My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 436
ตัวอักษรสีทองเริ่มส่องประกายขึ้นอยู่บนกลางอากาศ แสงสว่างที่ว่ากำลังวนอยู่รอบตัวของฮั๊ววู่เด๋า เมื่อตัวอักษรปรากฏตัวออกมามากขึ้นแสงสว่างก็ได้ล้อมรอบร่างกายของฮั๊ววู่เด๋าจนเป็นทรงกลม
เล้งลั่ว, ฮั๊วยู่จิง และต้วนมู่เฉิงต่างก็เฝ้ามองดูจากทางด้านบน
เมื่อฮั๊ววู่เด๋าลงสู่พื้น ไฟที่กำลังมอดไหม้ก็เริ่มที่จะลามไปทั่ว มันได้ลามไปทั่วเชิงเขาอย่างรวดเร็วและกำลังลามมาทางภูเขาทอง ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นไม่ได้เร่งรีบอะไร ตัวเขากำลังเฝ้าทองไปทางด้านหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าไฟเป็นเพียงแค่การเปิดฉากโจมตี ในตอนนี้ไฟกำลังเข้ามาใกล้ศาลาปีศาจลอยฟ้ามากขึ้น
หลังจากที่ฮั๊ววู่เด๋าเฝ้ามองรอบตัวเสร็จ ตัวเขาก็เดินเข้าไปยังกองไฟด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง เมื่อก้าวไปยังด้านหน้า พลังผนึกตราประทับทั้งหกก็ปรากฏตัวขึ้น มันปรากฏอยู่ใต้เท้าก่อนที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆ กับฮั๊ววู่เด๋า ตัวอักษรเริ่มปรากฏตัวขึ้นจากร่างกายของเขา ตัวอักษรทั้งเก้าส่องแสงแวววับอยู่รอบๆ ฮั๊ววู่เด๋า เมื่อตัวเขาเดินเข้าไปยังกองไฟ ตัวอักษรทั้งหมดก็เริ่มปล่อยพลังงานออกมาเพื่อป้องกันไฟไว้
ในที่สุดทะเลเพลิงก็ได้กลืนกินฮั๊ววู่เด๋า ฮั๊ววู่เด๋าที่อยู่ใจกลางทะเลเพลิงเริ่มปล่อยพลังลมปราณออกมาจากจุดตันเถียนให้มากขึ้น พลังผนึกตราประทับทั้งหกเริ่มขยายใหญ่ พลังอักษรเองก็ขยายออกมาเช่นกัน
หวืออ!
พลังแสงอ่อนๆ ได้ส่องประกายรอบตัวของฮั๊ววู่เด๋าเริ่มขยายออกมา
ในขณะที่พลังเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เล้งลั่วที่เห็นแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะกล่าวชมเชย “ฮั๊ววู่เด๋ากำลังเลียนแบบพลังผนึกตราประทับอักษรทั้งสิบของท่านปรมาจารย์อยู่สินะ แน่นอนว่าการใช้วิธีนั้นจะต้องใช้พลังครอบคลุมภูเขาทองทั้งหมดได้แน่ ตัวอักษรทั้งเก้า…แต่พลังทั้งหมดกลับถูกใช้เพียงเพื่อดับไฟ น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
อันที่จริงการที่จะมอบหมายให้ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบมาดับไฟเป็นอะไรที่น่าขันนิดหน่อย มันค่อนข้างที่จะเป็นการใช้พลังไปอย่างเสียเปล่าของยอดฝีมือระดับสูง
แสงที่ส่องสว่างออกมาเพื่อดับไฟเป็นเหมือนกับเครื่องย้ำเตือนให้กับทุกๆ คนที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกๆ คนที่เห็นแสงครั้งใหญ่รีบลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะเฝ้ามองดูจากในระยะไกล
ซู่ฮ่องกงรีบปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนก่อนที่จะพูดขึ้น “นั่นมันไฟไหม้ครั้งใหญ่ ข้าจะต้องรายงานเรื่องนี้กับท่านอาจารย์”
ก่อนที่จะได้ไปไหนตัวเขาก็ถูกจ้าวยู่หยุดเอาไว้ก่อน “ไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นหรอก…ข้าได้ไปที่ศาลาทางตะวันออกมา ท่านอาจารย์กำลังพักผ่อน พวกเราไม่ควรที่จะรบกวนเขาจะดีกว่า”
“อืม” ซู่ฮ่องกงตอบรับแต่โดยดี
ทุกๆ คนต่างก็เห็นเปลวไฟกำลังถูกพลังแสงผลักออกไปอย่างช้าๆ
ไฟกว่าครึ่งที่เคยมอดไหม้ได้ถูกดับลงด้วยประกายแสง
ฮั๊ววู่เด๋าไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ตัวเขาได้ปลดปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชาก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมันไปยังที่อื่น มันเป็นวิธีการดับไฟของฮั๊ววู่เด๋า หลังจากที่ตัวเขาได้ใช้พลังไปหลายครั้ง ในที่สุดไฟที่ล้อมภูเขาทองเอาไว้ก็เริ่มที่จะดับสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ความมืด
