My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 366
แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักลั่วจะไม่ตกใจ ชานหยุนเจิ้งไม่คิดที่จะเชื่อแบบนั้น “รีบเอาจดหมายมาให้ข้าซะ!”
สาวกคนนั้นรีบส่งจดหมายให้กับนาง
ชานหยุนเจิ้งอ่านจดหมายก่อนที่จะขมวดคิ้วของนาง เมื่อนางอ่านจบนางก็ได้ส่งจดหมายให้กับผู้อาวุโสคนอื่นๆ
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าช่างชั่วช้าซะจริง!”
“แค่สำนักลั่วขอโทษยังไม่พออีกงั้นหรอ?”
“ถ้าหากเขาจะมาที่นี่จริงพวกเราจะต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ได้กลับไปอีก! พวกเรามีม่านพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อการนี้ ม่านพลังของพวกเราไม่ได้มีไว้โอ้อวดอย่างเดียวทุกคนต่างรู้กันดี! นอกจากนี้…สำนักหยุนยังขัดแย้งกับศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วย พวกเรารีบแจ้งสำนักหยุนให้รู้เรื่องนี้ด้วยจะดีกว่า”
“สำนักหยุนอย่างเดียวไม่พอหรอก จะดีกว่านี้ถ้าหากพาสำนักเทียนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย! ยังไงซะพวกเราสามสำนักล้วนแต่มีต้นกำเนิดเดียวกัน หลังจากที่พวกเรากลับมารวมตัวได้อีกครั้งพวกเราก็จะวางแผนกันต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้านั่น!” ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็พยักหน้าตกลงกัน
ภายในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ลู่โจวได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะพาใครไปที่สำนักลั่วด้วย ทุกๆ คนได้รออยู่ที่ห้องโถงแล้วนั่นเอง
“หมิงซี่หยินเรื่องการซ่อมแซมรถม้าลอยฟ้าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?” ลู่โจวได้ถามออกมา
ผู้คนที่จะเดินทางไปยังสำนักลั่วมีมากเกินกว่าจะใช้สัตว์ขี่ได้ หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นได้ก้าวออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ รถม้าล่องเมฆาซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั๊ว เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
ท้ายที่สุดแล้วฮั๊ววู่เด๋ามาจากสำนักหยุน มันเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ อย่างน้อยๆ ตัวเขาก็คงเป็นคนคุ้นเคยกับที่นั่น “ข้าไม่มีข้อโต้แย้งอะไร”
“ลู่ปิง” ลู่โจวจ้องมองไปที่ลู่ปิง
“ครับท่านผู้อาวุโส!” ลู่ปิงตอบกลับมา
“การขัดเกลาอาวุธธนูจันทราเป็นยังไงบ้าง”
“มันเป็นไปได้อย่างราบรื่นท่านผู้อาวุโส” ลู่ปิงเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการขัดเกลาอาวุธ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจ
ฮั๊วยู่จิงถือคันธนูจันทราก่อนที่จะยื่นมันให้กับลู่โจวไป “ท่านปรมาจารย์ช่วยดูคันธนูด้วย”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่คันธนูจันทรา คำสลักของมันดูชัดเจนมากกว่าเดิม คันธนูจันทราได้เปล่งประกายส่องแสงสดใสกว่าเดิม ตัวเขาพยักหน้าก่อนที่จะส่งธนูคืนให้กับฮั๊วยู่จิงไป “แม้ว่านี่จะไม่ใช่อาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่ดีที่สุด แต่ถ้าหากมีผู้ใช้ที่ดีแล้วอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” ฮั๊วยู่จิงตอบกลับไปอย่างร่าเริง ในตอนนั้นเองค่าความจงรักภักดีของนางที่มีต่อลู่โจวก็เพิ่มมากขึ้น จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องที่เจดีย์ลอยฟ้า ในตอนนั้นเจียงอาเฉียนได้เคยแนะนำให้นางเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า นางไม่คิดที่จะเห็นด้วยเลยกับข้อเสนอแนะในตอนนั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไปฮั๊วยู่จิงก็พบแล้วว่าตัวเองนั้นโง่แค่ไหน
ลู่โจวลุกขึ้นก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง ตัวเขาได้เดินลงไปตามบันได คนอื่นๆ เองก็เดินตามตัวเขามาจากด้านหลัง
