงต้วนชิงและชาววิหารปีศาจก็เป็นแค่ผู้ชมที่จะมาชมการต่อสู้เท่านั้น ยังไงซะตัวเขากับพรรคพวกก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้อยู่ดี พลังตรงหน้าที่เห็นก็คือพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ใครก็ตามที่ใช้พลังนี้ขึ้นมาคงจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้เป็นแน่ หลังจากที่พลังอวตารหายไปทะเลสาบร้อยกลีบก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ลู่โจวหลับตาก่อนที่จะทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ
อีกหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป
ลู่โจวรู้สึกว่าพลังพิเศษของตัวเองมันเพิ่งจะฟื้นคืนมาเพียงแค่ 1 ใน 5 เท่านั้น พลังระดับนี้คงจะทำได้เพียงขับไล่ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่คนเดียวได้เท่านั้น พลังมันยังไม่มากพอ ลู่โจวมีเวลาน้อยเกินไป ในตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะทำยังไงตัวเขาก็เร่งความเร็วในการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไม่ได้
ในตอนนั้นเองเสียงของใครบางคนก็ได้ดังออกมาจากด้านนอกอีกครั้ง
“ท่านผู้อาวุโส รถม้าของสำนักอเวย์จีมาถึงที่นี่แล้ว”
ลู่โจวลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะตอบกลับ “เอาล่ะ” ตัวเขาได้ยืนขึ้นก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง
ต้วนชิงและคนอื่นๆ ยืนรออยู่ที่ด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว ต้วนชิงที่เห็นลู่โจวก็ได้พูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส พวกเราได้รับการยืนยันแล้วว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นที่ทะเลสาบร้อยกลีบ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์คนแรกกับศิษย์คนที่สองของท่าน”
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรต้วนชิง ตัวเขาได้เดินออกมายังลานวิหาร ลู่โจวในตอนนี้ต้องการที่จะหาสถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้เพื่อเฝ้ามองดูการต่อสู้ แต่ภายในห้องที่เขาอยู่มันมีมุมมองไม่มากนัก แม้ว่าตัวเขาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบร้อยกลีบแต่สำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในระยะที่ไกลออกไปกว่าหลายไมล์นี้คงจะไม่เห็นการต่อสู้อย่างชัดเจนแน่
ลู่โจวตัดสินใจที่จะเดินไปยังยอดเขาเมฆากระจ่างแทน
ในเวลาเดียวกันรถม้าลอยฟ้าสีดำอันใหญ่ยักษ์ก็กำลังพุ่งตรงไปยังทะเลสาบร้อยกลีบ