My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 391
ลู่โจวรู้สึกสับสน ‘นักบวชพวกนี้มาทำอะไรที่นี่กัน?’
นอกเหนือจากโจวจี้เฟิง, ฝานซง, และเหล่าสาวกทั้งหลายกำลังอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้วย มีเพียงผู้อาวุโสทั้งหลายเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
“อรุณสวัสดิ์ท่านปรมาจารย์จี” เหล่านักบวชได้โค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน
ลู่โจวยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขากำลังรอคำอธิบายจากปากของซู่จิง
ซู่จิงที่เดินมาหาลู่โจวได้อธิบายออกมาในทันที “วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้รับสาวกใหม่ทั้ง 2,000 คนมา อาตมาได้เรียกพวกเขาทั้งหมดมาเป็นกำลังเสริม แต่เมื่อการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไปแล้วพวกเขาก็เพิ่งจะมาถึง แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็สามารถช่วยเหลือในการจัดการกับซากศพทั้งหลายได้ พวกเราโชคดีจริงๆ ที่ได้เรียกเหล่าสาวกใหม่มา ตอนนี้ตีนเขาได้กลับมาเป็นแบบเดิมแล้ว”
ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นพยักหน้า ตัวเขารู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่จะให้เหล่าสาวกใหม่ทั้งหมดดูแลงานเก็บกวาดที่เหลือ “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซู่จิงได้พูดออกมาอย่างลำบากใจอีกครั้ง “แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่ใกล้กับหุบเขาทองต้องเหี่ยวเฉาไป ข้าได้ลองใช้พลังเมตตาธรรมแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”
การเหี่ยวเฉาของเหล่าพืชพรรณอยู่ในความคาดหมายของลู่โจวแล้ว โชคยังดีที่ตัวเขาสามารถจัดการหมอกควันสีม่วงไปได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นต้นไม้ทั่วทั้งหุบเขาทองคงจะต้องเหี่ยวเฉาไปหมดแล้วแน่ ลู่โจวในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ในที่สุดตัวเขาก็ตัดสินใจที่จะฟื้นฟูม่านพลัง ถ้าหากไม่มีม่านพลัง ไม่มีทางเลยที่ลู่โจวจะปกป้องหุบเขาแห่งนี้โดยที่ไม่ให้ศัตรูขึ้นมาได้
ซู่จิงพูดต่อ “ท่านปรมาจารย์ ลูกประคำอธิษฐานที่ท่านได้มอบให้กับอาตมาเป็นของที่ล้ำค่าจนเกินไป อาตมาไม่สามารถรับมันกลับไปได้ ท่านได้โปรดรับคืนไปด้วยเถอะ” ซู่จิงได้ถอดประคำของตัวเองออกจากคอก่อนที่จะมอบให้กับลู่โจวด้วยมือทั้งสองข้างด้วยความเคารพ
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ลูกประคำอธิษฐาน ‘จะมีลูกศิษย์คนไหนกันที่ยอมรับของจากนักบวชแบบนี้?’ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ข้าไม่เคยชอบเหล่านักบวชมาก่อน เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่เจ้าได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้ ข้าจะไม่รับลูกประคำคืนกลับมา”
ซู่จิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้น เมื่อตัวเขาได้รับลูกประคำอธิษฐานมาเมื่อคืนวาน ซู่จิงก็คิดมาโดยตลอดว่ามันเป็นกลอุบายของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่จะตัดสินใจมอบอาวุธชิ้นสำคัญให้กับตัวเขาก็เพื่อขอความช่วยเหลือเพียงชั่วคราว ตัวเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เก็บอาวุธชิ้นนี้เอาไว้ เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากของลู่โจวเอง สีหน้าแห่งความรู้สึกผิดก็ได้แสดงออกที่ใบหน้าของซู่จิง ท้ายที่สุดแล้วผู้มีพระคุณกลับมอบของขวัญให้กับตัวเขาด้วยความจริงใจ ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่ลู่โจวมีให้อย่างสุดซึ้ง “อาตมารู้สึกละอายแก่ใจจริงๆ”
นี่เป็นความคิดที่คู่ควรกับนักบวชเฒ่าอย่างงั้นหรอไงกัน? ซู่จิงรู้สึกละอายใจมากจนแทบที่จะแทรกแผ่นดินหนี
ในทางกลับกันลู่โจวไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องของซู่จิงเลย ในที่สุดตัวเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสาวกของตัวเขาถึงไม่ชอบผู้คนจากสำนักฝ่ายธรรมะ ผู้คนที่อยู่สำนักฝ่ายธรรมะมักจะถือตัวเองว่าสูงส่งกว่าผู้อื่น ‘ฉันก็แค่มอบลูกประคำให้ก็เพราะต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นลูกประคำนี่ยังไม่ได้มีค่าอะไรด้วย ทำไมนักบวชนี่ยังไม่เลิกคิดมากกัน?’
