My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 385
ยู่ฉางตงจ้องมองไปที่ดอกบัวทองคำของตัวเองด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้หายเครียดอย่างรวดเร็ว ยู่ฉางตงไม่ได้รู้สึกกลัว, กังวล หรือหวั่นเกรงอะไร ตัวเขาได้ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัว “นี่ข้าประมาทไปซะได้”
ภาพการต่อสู้ของจางหยวนฉานและยู่ฉางตงก็ได้ปรากฏขึ้นในใจ ในตอนสุดท้ายดอกบัวทองคำของตัวเขาได้เข้าสัมผัสกับพลังเวทมนตร์คาถา ทั้งดาบ, อวตาร รวมไปถึงดอกบัวทองต่างก็ถูกใช้เพื่อบดขยี้หนวดพลังงาน หลังจากการต่อสู้ เพียงเวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นดอกบัวทองคำของยู่ฉางตงก็แปดเปื้อนไปมากกว่าหนึ่งในสามส่วนแล้ว…ถ้าหากคำนวณไม่ผิดคงจะเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่ดอกบัวทองคำของยู่ฉางตงจะถูกเวทมนตร์คาถาครอบนำทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่มีใครช่วยชีวิตตัวเขาได้อีกต่อไป
ยู่ฉางตงได้ขยับมือของตัวเอง พลังอวตารร้อยวิถีของตัวเขาก็ได้หายไป ยู่ฉางตงยังคงบินไปข้างหน้า ตัวเขาเลือกที่จะบินไปยังที่ราบที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าของยู่ฉางตงยังคงเงียบสงบ ตัวเขาได้เหวี่ยงแขนของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า
หวืออ!
พลังอวตารของยู่ฉางตงได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง! ร่างอวตารที่สูงกว่า 100 ฟุตได้ปลดปล่อยลมร้อนออกมา
แม้ว่าหนึ่งในสามของดอกบัวทองคำจะถูกพลังเวทมนตร์คาถาแปดเปื้อน แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้อยู่ดี ด้วยพลังที่เพิ่มมากขึ้นทำให้หิมะที่อยู่รอบข้างละลายหายไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นชั้นหิมะที่อยู่ห่างออกไปกว่าหลายพันเมตรก็ถูกพลังลมปราณของยู่ฉางตงหลอมละลายไปในที่สุด
เมื่อหิมะทั้งหลายละลายหายไปลักษณะดั้งเดิมของดินแดนแห่งนี้ก็ถูกเปิดเผยขึ้น ยู่ฉางตงสามารถมองเห็นกิ่งก้านของต้นเมลิล็อตได้ แม้ว่าพวกมันจะถูกหิมะกลบแต่ต้นเมลิล็อตก็ยังจะสามารถเติบโตต่อไปได้
ที่ด้านหน้าทางเข้ามีรูปปั้นอะไรบางอย่างตั้งอยู่ 2 จุด ถ้าหากดูจากลักษณะที่หลงเหลืออยู่ของมันแล้วรูปปั้นทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะเป็นเสือ แต่เพราะความเสียหายที่มันได้รับมาตามกาลเวลาทำให้รูปปั้นพวกนี้เหลือร่างกายเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
มีต้นไม้และใบหญ้าปกคลุมพื้นดิน
นอกเหนือจากต้นเมลิล็อตแล้วแทบที่จะไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ เหลืออยู่อีก ดูเหมือนว่าอารยธรรมจากอดีตจะถูกฝังลึกลงไปในดินแดนแห่งนี้แล้วนั่นเอง
มีฝูงหมาป่ากำลังร้องโหยหวนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เหล่านกที่ได้รับผลกระทบจากพลังอวตารเองก็ได้แต่บินหนี
สัตว์ร้ายระดับต่ำที่รู้ถึงการปรากฏตัวของยู่ฉางตงได้แต่ถอยห่างออกไป
ยู่ฉางตงได้แต่ส่ายหัว เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งต่างๆ อาจจะยังคงอยู่ แต่ถึงแบบนั้นผู้คนที่มีก็ได้เปลี่ยนไปซะแล้ว
ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็สังเกตกลุ่มหมาป่ากลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขา พวกมันกำลังจ้องมองมาที่ตัวเขา
‘หมาป่าพวกนี้ไม่ได้เกรงกลัวข้าเลยอย่างงั้นหรอ? น่าสนใจ!’ ยู่ฉางตงยิ้ม ตัวเขาได้บินไปหาหมาป่าพวกนั้น แม้ว่าพวกมันจะเป็นหมาป่าที่มีอยู่ในโลกยุทธภพ แต่ถึงแบบนั้นตามนิสัยดั้งเดิมที่พวกพวกหมาป่ามี พวกมันไม่เลือกที่จะเข้าใกล้กับมนุษย์แน่ หมาป่าพวกนี้ดูเหมือนจะมีพลังลมปราณอ่อนๆ อยู่ที่ตัว ในเรื่องของความเร็วแล้วพวกมันก็ยังมีมากกว่าหมาป่าธรรมดา
เมื่อฝูงหมาป่าเห็นยู่ฉางตงกำลังตรงมาที่พวกมัน พวกมันก็เริ่มที่จะหันตัวไปอีกทางก่อนที่จะออกวิ่งในทันที
ร่างกายของยู่ฉางตงแทบที่จะบินขนานไปกับพื้น ที่รอบตัวของเขามีม่านพลังอัดแน่นจนกลายมาเป็นพลังป้องกันตัวเอง ยู่ฉางตงกำลังพุ่งผ่านหุบเขาและป่าไม้ไปเรื่อยๆ
ในที่สุดฝูงหมาป่าก็ได้หยุดวิ่งอยู่ใต้ยอดเขาแห่งหนึ่ง มันเป็นยอดเขาสูงชันที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ในขณะที่ฝูงหมาป่ากำลังร้องโหยหวนอยู่ที่บนหิมะ ยู่ฉางตงก็ได้มองไปที่พวกมันในขณะที่ลอยอยู่บนอากาศ
ยู่ฉางตงได้หัวเราะออกมาเบาๆ “นี่คือที่ที่พวกเจ้าต้องการพาข้ามาอย่างงั้นสินะ?”