ฮั๊ววู่เด๋าได้หายวับไปจากสายตาจากทุกคน
ความมืดเข้าปกคลุม แสงจันทร์ที่ส่องสลัวไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างให้กับทุกๆ คน
เล้งลั่วมองไปที่ฮั๊วยู่จิง ตัวเขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางกำลังเป็นประกายด้วยแสงสีทองจางๆ เล้งลั่วที่เห็นแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดชมเชย “เจ้าเองอายุยังน้อย แต่ถึงแบบนั้นกลับมีความสามารถที่โดดเด่นถึงเช่นนี้ ข้าอยากที่จะเห็นพลังฝีมือของเจ้าในอนาคตจริงๆ”
ต้วนมู่เฉิงเห็นถึงสิ่งที่ฮั๊วยู่จิงกำลังทำเช่นกัน ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นได้ถามออกมาอย่างสงสัย “นี่มันคือการใช้วิชาอะไรกัน?”
“มือธนูยอดฝีมือทั้งหลายมักจะเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกล สิ่งที่ทุกคนต้องการมีเพียงความแข็งแกร่งรวมไปถึงความเร็วในการยิงธนูเท่านั้น มือธนูทั้งหลายจึงมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนตนเพื่อเพิ่มพลังวรยุทธของตัวเอง เมื่อพลังวรยุทธเพิ่ม ความสามารถในการยิงก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีเคล็ดวิชาลับจากสำนักลั่ว เคล็ดวิชาที่จะช่วยเพิ่มสมาธิของมือธนูอย่างมหาศาล มันเป็นวิชาที่สามารถใช้มองในยามค่ำคืนได้” เล้งลั่วอธิบายออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เล้งลั่วถอนหายใจก่อนที่จะพูดเสริม “ดูเหมือนว่าข้าจะถูกคนรุ่นใหม่ตามมาใกล้เข้าไปทุกที”
ฮั๊วยู่จิงหยุดใช้วิชาลับของนาง ดวงตาของนางกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ผู้อาวุโสฮั๊วยังคงอยูที่เชิงเขา แม้ว่าไฟจะดับไปแต่การจะโหมไฟขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผู้อาวุโสวางแผนที่จะรับมืออยู่ตรงนั้น”
ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้า
ซู่ฮ่องกงเริ่มรู้สึกเบื่อหลังจากที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้าคิดว่าจะมีการแสดงอะไรดีๆ เกิดขึ้นมาแท้ๆ …รู้งี้ข้าน่าจะนอนต่อดีกว่า”
ฮั๊ววู่เด๋ากำลังจับตาดูสถานการณ์อยู่จริงๆ ตัวเขาตั้งใจที่จะป้องกันไม่ให้ใครหน้าไหนจุดไฟเผาเชิงเขาอีก ฮั๊ววู่เด๋าได้บินต่ำลง ต่ำลง ในตอนที่ไฟถูกดับจนหมดฮั๊ววู่เด๋าก็กลับลงสู่พื้น
ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกพอใจที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก ตัวเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างเสียดายเมื่อได้เห็นทิวทัศน์ตรงหน้าตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าล้วนเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน เมื่อฮั๊ววู่เด๋าหันหลังและกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองก็มีคนกว่าหลายสิบคนบินตรงมาหา
ทุกๆ คนไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แต่ฮั๊ววู่เด๋าสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ดี ฮั๊ววู่เด๋าขมวดคิ้วเล็กน้อย มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากตัวเขากลับไปยังภูเขาทองให้เร็วที่สุด
คนกว่าหลายสิบคนได้บินตรงมาหาฮั๊ววู่เด๋าด้วยความเร็วสูงสุด
“ผู้อาวุโสฮั๊ว”
ฮั๊ววู่เด๋าตกใจเล็กน้อย ตัวเขามองไปที่ด้านหน้า ในที่สุดผู้มาเยือนก็เริ่มปรากฏตัว แสงจันทร์ที่ส่องกระทบใบหน้าของพวกเขาทำให้ฮั๊ววู่เด๋ามองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าของเสียง
