My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 369
การโจมตีของฝานลี่เทียนทำให้ทุกคนตื่นตกใจ
แม้แต่หมิงซี่หยิน, ฮั๊ววู่เด๋า และหยวนเอ๋อเองก็ยังไม่คาดคิดว่าฝานลี่เทียนจะโจมตีอย่างกะทันหันแบบนี้
ฝานลี่เทียนได้ฝึกฝนพลังวรยุทธเต๋าแบบดั้งเดิมมา มันไม่ใช่เคล็ดวิชาเต๋าพรางตัวเหมือนกับที่คนอื่นๆ ได้ฝึกฝน ดังนั้นถ้าหากจะเทียบพลังการต่อสู้ที่สามารถใช้งานได้จริงๆ ฝานลี่เทียนนับว่ามีพลังการต่อสู้ที่เหนือกว่าเล้งลั่ว ดังนั้นเล้งลั่วจึงไม่เคยคิดจะต่อสู้กับฝานลี่เทียนมาโดยตลอด
เมื่อเล้งลั่วได้ยินเสียงของฝานลี่เทียนโจมตี ตัวเขาก็ได้พูดโต้กลับมา “ข้าไม่เข้าใจว่าจะมีใครภาคภูมิใจในตัวเองด้วยการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วยอาวุธประจำตัวแบบนี้”
ฝานลี่เทียนที่ได้ยินแบบนั้นได้เรอก่อนที่จะหัวเราะออกมา “นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าเป็น”
บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักลั่ว
ผู้อาวุโสหลายคนกำลังวิ่งตรงไปที่จือหนานที่ได้รับบาดเจ็บ ในตอนที่จือหนานถูกโจมตีจนตัวเขาได้ถูกพลังระเบิดจากน้ำเต้าหลายทิศทางในเวลาเดียวกัน “ท่านผู้อาวุโส!”
“ผู้อาวุโสจือ!”
จือหนานนอนหงายจ้องมองท้องฟ้า ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับว่ากลั้นหายใจมาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นไม่นานจือหนานก็ไม่อาจที่จะทนได้อีกต่อไป ตัวเขาได้กระอักเลือดออกมา เลือดของจือหนานเปื้อนบนพื้นดินราวกับกลีบดอกท้อสีแดง หลังจากที่หายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาก็ได้ยกมือขวาออกมาด้วยความยากลำบาก “จะ…เจ้า”
ฝานลี่เทียนดูประหลาดใจที่จือหนานยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนี้ตัวเขากำลังเล่นอยู่กับขวดน้ำเต้าในมือตัวเอง
เล้งลั่วได้พูดขึ้น “นั่นคือการโจมตีที่รุนแรงของเจ้าอย่างงั้นหรอ? ช่างเปล่าประโยชน์ซะจริง”
“พลังวรยุทธของข้ายังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มที่ ข้าประเมินผิดไปเอง…” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาอย่างเขินอาย
ผู้อาวุโสทั้งสองจากศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังลอยอยู่เคียงข้างกัน การปรากฏตัวของผู้อาวุโสทั้งสองก็เพียงพอแล้วที่จะข่มขวัญเหล่าผู้อาวุโสแห่งสามสำนักได้
ผู้อาวุโสจากทั้งสามสำนักต่างก็เงยหน้ามองชายชราที่เพิ่งจะปรากฏตัวออกมา
ผมของฝานลี่เทียนดูยุ่งเหยิง ผิวของเขาเหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เก่าแก่
‘ชายชราคนนี้เป็นใครกัน? แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นสุดยอดฝีมือผู้โด่งดังแน่นอน การที่จะสามารถเอาชนะผู้อาวุโสจือหนานด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทำได้แน่นอน’
ในที่สุดฝางเหวินเซียน ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเทียนได้คารวะให้ก่อนที่จะเริ่มต้นพูด “จะให้ข้าเรียกท่านว่ายังไงดีท่านผู้อาวุโส?”
“อะไรกัน…ใครก็ตามที่กล้าขอชื่อของข้า ข้าจะตามไปคิดบัญชีทีหลังแน่” ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับอย่างเกียจคร้าน
เล้งลั่วส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ฝานลี่เทียน คนที่ยึดถือในคุณธรรมมักจะไม่คิดปกปิดชื่อตัวเองหรอกนะ เจ้ากลัวอะไรกัน?”