เมื่อพิจารณาว่าไม่มีม่านพลังอยู่รอบภูเขาทองอีกต่อไปลู่โจวก็ได้ทิ้งบี่เอี๊ยนไว้บนภูเขาทอง มันจะเป็นผู้เฝ้ายามที่จะป้องกันพวกหนูขโมยทั้งหลาย
บนรถม้าล่องเมฆา
ฮั๊ววู่เด๋าและฮั๊วยู่จิงยืนอยู่ที่ด้านในรถม้า ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วเองก็อยู่ที่ทางด้านกราบขวาเป็นที่เรียบร้อย
ในขณะเดียวกันหมิงซี่หยินก็เป็นคนควบคุมพังงา
รถม้าล่องเมฆาได้ออกไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป มันได้ทิ้งเศษพลังเอาไว้ตามทาง
“พวกเราไม่ได้มีคนน้อยไปอย่างงั้นหรอ?” ฝานลี่เทียนที่นั่งพิงอยู่ในห้องโดยสารกำลังดื่มเหล้าอยู่ ตัวเขารู้สึกว่าควรจะมีการจัดงานเลี้ยงในรถม้า
เล้งลั่วได้เหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบพร่า “ศาลาปีสาจลอยฟ้าไม่มีม่านพลังอีกต่อไป เป็นธรรมดาที่พวกเราจะต้องทิ้งคนไว้เฝ้ายามที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ลู่ปิงสั่นไปทั้งตัว ตัวเขาได้เหลือบมองไปทางซ้ายและขวา ตลอดเวลาที่ตัวเขาได้อยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามาตัวเขาเคยแต่ได้ยินชื่อของผู้อาวุโสทั้งสองมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นลู่ปิงก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นพวกเขาทั้งคู่ ในตอนนี้ทั้งสองคนอยู่บนรถม้าแล้ว ลู่ปิงที่รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกำลังกังวลจนทำอะไรไม่ถูก ‘ทุกคนล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดแห่งยุคสมัยเก่า! นี่ข้าจะต้องอยู่กับพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน!’
ฝานลี่เทียนหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “สิ่งที่ข้ากังวลมีเพียงเรื่องของสุดยอดคนทรงไป่มามากกว่า…”
“เจ้ากลัวว่าคนทรงจะบุกศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ? สัตว์ขี่ของเจ้านั้นน่ะได้ตายแล้ว ข้าแน่ใจว่าตัวเขาเองก็คงจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน มันมากพอแล้วที่เจียงอาเฉียน, ต้วนมู่เฉิง, จ้าวยู่, ซู่ฮ่องกงรวมไปถึงคนอื่นๆ จะเฝ้ายามอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าน่ะ” เล้งลั่วโต้กลับมา
“ต้วนมู่เฉิงน่ะไม่เป็นไรแน่ แต่พลังวรยุทธของจ้าวยู่และซู่ฮ่องกงยังคงไม่มากพอ ในขณะเดียวกันเจียงอาเฉียนเองก็เป็นชายผู้ขี้ขลาด แม้ว่าคนทรงจะได้รับบาดเจ็บแล้วแต่พวกเราก็ประมาทเจ้านั้นไม่ได้อยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วเจ้านั้นก็ยังมีเวทมนตร์คาถาอันลึกลับอยู่” ฝานลี่เทียนพูดต่อ
“การใช้เวทมนตร์คาถาจะต้องอาศัยการเตรียมการ ไม่มีทางแน่นอนที่พวกเขาจะยอมให้คนทรงเตรียมการใช้เวทมนตร์คาถาอยู่ที่ใต้จมูกแบบนั้นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ขี่บี่เอี๊ยนเองก็ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาอีกด้วย!” เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
การทะเลาะวิวาทของพวกเขาทั้งคู่เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ลู่ปิงต้องการที่จะทำให้พวกเขาทั้งคู่สงบลง แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะขัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ตัวเขาจะต้องเจอปัญหาแน่ถ้าทำให้ยอดฝีมือทั้งคู่ต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจ
“พอได้แล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่ถึงแบบนั้นเสียงของเขาก็ดังไปทั่วรถม้าได้
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนหยุดโต้เถียงกันในทันที ทั้งคู่โค้งคำนับให้กับลู่โจวอย่างพร้อมเพรียงกันแทน
ในตอนนั้นเองหัวใจของลู่ปิงก็สั่นไหว ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันถึงจะสยบสุดยอดฝีมืออย่างทั้งสองคนนี้ได้?