“ผู้อาวุโสฟางเหวินเซียนแห่งสำนักหยุน?” ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นรู้สึกสับสน ตัวเขาไม่คิดว่าสำนักหยุนจะเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรจำกัดอสูร ศาลาปีศาจลอยฟ้าเคยไปเยี่ยมชมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักลั่วมาก่อน ศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนั้นได้ตัดสินใจที่จะไม่ยึดติดกับความแค้นในอดีตและปล่อยให้สำนักหยุนอยู่อย่างปลอดภัยต่อไป แล้วสำนักหยุนมาทำอะไรที่นี่? การที่พวกเขาแสดงตัวหลังจากที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่มันเป็นเรื่องที่บังเอิญมากเกินไป เรื่องนี้มันเริ่มน่าสงสัยมากขึ้นไปทุกที
ฟางเหวินเซียนพาคนมาด้วยกว่าสิบคน ทุกๆ คนต่างก็หยุดอยู่บนกลางอากาศในขณะที่เข้ามาใกล้ฮั๊ววู่เด๋า
“ฮั๊ววู่เด๋า จงทำตามคำสั่งของท่านปรมาจารย์ซะ พวกเรามาก็เพื่อพาเจ้ากลับไปกับพวกเรา กรุณาให้ความร่วมมือด้วย” ฟางเหวินเซียนยกมือขึ้น
ฮั๊ววู่เด๋าขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์ได้เลิกยุ่งเรื่องของทางโลกไปนานแล้ว เหตุใดกันทำไมเขาถึงออกคำสั่งเช่นนั้นได้?”
“เจ้าก็แค่ทำตามคำสั่งซะ” ฟางเหวินเซียนพูดออกมา ในตอนนั้นเองบนท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงสีทองพุ่งตรงมากับแสงจันทร์
พรึ๊บ!
สีหน้าของฟางเหวินเซียนเปลี่ยนไป ตัวเขามองเห็นลูกศรพลังงานที่กำลังพุ่งเข้ามาหา ตัวเขารีบถอยกลับไปก่อนที่จะปล่อยพลังฝ่ามือขึ้นไปบนอากาศเพื่อป้องกันการโจมตี
“ฮั๊วยู่จิง?!”
ลูกศรพลังงานนี้ถูกยิงโดยมือธนูผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ฮั๊วยู่จิง
ฮั๊วยู่จิงที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นรีบยิงลูกศรพลังงานออกมาอย่างไร้ความปรานี
ลูกศรพลังงานที่เกรี้ยวกราดได้ทำให้ฟางเหวินเซียนตกใจ
ฮั๊ววู่เด๋าหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราต่างก็มาจากสำนักเดียวกัน พวกเจ้าน่ะควรที่จะหนีไปซะ…ถ้าหากพวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเจ้าก็จะไม่มีทางที่จะได้ออกไปได้อีกแม้ว่าจะต้องการออกมากแค่ไหนก็ตาม”
สีหน้าของฟางเหวินเซียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเราต่างก็อยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม? พวกเราจะไม่จากไปง่ายๆ แบบนี้แน่”
ฟางเหวินเซียนโบกมือตัวเอง ชายที่มากับตัวเขารีบถอดหมวกก่อนที่จะเปิดเผยใบหน้า
ดวงตาของฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นเบิกกว้าง ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยความตื่นตกใจ “ผู้อาวุโสทั้งสิบแห่งสำนักหยุน? เจ้า…” ฮั๊ววู่เด๋าได้ชี้นิ้วไปทางฟางเหวินเซียนด้วยความโกรธ แต่เมื่อฮั๊ววู่เด๋านึกย้อนกลับไป ในตอนนี้ตัวเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสำนักหยุนอีกต่อไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีใครคนอื่นรับตำแหน่งสืบต่อ ฮั๊ววู่เด๋าตระหนักได้แล้วว่าไม่มีอะไรที่จะต้องโกรธ ตัวเขารีบระงับความโกรธก่อนที่จะพูดออกมา “ไปซะ ไปตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าหากยังไม่ไปก็อย่าได้โทษว่าข้าไร้ปรานีเลย”
ฟางเหวินเซียนยิ้มก่อนที่จะพูดกลับมา “พวกเราจะไม่ทำแบบนั้นแน่…เว้นแต่ว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะยินดีมอบหมากกรานของท่านปรมาจารย์พวกเรามา”
“หืม?”