หมาป่าได้ร้องโหยหวนราวกับว่าพวกมันกำลังตอบสนองกับยู่ฉางตงอยู่
“เอาล่ะ ใช่อย่างที่ข้าคิดอย่างงั้นสินะ?”
ฝูงหมาป่าได้ร้องโหยหวนอีกครั้ง
“นี่คงจะเป็นวิธีของพวกเจ้า ไว้พวกเราค่อยพบกันใหม่เหล่าหมาป่า”
ฝูงหมาป่าทั้งหลายได้หันกลับไปทางซ้ายก่อนที่จะเดินจากไป
ยู่ฉางตงได้มองไปที่กำแพงหน้าผาที่อยู่ด้านหน้าของตัวเองก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งของเขากระแทกเข้าไปที่มัน
ตู๊ม!
แรงกระแทกที่กระแทกเข้าใส่หน้าผาได้ทำให้หิมะทั้งหมดจางหายไป ในที่สุดรูปลักษณ์เดิมของหน้าผาก็ถูกเปิดเผยขึ้นมาอีกครั้ง
“ประตูหิน?” ยู่ฉางตงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาได้เดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะจ้องมองอักษรที่อยู่บนประตูหิน มันได้เขียนเอาไว้ว่า ‘สุสานเมลิล็อต’
‘สุสานเมลิล็อตอย่างงั้นหรอ?’ แม้ว่ายู่ฉางตงจะเป็นคนที่มีทั้งร่างกายที่แข็งแกร่งรวมไปถึงจิตวิญญาณอันแรงกล้า แต่ตัวเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้เห็นคำพูดเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่ยู่ฉางตงรู้ดีว่าคำพวกนี้หมายความว่าอะไร
ยู่ฉางตงได้ใช้ความทรงจำที่เลือนรางเป็นแนวทาง ตัวเขาได้ยกมือขวาขึ้นมาก่อนที่จะสะบัดนิ้วทั้งสองนิ้ว หยดเลือดของยู่ฉางตงได้ไหลรินไปที่กำแพงหน้าผา
เขตแดนพลังที่อยู่บนหน้าผาได้ส่องประกายสีเลือดออกมา มันเป็นแสงที่มาจากเลือดของยู่ฉางตงนั่นเอง
เมื่อเห็นแบบนี้ยู่ฉางตงก็เริ่มจะมั่นใจแล้วว่าสุสานที่นี่คือสุสานที่เหล่าชนชั้นสูง บรรพบุรษของตัวเขาทิ้งไว้
ครืดดด!
ประตูหินถูกเลื่อนออก
ยู่ฉางตงเดินเข้าไปที่สุสานอย่างไม่ลังเล
ช่วงเวลาที่เข้าไปยังสุสานเมลิล็อต
ครืดด!
ประตูหินก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว
ที่สุสานแห่งนี้มีแสงจากธรรมชาติสลัวๆ แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไร ตัวเขาค่อยๆ ฝึกใช้สายตาให้ชินก่อนที่จะก้าวต่อ ภาพที่อยู่ด้านหน้าของยู่ฉางตงได้ทำให้ตัวเขาตกใจเล็กน้อย มีกองกระดูกสีขาววางอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ
‘เมลิล็อตจะเบ่งบานในรุ่งอรุณก่อนที่จะเหี่ยวเฉาไปในยามค่ำคืน เหล่าผู้อพยพทั้งหลายของเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์นี่จนวันตายสินะ?’