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในขณะที่จ้องมองภาพทิวทัศน์ของหุบเขาและแม่น้ำ ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “ผู้อาวุโสเล้ง”
“ท่านเรียกข้าหรอท่านปรมาจารย์?” เล้งลั่วได้ตอบกลับมา
“เมื่อไหร่กันที่เจ้าฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้?” ลู่โจวได้ถามขึ้น
เล้งลั่วได้หยุดคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะตอบกลับ “คงราวๆ 300 ปีที่แล้ว…”
เมื่อได้ฟังแบบนั้นดวงตาของลู่ปิงก็เบิกกว้าง ตัวเขาเหลือบมองดูทั้งคู่ก่อนที่จะใช้ความคิด ‘นี่เป็นเรื่องที่ยอดคนจะพูดกันในชีวิตประจำวันอย่างงั้นหรอ?’
“เจ้าไม่เคยคิดที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบทั้งๆ ที่ฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขั้นที่แปดนานแล้วอย่างงั้นหรอไงกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง
เล้งลั่วตอบกลับ “ข้าได้ฝึกเคล็ดวิชาเต๋าพรางตัว การที่จะฝึกฝนจนไปถึงขั้นสูงสุดในเคล็ดวิชานี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่มีโอกาสที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเลย”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า เล้งลั่วพูดมีเหตุผล คงจะไม่มีใครพยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะให้มีอวตารดอกบัวเก้ากลีบตราบใดที่พวกเขายังไม่พร้อมแน่
“แล้วอาวุโสฝานล่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง
ฝานลี่เทียนวางเหล้าลงก่อนที่จะตอบกลับ “ข้าเคยมีโอกาสนั้นเมื่อ 200 ปีก่อน แต่น่าเสียดายหน้าต่างโอกาสของข้ามันดูเล็กจนเกินไป”
“การฝึกฝนเพื่อข้ามผ่านขีดจำกัดก็เหมือนกับลอดหน้าต่างที่ว่า แต่นั่นไม่ใช่หน้าต่างจริงๆ อย่างงั้นสินะ?” เล้งลั่วได้พูดเปรียบเปรย
“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่อาจที่จะรอดผ่านหน้าต่างนั้นไปได้”
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างสบายๆ “ในความคิดของเจ้าอะไรกันที่จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?”
‘เก้ากลีบอย่างงั้นหรอ?’