ซู่จิงได้กลับไปสวมลูกประคำอธิษฐานที่คอตัวเองเช่นเดิม ตัวเขาได้ยกจีวรขึ้นมาก่อนที่จะแสดงท่าทีที่จริงจังออกมา “ในนามของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ อาตมาขอบคุณปรมาจารย์จี”
เมื่อเห็นแบบนั้นเป็นธรรมดาที่เหล่าสาวกของซู่จิงจะไม่อาจอยู่เฉยได้ ทุกๆ คนที่มารวมตัวกันต่างก็คำนับให้กับลู่โจวด้วยเช่นกัน
“ติ้ง! ได้รับการคารวะจากใจจริงของเหล่านักบวช 1,020 คน ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 10,200”
‘หืม?’ ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินการแจ้งเตือนนี้ ทันใดนั้นเองตัวเขาก็จำได้ว่าซู่จิงเคยพูดว่าวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มีสาวกหน้าใหม่เพิ่มมากยิ่งขึ้น การที่คนคนเดิมจะคารวะให้กับตัวเขาอย่างใจจริงซ้ำๆ ทำให้ลู่โจวไม่ได้รับคะแนนเพิ่มเติม การมาถึงของเหล่าสาวกใหม่ทั้ง 1,020 คนเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจไปแล้ว
ลู่โจวที่ได้เห็นการแจ้งเตือนรู้สึกถูกแล้วที่ได้มอบลูกประคำให้กับซู่จิงไป
อย่างไรก็ตามวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของวิหารปีศาจ มันเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากที่สำนักอื่นๆ มีให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า ลู่โจวไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีผู้อื่นตอบแทนตัวเขาเพียงแค่มอบอะไรบางอย่างให้เท่านั้น
…
ในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ซู่จิงก็ยังยืนกรานอยู่ต่อเพื่อแสดงความขอบคุณ ซู่จิงได้ทำความสะอาดศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างละเอียด นอกจากพืชที่เชิงเขาที่เหี่ยวเฉาไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกจัดการจนเหมือนเก่าอีกครั้งโดยเหล่านักบวช
…
ในช่วงเช้าของวันๆ หนึ่งลู่โจวยังคงนั่งทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เช่นเคย ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้เดินเข้ามาทางศาลาตะวันออกพร้อมกับจดหมายในมือ ตัวเขาได้โค้งคำนับให้ด้วยท่าทีที่หงุดหงิดก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ มีจดหมายมาจากเจียงอาเฉียน”
ลู่โจวสัมผัสได้ถึงความรำคาญที่หลุดรอดออกมาจากน้ำเสียงของหมิงซี่หยินได้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร “อ่านซะ”
หมิงซี่หยินได้คลี่จดหมายออกมาก่อนที่จะเริ่มอ่าน “ผู้อาวุโส ศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะบดขยี้ผู้ใช้เวทมนตร์คาถาไปแล้วอย่างงั้นสินะ? ในตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? สำนักใหญ่ทั่วโลกกำลังพูดถึงพืชพรรณที่เหี่ยวเฉาบนหุบเขาทองเพียงชั่วข้ามคืน นั่นไม่ใช่ข่าวที่ดีเลย…”
เมื่ออ่านข้อความมาถึงตอนนี้หมิงซี่หยินก็ได้พึมพำขึ้นมา “โทษทีนะพวกเราบดขยี้คนทรงนั่นไปแล้ว”
“อ่านต่อซะ” ลู่โจวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่ง
หมิงซี่หยินไม่กล้าพูดนอกเรื่องต่อ ตัวเขาได้อ่านจดหมายออกเสียงอีกครั้ง “ข้าต้องขอเตือนท่านก่อนให้ท่านระหว่างสำนักฝ่ายธรรมะที่กลายเป็นพันธมิตรกันให้ดี นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีข้อมูลสำคัญอะไรที่จะมอบให้…ข่าวการตายของไป่มาได้มาถึงลั่วหลานแล้ว เหล่าราชวงศ์ของลั่วหลานต่างก็รู้สึกโกรธแค้นกับเรื่องนี้ พวกเขาได้ส่งผู้ฝึกยุทธกว่าหลายร้อยคนไปที่ดินแดนลั่วหรี่เพื่อหาพันธมิตรเพิ่มเติม…ท่านผู้อาวุโสคิดว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนกัน?”