ยู่ฉางตงเดินเข้าไปในส่วนลึกของสุสานมากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าไปที่ด้านในสุด ยู่ฉางตงก็ไม่เห็นกองกระดูกอีกต่อไป
ตรงใจกลางที่ส่วนลึกของลานทรงกลม ยู่ฉางตงก็ได้เงยหน้าขึ้นมองเพดาน ไม่มีอะไรที่ให้สังเกตเห็นไปได้นอกจากตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้ด้านบน มันเป็นคำที่เขียนว่า ‘ชีวิตที่ยืนยาว’
ยู่ฉางตงส่ายหัว
เหล่าชนชั้นสูงที่อายุขัยสั้นไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ในการแสวงหาชีวิตที่ยืนยาว…แต่ถึงแบบนั้นความจริงก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี คนธรรมดาจากเหล่าชนชั้นสูงมักจะมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 ปีเท่านั้น ถ้าหากพวกเขาได้รับการฝึกฝนวรยุทธ อายุขัยของเหล่าชนชั้นสูงก็จะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับยอดฝีมืออย่างยู่ฉางตงที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้มีอายุขัยแค่เพียง 500 ปีเท่านั้น มันเป็นอายุขัยที่ได้รับความช่วยเหลือมาจากพลังดาบยืนยาวแล้วนั่นเอง
ในโลกของยุทธภพ การเอาชีวิตรอดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าหากไม่มีเวลามากพอ การที่จะฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่านี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน? นี่ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับเหล่าชนชั้นสูง…คนรุ่นใหม่มักจะมีอายุขัยน้อยลงกว่าคนรุ่นก่อนเสมอ การตายสำหรับเหล่าชนชั้นสูงเป็นอะไรที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ยู่ฉางตงเป็นหนึ่งในสมาชิกรุ่นใหม่ที่ไม่คิดที่จะยอมแพ้ให้กับโชคชะตา…
…
ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ณ ภูเขาทอง
ในที่สุดตอนนี้ก็เป็นเวลาของยามค่ำคืน
รถม้าสีดำพร้อมกับใครสองคนได้ลอยอยู่เหนือมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้ามาใกล้ภูเขาทองมากขึ้น
“หยุด!” เสียงอันนุ่มลึกของใครบางคนบนจากด้านในรถม้าได้ดังออกมา
เหล่าซากศพได้ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด พวกมันทั้งหมดหยุดเคลื่อนไหวไปในทันที
ผู้ที่อยู่บนรถม้าได้จ้องมองไปยังกองทัพที่อยู่ด้านล่างก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักเฮ้งชู ฉางจิน…”
พรึ๊บ! พรึ๊บ!
หนึ่งในผู้ที่อยู่ด้านล่างได้หันไปรอบๆ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังรถม้าสีดำ ดวงตาของชายคนนั้นแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา ที่คอของชายคนนี้มีรอยแผลอยู่
ไป่มาได้หยิบเครื่องรางขึ้นมา ตัวเขาได้ใช้มือวาดสัญลักษณ์อยู่หลายครั้งก่อนที่จะโยนมันออกไป เครื่องรางที่กลายเป็นยันต์ได้ไปติดตัวของฉางจิน
“ไปซะ”
ฉางจินได้ตอบกลับมาราวกับเป็นการตอบโต้อัตโนมัติ “เข้าใจแล้ว…” หลังจากที่ได้ฟังแบบนั้นฉางจินก็วิ่งตรงไปยังหุบเขาทองอย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งความลังเล
หุบเขาทองในปัจจุบันไม่ได้รับการปกป้องจากม่านพลังอีกต่อไป เป็นธรรมดาที่แขกผู้มาเยือนจะไม่ถูกอะไรขัดขวางอีก
ฉางจินเคยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเฮ้งชู ในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ชายคนนี้มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบ ในเวลาไม่นานฉางจินก็ได้วิ่งถึงหุบเขาทอง ตัวเขาได้เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่แยแสก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนภูเขาต่อ ลมกระโชกแรงได้พัดผ่านในขณะที่เคลื่อนไหว
“ใครกันที่กล้าบุกรุกหุบเขาทอง?”
โจวจี้เฟิงได้ใช้ดาบของตัวเองบินผ่านมา ตัวเขาได้เหลือบไปเห็นผู้บุกรุกผู้ซึ่งดูน่าหวาดกลัว โจวจี้เฟิงไม่เคยเห็นคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ฉางจินไม่ได้ตอบกลับในขณะที่วิ่งต่อไป
โจวจี้เฟิงโจมตีจากฟากฟ้า ดาบพลังงานจำนวนมากได้พุ่งเข้าหาฉางจิน
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ดาบพลังงานไม่อาจที่จะแทงทะลุร่างชายผู้บุกรุกได้ ฉางจินแข็งแกร่งจนเกินไป
“อะไรกัน…” โจวจี้เฟิงรู้ได้ทันทีว่านี่คือสัตว์ประหลาดที่ตัวเขาไม่อาจจัดการได้ โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นรีบบินกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ในขณะเดียวกันฉางจิงเองก็ยังคงวิ่งต่อไป