My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 374
คนอื่นๆ ต่างก็พูดไม่ออก ดูเหมือนว่าลู่ปิงจะไม่ได้สนใจสำนักลั่วอีกต่อไป แม้ว่าตัวเขาจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักลั่วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นอะไร
ฮั๊ววู่เด๋าเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไป ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก ฮั๊ววู่เด๋าเลือกที่จะคารวะก่อนที่จะกลับไปบนรถม้า
หยุนเทียนลั่วเองหันกลับมาพูดกับลู่โจว “พี่จี หวังว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่”
“ไว้พวกเราไว้พบกัน”
ปรมาจารย์ทั้งสองที่โค้งคำนับให้กันได้จ้องมองกันจากในระยะไกล
ในตอนที่เดินทางกลับลู่ปิงก็ได้คุมพังงารถม้าแทนหมิงซี่หยิน รถม้าลอยฟ้าได้พุ่งผ่านม่านพลังทั้งหลายจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไป ในที่สุดรถม้าล่องเมฆาก็ได้ลอยหายไปจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็รู้สึกโล่งใจ
ปรมาจารย์หยุนเทียนลั่วส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “หนานกงเหว่ย, หยุนวู่จี, เฟิงอี้จือ…”
บรรดาเจ้าสำนักทั้งสามต่างก็ตื่นตกใจ พวกเขารีบเดินมาหาผู้ที่เป็นปรมาจารย์ก่อนที่จะคุกเข่าลง
เหล่าสาวกคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา พวกเขาได้แต่ยืนอยู่ที่ด้านหลัง
“ตอนนี้คำพูดของข้า…เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายไปแล้วสินะ?” หยุนเทียนลั่วถามออกมา
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยท่านเจ้าสำนัก!” หนานกงเหว่ยตอบกลับในทันที
“เจ้ารู้ไหมว่ามีอะไรถูกผนึกอยู่ที่กระดานหมากนั่น” ในตอนนั้นเองเสียงของหยุนเทียนลั่วก็ฟังดูนุ่มนวลมากขึ้น
ทั้งสามคนได้แต่ส่ายหัว
หยุนเทียนลั่วมองไปที่สาวกทั้งสามก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไม่รู้” หนานกงเหว่ยผู้ที่เฝ้าดูทั้งสองคนประลองกันด้วยหมากกระดานไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ตัวเขาเห็นมีเพียงดาบพลังงานบนฟ้ารวมไปถึงแสงสว่างจากเขตแดนพลังบนพื้นดิน หนานกงเหว่ยรู้สึกว่ามันเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนทักษะฝีมือธรรมดาเท่านั้น ตัวเขาไม่คิดเลยว่ามันจะมีอะไรพิเศษ
เมื่อเห็นแบบนั้นหยุนเทียนลั่วก็ได้ส่ายหัวอีกครั้ง ตัวเขาได้จ้องมองไปยังเจ้าสำนักทั้งสามก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าไม่เคยส่งกระดานหมากให้กับพวกเจ้า ข้าได้ปิดผนึกความลับทุกอย่างในตอนที่ข้าฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไว้ในนั้น”
“ท่านปรมาจารย์!” หนานกงเหว่ย, หยุนวู่จี และเฟิงอี้จือต่างก็ร้องเรียกหยุนเทียนลั่วอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งสามต่างก็หมอบกราบลงกับพื้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์ของพวกเขาจะมอบสิ่งสำคัญแบบนี้ให้กับคนนอกแทนที่จะเป็นเจ้าสำนักทั้งสาม
“ทำไมกัน?” หนานกงเหว่ยลุกขึ้นยืนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
“เพราะว่า…พวกเจ้าน่ะยังไม่คู่ควร!”