‘ข้าจะจับสหายคนนี้เปลี่ยนให้กลายเป็นดาบแน่ถ้าหากข้าเห็นเขาครั้งต่อไป’ หมิงซี่หยินได้แต่ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองก่อนที่จะอ่านจดหมายต่อไป “พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่มณฑลเหลียง บังเอิญว่าศิษย์คนแรกและศิษย์คนที่เจ็ดของท่านกำลังมุ่งหน้าไปที่ทางตอนเหนือ ดูเหมือนว่าข้อมูลข่าวสารที่ดินแดนหยางอันยิ่งใหญ่สีวู่หยามีจะกว้างขวางกว่าข้า แต่ถ้าหากเป็นข้อมูลนอกเหนือจากดินแดนแห่งนี้ศิษย์ของท่านคงไม่อาจเทียบข้าได้…ฮาฮ่าฮ่า…”
หลังจากที่อ่านจบหมิงซี่หยินก็ได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์ พวกเราจะเรียกเจียงอาเฉียนให้กลับมาที่นี่เลยดีไหม? ข้าคิดว่าเขาคงจะเปิดเผยตัวเองแน่”
“ไม่จำเป็น” ลู่โจวที่พูดเสร็จเดินออกมาจากศาลาทางตะวันออกก่อนที่จะลูบเคราไปด้วย ในตอนนี้ตัวเขากำลังใช้ความคิดอยู่
ดินแดนหยานได้พ่ายแพ้ให้กับลู่หลานมาหลายครั้งแล้ว ในการแลกเปลี่ยนกันครั้งล่าสุดลั่วหลานยังเสนอเจ้าหญิงคนหนึ่งให้เพื่อเป็นการแต่งงานสำหรับการเป็นพันธมิตร พันธมิตรที่ได้มาจากการแต่งงานเป็นไปด้วยดี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าม่อหลี่จะกลายเป็นผู้หญิงและกลายเป็นชายาของหลิวหยวน องค์ชายสองไปได้ เห็นได้ชัดว่ายางวางแผนที่จะแทรกซึมมายังดินแดนหยานแห่งนี้เพื่อที่จะบ่อนทำลายมันจากด้านใน ม่อหลี่และไป่มาต่างก็เสียชีวิตไปแล้ว เป็นธรรมดาที่ลั่วหลานจะต้องโกรธ
ในตอนที่จีเทียนเด๋ายังมีชีวิต ดินแดนหยานก็ได้ขัดแย้งกับดินแดนอื่นๆ เสมอมา แต่อย่างไรก็ตามตัวเขาไม่ได้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่
“ท่านอาจารย์ ข้ากำลังสงสัยว่าลั่วหลานและลั่วหรี่กำลังพยายามบุกมณฑลเหลียงโดยใช้โอกาสนี้…เจียงอาเฉียนเป็นเจ้าชาย นี่จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาแน่” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
“หลังจากที่หลิวกู่ขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ละเลยที่จะจัดการกับดินแดนต่างๆ แม้ว่าองค์ชายสองจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่ถึง แบบนั้นองค์จักรพรรดิก็ยังไม่เคลื่อนไหว ข้าไม่คิดว่ามันจะง่ายเหมือนกับที่เจ้าคิดไว้หรอกนะ” ลู่โจวตอบกลับมา
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นไม่เท่ากับว่าศิษย์พี่ใหญ่กำลังต่อสู้กับพวกศัตรูอยู่ไม่ใช่หรอไงกัน?” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา
“หืม?” ลู่โจวเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยิน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหมิงซี่หยินก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเขาพูดผิดไป “ท่านอาจารย์ข้าผิดไปแล้ว…ถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่พ่ายแพ้ นั่นจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะจับเขากลับมาได้”
“เจ้าพยายามตัดสินใจแทนข้าอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามกลับไป
“…ศิษย์ไม่กล้า!”
