My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 428
ฉางยานได้กลับไปที่ถ้ำ เหล่าสาวกจากสำนักต้วนหลินทั้งหมดต่างลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นศิษย์คนแรก เชาจินหานมีหน้าที่ดูแลจัดการสำนักในตอนนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลายยังคงเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่ เชาจินหานไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องแบกรับหน้าที่นี้ไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราควรแจ้งเรื่องของการแยกดอกบัวทองคำให้กับท่านปรมาจารย์ได้รู้ไหม?” มีใครบางคนได้ถามออกมา
เชาจินหานส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไป “ถ้าหากพวกเราจะบอก พวกเราก็ควรจะทำเช่นนั้นหลังจากที่จัดการกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้แล้ว…ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาหาท่านปรมาจารย์มากขึ้นทุกที การแยกดอกบัวทองคำออกมาก็มีแต่จะทำให้ท่านปรมาจารย์ได้ตายเร็วขึ้นซะเปล่าๆ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา ในตอนนี้สำนักต้วนหลินก็คงจะใช้ได้แต่วิธีนี้ได้เท่านั้น”
เหล่าสาวกทั้งหลายที่หารืออยู่ต่างก็พยักหน้า
เชาจินหานได้พูดต่อ “อย่าได้อนุญาตให้เหล่าสาวกทั้งหลายพูดถึงเรื่องการแยกดอกบัวทองคำซะล่ะ นี่จะเป็นโอกาสของพวกเราที่จะได้เฉิดฉายในโลกยุทธภพ”
…
ยามค่ำคืน
ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ใต้ศาลาทางใต้ บนโขดหินแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสทั้งสามได้หันหน้าไปมองดวงจันทร์
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ท่านปรมาจารย์จัดการกับเรื่องนี้ได้ยังไง…ดาบพลังงานนั่นมีพลังคำสาปของเครื่องรางอยู่แท้ๆ แม้แต่ยอดฝีมือจากสำนักเซียนสวรรค์เองก็ยังยากที่จะลบล้างคำสาปนั่น” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาในขณะที่ยืนพิงก้อนหิน
ฮั๊ววู่เด๋าเองได้พูดออกมาเช่นกัน “ถ้าหากท่านยังไม่เข้าใจ แล้วข้าจะไปเข้าใจอะไรได้กัน? ข้าได้ตรวจสอบเส้นพลังลมปราณทั้งแปดขององค์หญิงหย่งหนิงแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นพลังลมปราณของนางทั้งหมดจะหายดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ทั้งสองมองไปที่เล้งลั่วที่สวมหน้ากากสีเงิน
เล้งลั่วมองไปที่ดวงจันทร์ในขณะที่เอามือไขว้หลัง ตัวเขาได้พูดออกมาเช่นกัน “แม้ว่าข้าจะไม่ได้อาวุโสเท่ากับปรมาจารย์ แต่ข้าก็มีความรู้ที่กว้างขวางมากพอ ข้าไม่เคยเห็นวิธีการรักษาแบบวิเศษแบบนี้มาก่อน”
“ผู้อาวุโสเล้ง และเจ้ารอดมาได้ยังไงกันในตอนที่ยอมสละตัวเองเมื่อตอนนั้น?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมา
เล้งลั่วเหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียน
ฝานลี่เทียนไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดล้อเล่นกับเล้งลั่ว ตัวเขาต้องการที่จะรู้ความจริง “เจ้ากำลังคิดว่าท่านปรมาจารย์เก็บพลังเอาไว้ให้กับพวกเรามากแค่ไหนกันล่ะ?”
ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “ถ้าหากจะดูกันอย่างผิวเผิน พลังวรยุทธของท่านปรมาจารย์อยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะยังก็ตามข้าก็ยังคิดว่าพลังวรยุทธของเขายังคงอยู่บนจุดสูงสุดของผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ”
“อันที่จริงความแข็งแกร่งที่ปรมาจารย์มียากที่จะหยั่งถึง…ข้าอดไม่ได้ที่จะคิดว่าพลังของเขาได้อยู่ที่ขั้นที่เก้าแล้ว” ฝานลี่เทียนที่พูดเสร็จได้หัวเราะออกมา
เล้งลั่วและฮั๊ววู่เด๋าได้หันไปมองไปที่ฝานลี่เทียนอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งหมดต่างก็คิดแบบนี้มานานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังสับสนอยู่ เหตุใดปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงไปไกลขนาดนั้นแล้วแต่ยังต้องเสแสร้งว่าตัวเองมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ด้วย? ทำไมท่านปรมาจารย์ถึงไม่ใช้พลังทั้งหมดเพื่อจัดการกับศัตรูของศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน? ถ้าหากตัดไฟแต่ต้นลม จนถึงตอนนี้ก็คงจะไม่มีพันธมิตรกำจัดปีศาจเกิดขึ้นแน่
“ขั้นที่เก้า…เรื่องนี้มันแทบที่จะเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ท่านปรมาจารย์ยังได้แบ่งปันวิธีการตัดดอกบัวทองคำเพื่อการฝึกฝนออกมา มันหมายความว่าเขาเองก็หาวิธีที่จะฝึกฝนไปยังขั้นที่เก้าด้วยเช่นกัน”
“เจ้าพูดมีเหตุผล…แต่เจ้าจะอธิบายว่าอะไรกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงหย่งหนิง?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมา
เล้งลั่วเหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียน ก่อนที่ตัวเขาจะผลักตัวเองออกไปจากพื้นอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้บินไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในขณะที่เอามือไขว้หลัง ก่อนที่จะจากไปเล้งลั่วก็ได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ “ต่อให้รู้เหตุผลข้าก็ไม่บอกเจ้าหรอก”
“ผู้อาวุโสฮั๊ว แล้วเจ้าล่ะ?” ฝานลี่เทียนมองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าอย่างเป็นมิตร “อย่ากังวลไปเลย แม้ว่าข้าจะแก่กว่าเจ้า แต่ข้าก็ยังสามารถพูดคุยให้คำปรึกษาให้กับเจ้าได้อย่างสบายใจในศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้”
ฮั๊ววู่เด๋าประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมคำพูดนี้ถึงได้ฟังดูเป็นการคุกคามกัน? ตัวเขาได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ามีอะไรบางอย่างที่จะต้องทำ ฮั๊วยู่จิงพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะไปผลิกลีบดอกบัวกลีบที่สาม ข้าจะต้องช่วยนางในการฝึกฝนตัวเอง”
“ผู้อาวุโสฮั๊ว…อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังคิดอยากที่จะชดเชยความผิดของตัวเองในวัยเยาว์น่ะ?” ฝานลี่เทียนที่พูดเสร็จได้หัวเราะออกมา
ฮั๊ววู่เด๋าดูเขินอาย ตัวเขาได้เดินพลังลมปราณก่อนที่จะจากไปด้วยความเร็วสูง
ฝานลี่เทียนได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ตัวเขาได้นอนบนโขดหินก่อนที่จะเฝ้ามองดูดวงจันทร์ ฝานลี่เทียนได้แต่พึมพำกับตัวเอง “ถ้าหากข้าอายุน้อยกว่านี้ 200 ปีแล้วล่ะก็…” ฝานลี่เทียนที่ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากทางด้านล่าง
แกร๊บ!
หูของฝานลี่เทียนกระตุก ตัวเขารีบใช้ฝ่ามือฝาดลงไปที่หินในทันที
ตู๊ม!
ฝานลี่เทียนได้หมุนตัวเองลอยไปบนอากาศก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองร่อนลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง “ใครกันที่กล้าบุกรุกดินแดนแห่งนี้?” หลังจากนั้นฝานลี่เทียนก็ได้ปล่อยพลังฝ่ามือเข้าใส่ป่าที่อยู่ใกล้ๆ
พรึ๊บ!
พลังฝ่ามือของฝานลี่เทียนได้ลอยหายไปในป่า
เสียงของผู้บุกรุกได้หายจางไป
“นี่มันความเร็วอะไรกัน?” ฝานลี่เทียนได้ลอยขึ้นสู่ยอดไม้ ผู้บุกรุกคนนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าพลังวรยุทธของฝานลี่เทียนจะยังไม่ฟื้นฟูมาเต็มที่และตัวเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับไป่มา แต่มันก็ไม่หมายความว่าจะมีผู้ฝึกยุทธคนไหนสามารถหลบหนีฝานลี่เทียนไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
แกร๊บ!
“เจอตัวแล้ว!” ฝานลี่เทียนได้โยนขวดน้ำเต้าเพื่อที่จะให้มันพาให้ตัวเองบินออกไป ขวดน้ำเต้าของตัวเขาได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อบินไปถึงเชิงเขาฝานลี่เทียนก็ได้หยุดไล่ล่า ในตอนนี้ตัวเขาเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากพอ
“พยายามที่จะล่อเสือออกจากถ้ำอย่างงั้นสินะ? ข้าไม่ยอมที่จะให้เป็นแบบนั้นซะหรอก!” หลังจากที่ฝานลี่เทียนพูดจบตัวเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินทางกลับ
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น “ทำไมพวกเราไม่คุยกันก่อนล่ะ ท่านผู้อาวุโส?”