เล้งลั่วเป็นตนแรกที่ตอบ “จากทั้งหมดที่ข้ารู้เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ต้องการจะไปอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้ต่างก็พูดเรื่องนี้ แต่ถึงแบบนั้นไม่เคยมีเงื่อนไขหรือเบาะแสใดได้ปรากฏออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแบบนั้นเองข้าก็ไม่อาจรู้ได้…”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
ผู้อาวุโสทั้งสองคนต่างก็เห็นพ้องกันอย่างน่าประหลาดใจ
ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่แน่ใจว่าไม่มีใครรู้คำตอบนี้ไปได้ดีกว่าท่านแล้ว ท่านปรมาจารย์”
ฮั๊ววู่เด๋าพูดถูกแล้ว ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนที่มีพลังเทียบเท่าได้กับพลังที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างลู่โจวมีแล้ว
ลู่โจวได้ตอบกลับ “การที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
“…” เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋าต่างก็พูดไม่ออก
หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋อที่อยู่ด้วยเองก็ตกใจเช่นกัน แน่นอนว่าลู่ปิงก็เบิกตากว้างด้วย
พลังขั้นที่เก้าที่จะทำให้ผู้ฝึกใช้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ถือว่าเป็นการฝึกต้องห้ามก็ว่าได้ การที่จะฝึกไปถึงขั้นนั้นมันมีโอกาสเกิดขึ้นจริงๆ อย่างงั้นหรอ?
เมื่อสิ้นเสียงของลู่โจวความเงียบงันก็ได้เข้าปกคลุมรถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง
หลังจากที่บินมาทั้งวันทั้งคืน ข้ามหุบเขาและแม่น้ำไปกว่าหลายพันไมล์ ในที่สุดหมิงซี่หยินก็เริ่มเห็นยอดเข้าจำนวนมากอยู่ที่ด้านหน้า
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมา “ท่านอาจารย์ ที่นี่มียอดเขาทั้ง 20 แห่งของสามสำนักอยู่…”
ยอดเขาทั้ง 20 แห่งมีลักษณะคล้ายต้นไม้ขนาดยักษ์ มันสูงตระหง่านอยู่บนกลุ่มเมฆ และเพราะความสูงของพวกเทือกเขานี้เองจึงทำให้เทือกเขาทั้งหลายดูเหมือนกับลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ที่นี่คือที่ที่สำนักหยุน, เทียน และลั่วก่อตั้งสำนักขึ้นมา มันเป็นสำนักที่อยู่ดินแดนทางตอนใต้นั่นเอง
“ลู่ปิง นำทางซะ” เป็นเพราะชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ ดังนั้นคงจะง่ายกว่าที่จะให้คนในพื้นที่อย่างลู่ปิงนำทาง
ในตอนนี้ลู่ปิงกำลังรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ตัวเขากำลังกังวลว่าตัวเองจะเป็นผู้พาฝูงหมาป่าไปหาฝูงแกะ ความรู้สึกกังวลยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีเล้งลั่วและฝานลี่เทียนอยู่ด้วย แม้ว่าทั้งสามสำนักจะแข็งแกร่งมากสักแค่ไหน แต่ก็คงจะไม่มีใครอยากสร้างศัตรูกับยอดคนเหล่านี้แน่ ในที่สุดลู่ปิงก็ได้เดินไปหาหมิงซี่หยิน “ต่อจากนี้ข้าจะเป็นผู้นำทางเอง”
หมิงซี่หยินให้ลู่ปิงถือพังงารถม้าแทน
รถม้าล่องเมฆาได้บินไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่ยอดเขาลั่วตั้งอยู่ การที่จะไปยอดเขาแห่งนั้นได้รถม้าจะต้องผ่านม่านพลังต่างๆ นาๆ ไป
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
ทุกครั้งที่รถม้าลอยฟ้าผ่านม่านพลังไป เสียงของอะไรบางอย่างก็จะดังกึกก้องไปทั่ว มันดังไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงสำนักลั่ว
ผู้อาวุโสและเหล่าสาวกต่างก็แห่กันออกมาก่อนที่จะจ้องมองท้องฟ้า ในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นรถม้าขนาดใหญ่ที่กำลังลอยอยู่ หนทางที่รถม้าได้บินผ่านมาได้ทิ้งเศษเสี้ยวของพลังงานเอาไว้จนดูคล้ายกับดาวตกก็ว่าได้