ทันที่ที่เล้งลั่วเอ่ยชื่อของฝานลี่เทียนออกมา เหล่าฝูงชนก็เริ่มเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง
ผู้อาวุโสทั้งหลายจับกลุ่มรวมกันอภิปราย
ฝานลี่เทียนเป็นหนึ่งในยอดฝีมือผู้ที่เคยแข็งแกร่งที่สุดของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ชายคนนี้ได้ออกจากสำนักไปกว่าหลายศตวรรษก่อนที่จะหายสาบสูญไป ท้ายที่สุดแล้วฝานลี่เทียนก็ได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน? เหล่าผู้อาวุโสแทบอยากจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น มันทำให้ทุกคนรู้ว่าการจะรับมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแทบที่จะเป็นไปได้เลย
สำนักเทียนดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่คนจากสำนักหยุนแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงออกมาอย่างชัดเจน
สำนักหยุนเคยทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่พอใจมาแล้ว ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งใจที่จะสังหารพวกเขาจริงๆ สำนักหยุนจะทำอะไรได้? ท้ายที่สุดแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันแข็งแกร่งพวกเขาก็คงไม่อาจที่จะทำอะไรได้เลย
จ้าวจี ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักหยุนในที่สุดก็ได้พูดออกมา “อย่างงี้นี่เอง นั่นคือผู้อาวุโสฝานเองสินะ”
“ข้าไม่อยากที่จะเสียเวลาเสวนากับเจ้า ไปเรียกปรมาจารย์ของเจ้ามาซะ ข้าน่ะไม่ใช่คนที่มีความเหลืออดเหลือทนมากมายอะไรหรอกนะ” ฝานลี่เทียนตอบกลับมาก่อนที่จะโยนน้ำเต้าไปรอบตัว พลังสีทองจางๆ ได้ลอยไปทั่วอากาศ
สีหน้าของจ้าวจีเริ่มดูบูดบึ้ง ในขณะนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้าก่อนที่จะมองไปยังจ้าวจี “จ้าวจี”
จ้าวจีที่ได้ยินแบบนั้นขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสฮั๊วอย่างงั้นหรอ?”
ทุกคนในสำนักหยุนรู้ดีว่าฮั๊ววู่เด๋าได้ออกจากสำนักหยุนไปก็เพื่อที่จะไปท้าประลองจีเทียนเด๋าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า สำนักหยุนได้สนับสนุนฮั๊ววู่เด๋ามาโดยตลอดเพื่อที่จะให้ตัวเขาเอาชนะปีศาจร้ายของยุคสมัยนี้ แต่เมื่อฮั๊ววู่เด๋าไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปเกินคาด ท้ายที่สุดแล้วฮั๊ววู่เด๋าก็ได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะเอง เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสจากสำนักหยุนรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดต่างก็ประณามฮั๊ววู่เด๋าที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับสำนัก
ฮั๊ววู่เด๋ามองลงไปที่จ้าวจีก่อนที่จะพูดขึ้น “บอกปรมาจารย์ของพวกเจ้าให้แสดงตัวออกมาซะ”
“ฮั๊ววู่เด๋า…เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน…”
พรึ๊บ!
ฮั๊ววู่เด๋าได้กระโดดลงจากรถม้า ในระหว่างที่ตัวเขาร่วงหล่นลงสู่พื้น ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้ปลดปล่อยพลังผนึกตราประทับทั้งหกออกมาด้วย แสงสีทองสดใสได้ขยายใหญ่ออกมา ท้ายที่สุดแล้วเคล็ดวิชานี้ก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาสำหรับจู่โจม ก่อนหน้านี้ฮั๊ววู่เด๋าได้เคยใช้เคล็ดวิชานี้ออกมาเพื่อป้องกันควันพิษจากไป๋หวู่ ในตอนนี้ฮั๊ววู่เด๋าที่ใช้พลังผนึกตราประทับทั้งหกออกมาเป็นเพียงแค่การข่มขู่เท่านั้น ฮั๊ววู่เด๋าสามารถใช้พลังผนึกตราประทับทั้งหกได้เพียงชั่วอึดใจเดียว เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าฮั๊ววู่เด๋ามีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำมากแค่ไหน