“ข้าชื่อเฟิงหลิว มาจากสำนักเจินชาง” เฟิงหลิวได้ปรากฏตัวออกมาจากต้นไม้
“เฟิงหลิวอย่างงั้นเหรอ?” ฝานลี่เทียนไม่เคยได้ยินใครชื่อนี้มาก่อน ตัวเขาได้พยายามนึกถึงความทรงจำที่มีเพื่อที่จะยืนยันว่าได้พบกับชายนี้จริงๆ ไหม ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับมา “ที่นี่คือหุบเขาทอง ที่ซึ่งเป็นอาณาเขตของศาลาปีศาจลอยฟ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครข้าขอแนะนำให้เจ้าออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า ถ้าหากเจ้าถูกสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าจับได้ ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแน่”
เฟิงหลิวโค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดออกมา “อาจารย์ของข้าเจ้าสำนักเฟิงชิงต้องการที่จะพบท่าน ท่านผู้อาวุโส”
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฟิงชิงอย่างงั้นสินะ?”
“ข้าเป็นศิษย์ของเขาเอง”
สำนักเจินชางเคยเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ของสิบสุดยอดสำนัก ครั้งหนึ่งในยุคนั้นสำนักเจินชางได้มีสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์
ฝานลี่เทียนได้ลงมาที่พื้น ตัวเขาจ้องมองตัวของเฟิวหลิวชั่วครู่ก่อนที่จะถามออกมา “แล้วเจ้ามีธุระอะไรกัน?”
เฟิงหลิวกำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา แต่ฝานลี่เทียนที่สังเกตเห็นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นซะก่อน “เล่าเรื่องย่อมาซะ เวลาของข้ามีค่า”
เฟิงหลิวตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขาเตรียมพร้อมที่จะพูดถึงคติอันดีงามของสำนักฝ่ายธรรมะออกมา และกำลังจะพูดถึงเรื่องของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ที่ถูกทำลายไปด้วยฝีมือของยู่เฉิงไห่ ยู่เฉิงไห่เป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่อาศัยอยู่กับศัตรูของตัวเขา เฟิงหลิวไม่คิดมาก่อนว่าฝานลี่เทียนจะไม่แม้แต่จะให้โอกาสตัวเขาได้พูด เมื่อสงบสติอารมณ์ได้เฟิงหลิวจึงได้พูดออกมา “ผู้อาวุโส พันธมิตรกำจัดปีศาจของสำนักฝ่ายธรรมะถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว…ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องถูกทำลายในไม่ช้าก็เร็ว…”
พรึ๊บ!
จู่ๆ ฝานลี่เทียนก็ได้โยนขวดน้ำเต้าออกมา มันได้ส่องประกายแสงสีทอง
เฟิงหลิวที่เห็นดังนั้นรีบปกป้องตัวเองด้วยแขน
ตู๊ม!
เฟิงหลิวกระเด็นถอยกลับไปหลายก้าวด้วยกันกว่าที่จะตั้งหลักได้ “ท่านยังแข็งแกร่งเช่นเคยผู้อาวุโส เป็นไปตามที่ข้าคาดไว้จริงๆ พลังของท่านกำลังได้รับการฟื้นฟู แต่น่าเสียดายท่านมีอาการบาดเจ็บที่รุนแรงภายใน…”
ฝานลี่เทียนตกใจเล็กน้อย ตัวเขาไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์ของเฟิงชิงจะมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำเช่นนี้ แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของตัวเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง “เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะพยายามกดดันให้ข้าต่อสู้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ?”
“สำนักฝ่ายอธรรมยังไงซะก็เป็นได้แค่พวกชั่วร้าย มันสมควรแล้วที่พวกเขาจะถูกจำกัด ยู่เฉิงไห่ตั้งใจที่จะทำลายมณฑลทั้งเก้า ผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดจะตกทุกข์ได้ยาก! ผู้อาวุโสได้โปรดไตร่ตรองด้วย…”
“หุบปากซะ” ฝานลี่เทียนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ถ้าหากท่ายังเป็นแบบนี้…ข้าก็อยากที่จะขอให้ท่านผู้อาวุโสทำตามสัญญา ทานผู้อาวุโส ข้าอยากที่จะแน่ใจว่าท่านยังจำได้ว่าท่านอาจารย์ของข้าได้ช่วยเหลือท่านออกมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์เมื่อหลายปีก่อน…” เฟิงหลิวได้ตอบกลับมา
ฝานลี่เทียนยังคงดูนิ่งสงบ
เฟิงหลิวได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ความจริงแล้วเฟิงปิงเป็นน้องชายฝาแฝดของข้าเอง เฟิงปิงได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตาแก่จีในมณฑลเหลียงก่อนที่จะสูญเสียพลังวรยุทธที่มีไป น้องชายของข้าเป็นคนดี เขาไม่เคยที่จะทำเรื่องเลวร้ายอะไร ความต้องการของข้าไม่ได้มีมากมายอะไรเลย ผู้อาวุโส ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีสาวกทั้งหมดเก้าคน ข้าอยากที่จะให้ท่านเลือกหนึ่งในสาวกเพื่อที่จะทำลายพลังวรยุทธที่สาวกคนนั้นมี ด้วยวิธีนี้หนี้บุญคุณระหว่างอาจารย์ของข้ากับท่านก็จะหมดลง ท่านคิดว่าไงผู้อาวุโส?”