ลู่โจวไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ตัวเขาตัดสินใจที่จะปล่อยให้เรื่องเป็นไปแบบนี้ต่อไปก่อน เห็นได้ชัดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับหลิวกู่ หลิวกู่องค์จักรพรรดิไม่ได้สนใจเรื่องของทางโลกเลย ในตอนนี้เหล่าราชวงศ์กำลังรออะไรอยู่กันแน่
“ส่งจดหมายหาเจียงอาเฉียน บอกให้เขาตรวจสอบเรื่องที่เหล่าราชวงศ์กำลังให้ความสำคัญอยู่ ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะสืบหาเรื่องเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่แน่”
“ได้ครับท่านอาจารย์”
“บอกเจียงอาเฉียนด้วยว่าข้าจะเอาดาบคีตะมังกรและดาบมารคืนถ้าหากเขาไม่ยอมที่จะร่วมมือ”
“เยี่ยมจริงๆ! เอ่อ…ได้ครับท่านอาจารย์!” หมิงซี่หยินเริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
ลู่โจวได้พูดต่อ “ข้า, ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วจะตรวจสอบเรื่องอื่นกัน เพราะงั้นข้าฝากเรื่องนี้เอาไว้กับเจ้าด้วย ถ้าหากไม่มีอะไรสำคัญไม่จำเป็นที่จะต้องรายงานให้ข้าได้รู้ก็ได้”
“ได้ครับท่านอาจารย์!” หมิงซี่หยินตอบรับก่อนที่จะโค้งคำนับให้
…
บนภูเขาน้ำกร่อยในพรมแดนทางตอนเหนือที่ถูกหิมะปกคลุม
สายลมจากฤดูใบไม้ผลิอันเหน็บหนาวกำลังพัดผ่านที่แห่งนี้ไป ทุกอย่างล้วนแต่สงบนิ่งเมื่ออยู่ในสุสานเมลลิล็อต ที่แห่งนี้ยังคงไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากลมที่เหน็บหนาว
หวืออ!
ยู่ฉางตงได้เรียกพลังอวตารขนาดเท่าฝ่ามือของตัวเองออกมาอีกครั้ง ตัวเขาที่ได้มองไปที่มันได้แต่ส่ายหัว สองในสามของดอกบัวทองคำถูกปกคลุมไปด้วยจุดสีม่วงไปหมดแล้ว ตัวเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสูญเสียพลังที่เคยมีไปกว่าครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นจุดสีม่วงที่เห็นก็ยังคงแพร่กระจายต่อไป
ยู่ฉางตงถอนหายใจออกมาเบาๆ “นี่คือชะตากรรมของข้า…ข้าที่แต่แรกก็เป็นเหมือนกับเมลิล็อตก็ต้องจบชีวิตลงเช่นเดียวกับเมลิล็อตอย่างงั้นสินะ”