หยุนเทียนลั่วสะบัดแขนของตัวเองก่อนที่จะหันมองทางอื่น ตัวเขากำลังรู้สึกได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่าน มันเป็นเหมือนกับพลังของคนที่ใกล้กำลังจะตาย
หยุนเทียนบลั่วพูดต่อ “ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าได้เก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ ข้าก็คิดถึงสิ่งที่ได้ทำพลาดไป…ข้าได้พิจารณาทุกอย่างรวมไปถึงความทรงจำที่ข้าได้ปิดผนึกไว้ด้วย แต่เมื่อได้ยินอะไรบางอย่างในรอบชีวิตที่มีกว่าพันปี ข้าก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้ภายในพริบตา…” หยุนเทียนลั่วหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “มันเป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบได้”
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมักจะไม่ชอบเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกทั้งหลายรวมไปถึงประสบการณ์ต่างๆ ให้กับผู้อื่นได้รู้ หลายครั้งบันทึกการฝึกยุทธของยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ยังมีค่ามากกว่าเคล็ดวิชาระดับสูงซะอีก
อย่างไรก็ตามหยุนเทียนลั่วก็รู้แจ้งแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องง่ายมาก เนื่องจากตัวเขาสามารถฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ตัวเขาจะต้องเก็บความรู้เอาไว้กับตัวเอง คงจะดีกว่าถ้าหากได้ส่งมันต่อให้กับผู้อื่น
‘เป็นอย่างที่พีจีพูดไม่ผิด ใครบอกกันว่าทุกอย่างจะจบลง? มันจะต้องมีวิธี ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!’ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้หยุนเทียนลั่วยอมประลองกับลู่โจวด้วยกระดานหมากอันนี้ มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
ถ้าหากตัวเขาได้มอบกระดานหมากนั้นให้กับเจ้าสำนักทั้งสามไป การให้ของตัวเขาก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร มันคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าสำนักทั้งสามตายไปเร็วกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ!
“ท่านปรมาจารย์ แล้วทำไมท่านถึงต้องเลือกปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยล่ะ?” หนานกงเหว่ยได้ถามออกมาอย่างสับสน
“ข้าคิดดีแล้ว” หยุนเทียนลั่วได้หันกลับมาพูดอย่างช้าๆ “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าคุกเข่าขอโทษพี่จี?”
เหล่าเจ้าสำนักทั้งสามต่างก็ส่ายหัว
คราวนี้แม้แต่นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานเองก็ยังมีท่าทีที่สงสัย
หยุนเทียนลั่วได้พูดต่อ “ข้ามีความรู้สึกว่า…บางทีเขาอาจจะหาทางฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้”
เมื่อหยุนเทียนลั่วพูดเช่นนี้ ทุกๆ คนที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็นิ่งเงียบ
ทุกๆ คนจ้องไปที่ปรมาจารย์ของพวกเขา หยุนเทียนลั่วได้ทำให้สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ ถ้าหากมีใครพูดเช่นนี้ขึ้นมาก็คงจะไม่มีใครคนอื่นเชื่อแน่ แต่สิ่งที่พูดมันออกมาจากหยุนเทียนลั่ว ปรมาจารย์ของสำนักทั้งสาม
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?” หนานกงเหว่ยถามออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“พี่จีน่ะแก่กว่าข้า…แต่ถึงแบบนั้นด้วยการประมือกันก่อนหน้านี้ ข้าสามารถเห็นพลังลมปราณที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากตัวเขาได้ การที่จะเห็นแบบนี้ในร่างของผู้ที่ใกล้เข้าถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังคำยืนยันต่างก็เกิดความกลัวขึ้นมาในใจ เจ้าสำนักทั้งสามนึกถึงพลังที่ลู่โจวใช้หยุดลั่วฉีซาน มันเป็นพลังการโจมตีสวนกลับที่จะทำให้พื้นพิภพและผืนฟ้าจะต้องสั่นสะเทือน มันเป็นพลังที่จะทำให้เทพเจ้าและเหล่าปีศาจจะต้องร้องไห้ ยอดฝีมืออย่างลั่วฉีซานได้แพ้ให้กับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ นี่…นี่มันคือสิ่งที่คนที่ใกล้ถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่สามารถทำได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?
“พวกเจ้าน่ะคิดผิดไป แม้ว่าพวกเจ้าจะถูกแต่พวกเจ้าก็ต้องเก็บความถูกต้องนั้นไว้อยู่ดี!” หยุนเทียนลั่วที่หันกลับมาได้เดินไปยังขอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เจ้าสำนักทั้งสามไม่เข้าใจอะไรเลย
สาวกคนอื่นๆ เองได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านปรมาจารย์โปรดพักผ่อนให้สบาย!”
ในตอนนี้รถม้าล่องเมฆาได้ทิ้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์นับสิบเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป
หยวนเอ๋อเกาหัวตัวเอง นางกำลังคิดถึงสิ่งที่หมิงซี่หยินได้พูดก่อนหน้านี้ “ท่านอาจารย์…ถ้าหากสิ่งที่ศิษย์พี่สี่พูดเป็นเรื่องจริง ทำไมพวกเราไม่กวาดล้างสำนักหยุนไปซะล่ะ?”
ลู่ปิงที่อยู่ใกล้ๆ สะดุ้งจนเกือบที่จะเสียหลัก
รถม้าล่องเมฆาได้สั่นคลอนเล็กน้อย
“ข้าต้องขอโทษด้วย” ลู่ปิงอยากที่จะตบหน้าตัวเอง ‘ทำไมข้าถึงต้องอาสาส่งคนเหล่านี้ออกไปกันล่ะ? การไปส่งพวกเขาจะทำให้สมองของข้าได้พักอย่างงั้นหรอ? ไม่สิ ถ้าหากกลับไปยังไงก็ถูกผู้อาวุโสทั้งหลายตำหนิแน่ การออกมากับเหล่ายอดคนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดูดีกว่า’
หยวนเอ๋อพูดเสริม “แล้วชายคนนี้ที่ควบคุมพังงารถม้าอยู่…เขาไม่สมควรที่จะถูกสับเป็นชิ้นๆ หรอกหรอ?”
รถม้าลอยฟ้าได้สั่นคลอนอีกครั้ง ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองหมู่เมฆ
‘หยวนเอ๋อเติบโตขึ้นมาแล้วจริงๆ อย่างน้อยนางก็เข้าใจสิ่งที่หมิงซี่หยินพูดออกมา ถ้าหากนางเข้าใจคำพูดเหล่านั้นแสดงว่านางได้เติบโตมาอย่างถูกต้องแล้วแน่’
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มโดยที่ไม่รอลู่โจวพูด “ศิษย์น้องเล็ก ที่นี่คือดินแดนของสามสำนัก ที่นี่มีม่านพลังจำนวนมากรวมไปถึงเขตแดนพลังมากมาย ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องกวาดล้างทุกคน การกวาดล้างเจ้าพวกนั้นไปก็ไม่ทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเราดีขึ้นมาได้หรอก การทำแบบนั้นมีแต่จะสร้างศัตรูให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเรามากกว่า”
“ค่ะ”
“นอกจากนี้พวกเรายังจะต้องให้เกียรติหยุนเทียนลั่ว ตัวเขาได้ใช้อายุขัยของตัวเองกว่า 20 ปีก็เพื่อที่จะตอบคำถามของท่านอาจารย์ พวกเราคงจะจัดการเจ้าพวกนั้นโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่หยุนเทียนลั่วทำไม่ได้หรอก” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
หยวนเอ๋อพยักหน้าตอบรับรั่วๆ นางในตอนนี้เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกกินเมล็ดพืช “ข้าเข้าใจแล้ว…ขอบคุณมากค่ะท่านอาจารย์”
หมิงซี่หยินเกาหัว ‘ท่านอาจารย์? ไม่ใช่ข้าหรอกหรอที่ต้องขอบคุณ?’
ลู่ปิงรู้สึกงุนงง ‘ยอดคนเหล่านี้จะไม่พูดถึงพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกันหน่อยหรอ? ทำไมพวกเขาถึงไม่พูดเรื่องนี้กัน?’
“ติ้ง! ชี้แนะหยวนเอ๋อ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 100” ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้าอย่างพึงพอใจออกมาเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองลู่ปิงก็ชี้ไปยังพื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
หมิงซี่หยินรีบกระโจนไปที่ขอบรถม้าในทันที ตัวเขามองไปที่ทิศทางที่ลู่ปิงได้ชี้เอาไว้ “ท่านอาจารย์ มีพื้นที่ป่าที่ดูเหี่ยวเฉาอยู่”
ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมองลงไปที่ด้านล่าง
เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋าต่างก็มองไปที่ด้านล่างเช่นกัน
ต้นไม้ที่เห็นบนภูเขาเหี่ยวเฉา…ภูมิทัศน์ที่ได้เห็นดูเหมือนกับจะไร้สิ่งมีชีวิต
“ช้าลงหน่อย”
“ครับ” ลู่ปิงได้ลดระดับความสูงของรถม้าลงและลดความเร็วด้วยเช่นกัน มันกำลังบินอย่างช้าๆ ท่ามกลางพืชพรรณที่เหี่ยวเฉา