“มันเป็นของที่ถูกเก็บโดยท่านปรมาจารย์ของพวกเรา หมากกระดานนั้นเป็นสมบัติของสำนักทั้งสาม พวกเราจะยอมมอบมันให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน?” ฟางเหวินเซียนยิ้มก่อนที่จะโบกมือ
ในตอนนั้นเองที่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสิบ มีผู้ฝึกยุทธอายุน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ผู้ฝึกยุทธอายุน้อยคนนั้นได้คำนับฮั๊ววู่เด๋าอยู่ที่กลางอากาศ “ท่านอาจารย์…”
ฮั๊ววู่เด๋าทำหน้าบึ้งก่อนที่จะพูดออกมา “จางเฟยฟาน?” จางเฟยฟานเป็นหนึ่งในศิษย์สาวกที่มาเยือนศาลาปีศาจลอยฟ้าพร้อมๆ กับฮั๊ววู่เด๋า ในเวลานั้นจางเฟยฟานไม่รู้เลยว่าฮั๊ววู่เด๋าจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ ในตอนนั้นจางเฟยฟานถูกขับไล่ให้กลับไป นับตั้งแต่ตอนนั้นเวลาก็ได้ผ่านพ้นมานานแล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อเวลาเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนตามไปด้วย
จางเฟยฟานได้พูดต่อ “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะพูดกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ได้โปรดกลับใจก่อนที่จะสายไปด้วย!”
“พูดกับข้าในฐานะอาจารย์อย่างงั้นเหรอ!” ฮั๊ววู่เด๋าเดือดดาลด้ว้ยความโกรธ
“ถ้าท่านกลับตัว ข้าก็จะยังนับถือท่านในฐานะอาจารย์ต่อไป…” จางเฟยฟานโค้งคำนับให้
“ไสหัวไปซะ!” คลื่นเสียงอันเกรี้ยวกราดได้พุ่งไปทางจางเฟยฟาน
เมื่อคลื่นเสียงกำลังจะไปถึงตัวจางเฟยฟาน ในตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งสิบก็รวมตัวกันก่อนที่จะป้องกันพลังนั้นไว้
คลื่นเสียงที่สะท้อนหายไปในความว่างเปล่า
“ฮั๊ววู่เด๋า เจ้าน่ะยังเป็นผู้ใหญ่อยู่ไหม? ข้ารู้สึกละอายใจแทนเจ้าจริงๆ ที่เห็นเจ้าทำร้ายคนรุ่นหลังแบบนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
พลังผนึกตราประทับได้ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของฮั๊ววู่เด๋า ที่รอบกายของเขามีพลังแสงประกายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะหาเรื่องข้าอย่างงั้นสินะ?”
ฟางเหวยซานกางแขนออกมา ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันเช่นกัน “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดที่จะกลับใจอย่างงั้นสินะ?”
ผู้อาวุโสทั้งสิบเริ่มบินสูงขึ้น
ตัวอักษรเริ่มปรากฏตัวออกมาจากร่างกายฮั๊ววู่เด๋าอีกครั้ง
ลูกศรพลังงานกว่าหลายสิบลูกยังคงพุ่งตรงมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า มันได้บินตรงไปยังผู้อาวุโสทั้งสิบ
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ผู้อาวุโสทั้งสิบได้ใช้พลังฝ่ามือต้านทานพลังลูกศรพลังงานเอาไว้
พลังผนึกตราประทับทั้งหกได้เปล่งประกายมากขึ้น ฮั๊ววู่เด๋าไม่ได้ก้าวเท้าไปด้านหน้าแต่อย่างใด ตัวเขาเลือกที่จะถอยกลับด้วยความเร็วสูงสุดแทน
ในตอนนั้นเองบนท้องฟ้าด้านหลังฮั๊ววู่เด๋า มีร่างของใครบางคนปรากฏขึ้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สลัวทำให้ทุกคนมองเห็นแค่เพียงหน้ากากสีเงินที่สะท้อนแสงจันทร์เท่านั้น น้ำเสียงของใครคนนั้นแหบแห้งยิ่งกว่าเสียงของใครหน้าไหน “ผู้อาวุโสทั้งสิบของสำนักหยุนอย่างงั้นสินะ? พวกเจ้ากล้าดียังไงกัน?”
“เล้งลั่วอย่างงั้นเหรอ?”