My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 384
หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว เขาได้หันกลับมาก่อนที่จะเห็นซู่ฮ่องกงคุกเข่าอยู่ก่อนแล้ว ‘คนที่อยู่เหนือกว่าข้าในด้านนี้ไปแล้วก็มีแต่เจ้าอย่างงั้นสินะศิษย์น้องแปด…’
“ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่…เอ๊ะ ศิษย์พี่สี่ ท่านดูดีกว่าเมื่อวานซะอีกนะเนี่ย” ซู่ฮ่องกงได้ทักทายหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงอย่างกล้าหาญ
หมิงซี่หยิน “…” ตัวเขาไม่ได้ตอบกลับอะไร ‘ข้าจะยกโทษให้เจ้านี่สักครั้งก็แล้วกัน’
ซู่ฮ่องกงได้เดินมหาก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องรายงานท่าน”
“พูดมา”
“ข้าได้รับจดหมายมาจากคนทรยศสีวู่หยามา เขายังคงคิดว่าจะจัดการกับข้าได้ง่ายๆ เหมือนก่อน เขาไม่รู้เลยว่าข้าได้รับคำแนะนำสุดวิเศษกับท่านอาจารย์มา ในตอนนี้ข้าน่ะฉลาดขึ้นมากแล้ว…” ซู่ฮ่องกงที่จะพูดรายงานไม่ลืมที่จะพูดเยินยอลู่โจวที่อยู่ที่นี่ด้วย
“เลิกพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว อ่านจดหมายนั่นซะ” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมาในขณะที่ยกหอกราชันย์ขึ้น
ซู่ฮ่องกงรีบเปิดอ่านจดหมายในทันที “เรียนท่านอาจารย์ อนุญาตให้ข้าคารวะท่านอย่างเคารพด้วยเถอะ…”
ต้วนมู่เฉิงรีบเดินไปหาซู่ฮ่องกงก่อนที่จะคว้าคอเสื้อและยกตัวเขาขึ้นมาจากพื้น “พอได้แล้ว”
มีน้ำตาไหลอาบหน้าของซู่ฮ่องกง “มันเป็นความจริง…นี่คือสิ่งที่จดหมายเขียนเอาไว้”
“…”
“พอได้แล้ว” ลู่โจวขมวดคิ้ว
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นได้รีบปล่อยตัวซู่ฮ่องกงไป
พวกเขาทั้งสองคนคุกเข่าลงกับพื้นในทันที ทุกคนกลัวว่าผู้เป็นอาจารย์จะรู้สึกโกรธพวกเขาเข้า
ลู่โจวมองไปที่ทั้งสองคน ตัวเขาขี้เกียจเกินกว่าจะตำหนิศิษย์ทั้งสอง ลู่โจวเลือกที่จะใช้พลังลมปราณของตัวเองไปที่จดหมายก่อนที่จะคว้ามันมาอ่านซะเอง
แม้ว่าซู่ฮ่องกงจะเป็นชายผู้ที่กล้าหาญที่สุดในโลกก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็จะไม่มีวันกล้าขัดขืนผู้เป็นอาจารย์ของเขาแน่ ซู่ฮ่องกงปล่อยจดหมายให้ลอยออกไปจากมืออย่างโดยดี
ลู่โจวรีบอ่านเนื้อหาในจดหมาย ภายในนั้นมีข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างยู่ฉางตงและจางหยวนฉาน สีวู่หยาดูเหมือนจะมีคำตอบสำหรับเรื่องที่ยู่ฉางตงได้สังหารจางหยวนฉานจนได้รับคะแนนที่มากกว่าปกติ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี
หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ จดหมายเขียนว่าอะไรบ้าง?”
ลู่โจวได้โบกมือก่อนที่จะส่งจดหมายไป
หมิงซี่หยินได้คว้ามันเอาไว้ก่อนที่จะอ่านมันในทันที “ศิษย์พี่รองได้ต่อสู้กับจางหยวนฉานที่แท่นบูชาหยกเขียวอย่างงั้นหรอ? จางหยวนฉานได้สังเวยตัวเองเพื่อคนทรงไป่มา? นอกจากนี้ศิษย์พี่รองยังดูไม่สู้ดีเท่าไหร่? ไป่มากำลังวางแผนที่จะเคลื่อนไหวเพื่อล้มศาลาปีศาจลอยฟ้า ล้างแค้นแทนม่อหลี่? ท่านอาจารย์…เจ้าศิษย์ทรยศสีวู่หยาเชื่อถือไม่ได้แน่!”
“ศิษย์พี่สี่พูดถูกแล้ว! พวกเราไม่ควรเชื่อฟังคำพูดของผู้ทรยศ!”
ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะจ้องมองไปที่ศิษย์ทั้งสามคน “สีวู่หยาน่าจะพูดความจริง” ท้ายที่สุดแล้วแต้มบุญที่ลู่โจวได้ก็คือสิ่งยืนยันคำพูดของสีวู่หยาเป็นอย่างดี
หมิงซี่หยินและซู่ฮ่องกงไม่ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป ในเมื่ออาจารย์ของพวกเขาพูดเช่นนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลเลยที่จะเป็นอื่นไปได้ ทั้งสองได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านอาจารย์ช่างหลักแหลมจริงๆ”
ต้วนมู่เฉิงที่ถือจดหมายเอาไว้ในมือก่อนที่จะพูดออกมา “…ไป่มาเป็นยอดคนทรงผู้ใช้เวทมนตร์คาถาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในลั่วหลาน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของลั่วหลานเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากไป่มาคนนี้ พวกเราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยศิษย์พี่รอง”
ทั้งสามเริ่มรู้สึกกังวล ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่จดหมายของเจียงอาเฉียนเองก็ยังพูดถึงข่าวลือเรื่องนี้
ซู่ฮ่องกงได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์…ข้ามีรายงานอีกเรื่องที่จะต้องพูด”
“พูดซะสิ”
“มีผู้ฝึกยุทธอ่อนหัดมารวมตัวกันที่เชิงเขาภูเขาทองกว่าหลายสิบคนเมื่อวานนี้ ข้าเห็นว่าเจ้าพวกนั้นพยายามที่จะก่อความวุ่นวายเพราะแบบนั้นข้าก็เลยไล่พวกเขาออกไป” ซู่ฮ่องกงได้กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
‘สร้างความวุ่นวาย? เมื่อไหร่ศิษย์น้องแปดจะเลิกพูดเพ้อเจ้อกัน! ใครกันที่จะกล้าสร้างความวุ่นวายให้กับภูเขาทอง?’
หมิงซี่หยินได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องแปด และเจ้าไม่ได้ถามพวกเขาหรือไงกันว่ามาทำอะไรกันแน่?”
ซู่ฮ่องกงได้เกาหัวของตัวเอง “เจ้าพวกนั้นบอกแต่ว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น…เจ้าพวกนั้นก็เลยต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ทำงานการกุศลซะหน่อย ทำไมพวกเราจะต้องไปช่วยด้วยล่ะ!”
หมิงซี่หยินแอบดีใจในความโชคร้ายที่ซู่ฮ่องกงมี ‘ศิษย์น้องแปด เจ้าคงไม่รู้สินะว่าท่านอาจารย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างที่ท่านอาจารย์น่ะล้วนแต่ช่วยเหลือผู้อื่น’ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกประหลาดใจที่ผู้เป็นอาจารย์ของเขาไม่ได้โกรธ
ลู่โจวเดินไปมา การเหี่ยวเฉาของพืชพรรณที่เห็นต้องเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาแน่ ไป่มาอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอีกก็ได้ เมื่อนึกถึงเนื้อหาที่ยู่ฉางตงถูกเขียนในจดหมายตัวเขาก็เริ่มเป็นกังวล ถ้าหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีต ลู่โจวก็คงจะไม่ต้องกังวลเลย ยู่ฉางตงมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ แต่ในครั้งนี้ตัวเขารู้สึกแตกต่าง ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของยู่ฉางตงลู่โจวจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้ยังไงกัน?
เมื่อหมิงซี่หยินเห็นผู้เป็นอาจารย์กำลังใช้ความคิด ตัวเขาก็ได้เดาได้ทันทีว่าลู่โจวคิดอะไรอยู่ “ข้ายินดีที่จะตรวจสอบเหตุการณ์นี้ให้เอง”
ซู่ฮ่องกงเองก็โค้งคำนับก่อนที่จะพูดเช่นกัน “ข้ายินดีที่จะไปกับศิษย์พี่สี่ ลงจากภูเขาทองเพื่อตรวจสอบเรื่องในครั้งนี้เอง”
ลู่โจวจ้องมองไปที่ศิษย์ทั้งสองของตัวเอง ถ้าหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีต ตัวเขาก็คงจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบหมายงานนี้ให้ แต่เมื่อคิดถึงไป่มา ยอดคนทรงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม้แต่ยู่ฉางตงเองก็ยังเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากกับการจัดการไป่มา การที่จะส่งหมิงซี่หยินและซู่ฮ่องกงไปตรวจสอบตาม ไม่เท่ากับว่าส่งพวกเขาไปสู่ความตายอย่างงั้นหรอ?
หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้พึมพำออกมา “ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน ยังไงซะยู่ฉางตงก็คงจะกลับมาศาลาปีศาจลอยฟ้าในไม่เร็วก็ไม่ช้า…”
ศิษย์ทั้งสามที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ขานรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ท่านอาจารย์ฉลาดหลักแหลมจริงๆ”
…
10 วันได้ผ่านไปชั่วพริบตา ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่อย่างใด
ในคืนวันที่ 11 ภายในสุสานป่าแห่งหนึ่ง
มีใครคนหนึ่งได้บินออกมาจากต้นไม้พร้อมๆ กับห่อผ้า
ไม่นานนักซากศพจำนวนมากก็ได้เกาะกลุ่มกันก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ ถ้าหากมองจากบนฟ้าเหล่าซากศพที่มารวมตัวกันดูไม่ต่างอะไรจากพวกมดเลย
ด้านหลังของชายคนนั้นมีรถม้าสีดำขนาดเล็กลอยตามมา มันได้บินอยู่ในระดับความสูงต่ำ มีชายสองคนกำลังควบคุมรถม้าคันนั้นเอาไว้
ชายร่างท้วมได้ยืนอยู่เหนือรถม้าลอยฟ้า ดวงตาของเขาได้ส่องแสงสีเขียวออกมาในยามค่ำคืน ชายคนนั้นได้มองไปที่กองทหารทั้งหลายด้วยความยินดี นี่คือกองกำลังที่ชายคนนี้ได้รวบรวมมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยหลายวันหลายคืน ชายคนนั้นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะพึงพอใจ…”
พรึ๊บ!
รถม้าสีดำได้พุ่งนำเหล่ากองทหารซากศพก่อนที่จะนำหน้าพวกมันไป
…
ในขณะเดียวกัน
ที่ท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป 10,000 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ชายชุดเขียวกำลังลอยอยู่เหนือหุบเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่หลายลูกด้วยกัน ในตอนนี้ตัวเขากำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงต้นไม้และหิมะเท่านั้น ไม่มีสัญญาณใดๆ ของสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย
เกล็ดหิมะได้ตกลงบนหัวของยู่ฉางตงก่อนที่จะมีลมพัดผ่านไป ตัวเขาไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย เกล็ดหิมะสีขาวเกาะอยู่บนเส้นผมรวมไปถึงคิ้วของตัวเขา
ยู่ฉางตงยังคงยืนกอดอก ดาบยืนยาวที่ด้านหลังของเขากำลังสั่นตัวเองเบาๆ ราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ท่ามกลางสายลมและหิมะยู่ฉางตงก็ได้ยิ้มจางๆ ออกมา “ข้าได้กลับบ้านแล้ว”
ยู่ฉางตงได้ก้าวไปที่ด้านหน้า ด้วยการเคลื่อนไหวที่เร็วดุจดั่งสายฟ้าทำให้ยู่ฉางตงเดินทางไปได้ไกลกว่าหลายร้อยฟุต ในเวลาต่อมาตัวเขาก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้งบนยอดไม้สูงสุด ดูเหมือนว่ายู่ฉางตงเองจะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ ที่ที่ยู่ฉางตงอยู่เป็นที่ราบขนาดเล็กที่มีกว่าหลายสิบไมล์ด้วยกัน มันถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเขา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ, เถาวัลย์, ต้นไม้ และชิ้นส่วนของกำแพงที่ถูกพังทลายสามารถมองเห็นได้อย่างคลุมเครือ
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเดิมมีแต่เพียงผู้คนที่เปลี่ยนไป
ยู่ฉางตงได้เคาะปลายเท้าลงบนพื้น
แคร๊ก!
หิมะบนต้นไม้เลื่อนหลุดลอยไป ในตอนนี้ต้นไม้สูงที่ตั้งตระหง่านไร้ซึ่งหิมะปกครองไปแล้วนั่นเอง
ยู่ฉางตงได้บินต่อไปที่ด้านหน้า เมื่อเดินทางมาถึงได้ครึ่งทางตัวเขาก็ได้ยินเสียงอู้อี้ของอะไรบางอย่างที่กำลังแกว่งไปแกว่งมา
“หืม?” ยู่ฉางตงหยุดเคลื่อนไหวกลางอากาศ ตัวเขาได้ลดแขนลงก่อนที่จะผสานฝ่ามือของตัวเอง
หวือ!
พลังอวตารร้อยวิถีของตัวเขาได้ปรากฏตัวขึ้น ยู่ฉางตงได้ย้ายอวตารที่มีลักษณะคล้ายกับรูปปั้นไปที่ฝ่ามือของตัวเอง ตัวเขาได้จ้องมองไปที่ดอกบัวทองคำที่อยู่ใต้อวตาร มีจุดสีม่วงเพิ่มมากขึ้น จนถึงตอนนี้ที่ดอกบัวทองคำมีจุดสีม่วงถึงหนึ่งในสามส่วนแล้วนั่นเอง “นี่มันเวทมนตร์คาถาอย่างงั้นสินะ?”