ฮั๊ววู่เด๋าเดิมทีเป็นผู้อาวุโสของสำนักหยุน แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นผู้คนจากสำนักหยุนก็ยังเคารพตัวเขาอยู่แม้ว่าจะโกรธเคืองไปด้วยก็ตาม ความเคารพที่มีในตัวฮั๊ววู่เด๋ามันฝังแน่นเกินกว่าที่จะหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของเขาเองก็ยังฟังดูสมเหตุสมผลมากอีกด้วย จีเทียนเด๋า, เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋า ทั้งสี่ล้วนแต่เป็นสุดยอดฝีมือที่มีทั้งประสบการณ์การต่อสู้และความรู้ที่แสนจะกว้างขวาง เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งสี่ท่องไปทั่วยุทธภพในขณะที่หลายคนที่อยู่ตรงนี้ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกซะด้วยซ้ำ การที่จะขัดขืนต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองได้รับความอับอายไปซะเปล่าๆ
ในตอนนั้นเองลู่โจวที่ยังอยู่บนรถม้าในที่สุดก็ได้เอ่ยปากพูดออกมา “หยุนเทียนลั่วออกมาซะ…” เสียงของลู่โจวทั้งลึกล้ำและก้องกังวาล
เรื่องแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของลู่โจวได้แผ่ออกไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดอีก 9 เก้าแห่ง มันเป็นเสียงที่แผ่ออกมาจากรถม้าลอยฟ้าเพียงเท่านั้น…
ผู้คนจากทั้งสามสำนักต่างก็เหลือบมองไปที่รถม้า สีหน้าของทุกคนล้วนแต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว, ตื่นตกใจ หรือแม้แต่ความกังวลเอง ทุกๆ คนได้แต่เหลือบมองไปที่คลื่นเสียง ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบจริงๆ อย่างงั้นหรอ?
แม้แต่เล้งลั่วและฝานลี่เทียนผู้ซึ่งมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลับเองก็ยังตกตะลึง พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าเคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาของสำนักไหนกันแน่ ไม่ว่าวิชาจากลัทธิขงจื๊อหรือแม้แต่เคล็ดวิชาของชาวพุทธเองก็ยังมีเคล็ดวิชาคลื่นเสียงที่ทรงพลัง แต่กลับกันเคล็ดวิชาจากลัทธิเต๋าเป็นวิชาที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้น้อยสุด ในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะถือได้ว่าอ่อนแอเลยด้วยซ้ำไป แต่ถึงแบบนั้นวิชาคลื่นเสียงที่เพิ่งจะถูกปล่อยออกมานั้นยอดเยี่ยมมาก มันเป็นพลังเสียงที่สามารถทะลุผ่านม่านพลังรวมไปถึงเขตแดนต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย มันเป็นพลังที่กระเพื่อมไปทั่วทั้งหุบเขา
เมื่อคลื่นเสียงได้จางหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เงียบสนิท ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงหรือที่จะขยับไปไหน
ผู้อาวุโสจากทั้งสามสำนักและเหล่าสาวกอีกร้อยคนที่ลอยอยู่กลางอากาศต่างก็มองไปยังดินแดนคุณธรรมแห่งสวรรค์ มันเป็นสถานที่ที่ปรมาจารย์แห่งสามสำนักฝึกฝนตัวเองอยู่อย่างสันโดษ…
หมู่เมฆได้แยกตัวออกจากกัน ม่านหมอกเองก็เริ่มที่จะสลายหายไป ในตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มจะปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้ง ทะเลหมอกที่อยู่รอบๆ ดินแดนคุณธรรมแห่งสวรรค์ต่างก็ถูกลมลึกลับพัดพาไป
หลังจากนั้นไม่นานที่ใจกลางดินแดนคุณธรรมแห่งสวรรค์ก็มีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกระเพื่อมออกมา มันทั้งลึกล้ำและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในเสียงที่ดังขึ้นมันเต็มไปด้วยความรำคาญอยู่ในนั้น “พวกเจ้าระวังปากเอาไว้!”
ผู้คนจากในสามสำนักต่างก็จ้องมองไปยังทิศทางที่เหล่าผู้คนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าจ้องมองไป ทุกๆ คนกำลังชื่นชมพลังลมปราณที่กระเพื่อมออกมาจากดินแดนคุณธรรมสวรรค์ พลังนั้นได้ก่อตัวกันก่อนที่จะกลายเป็นพลังฝ่ามือซัดเข้าไปที่แก้มของเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนัก
“ท่านปรมาจารย์ได้โปรดเมตตาข้าด้วย!”
“ท่านปรมาจารย์ได้โปรดเมตตาข้าด้วย!”
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็คุกเข่าลงก่อนที่จะร้องขอความเมตตาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน