My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 444
พลังอวตารของลู่โจวที่สูงกว่า 150 ฟุตยืนตระหง่านอยู่เหนือทุกสิ่ง ตัวเขาดูสงบนิ่งและไม่ได้แปลกใจอะไรกับการปรากฏตัวของยี่เทียนซิน นับตั้งแต่ที่ตัวเขาได้อ่านจดหมายของยู่ฉางตงที่ฝากผ่านยี่เทียนซินมา ตัวเขาก็รู้มาตลอดว่านางคงจะยังอยู่ใกล้ๆ แต่ลู่โจวก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่ายี่เทียนซินจะแสดงตัวจัดการกับศัตรู ไม่เว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่ลู่โจวก็ไม่ได้มีเวลามาคิดถึงเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบแบบนาง แม้ว่านางจะถูกเนรเทศไปนานแล้วแต่อย่าน้อยนางก็พอมีสำนักอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะยังไงผู้ฝึกยุทธที่ถูกนางจัดการก็ไม่ได้มีแต้มบุญมากมายอะไร ผู้ฝึกยุทธที่ถูกจัดการเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธด้อยฝีมือเพียงเท่านั้น ‘ลืมมันไปซะเถอะ ปล่อยให้นางจัดการไปก็แล้วกัน’
สาวกของเจ็ดสำนักใหญ่ถูกชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าบดขยี้อย่างง่ายดาย แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งสำนักหยุนจะใช้พลังลมปราณทั้งหมดพร้อมกับใช้พลังอวตาร แต่พวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้ เมื่อดอกบัวทองคำเก้ากลีบผ่านไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็จะถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ลู่โจวได้ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาอีกครั้งในขณะที่เคลื่อนที่ไปอีกทางหนึ่ง ตัวเขาต้องการที่จะแน่ใจว่ายังเหลือผู้อาวุโสจากสำนักอื่นหลงเหลืออยู่อีกไหม ตัวเขาจะต้องใช้พลังขั้นสุดยอดเก็บเกี่ยวแต้มบุญให้ได้มากที่สุด
พลังอวตาร 150 ฟุตได้เคลื่อนที่ไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อลู่โจวพบกับผู้ฝึกยุทธที่พอจะมีฝีมือ ตัวเขาก็จะปลิดชีวิตผู้ฝึกยุทธคนนั้นอย่างไร้ความปรานี
ในขณะเดียวกันยี่เทียนซินเองก็ตัดสินใจที่จะต่อสู้กับศัตรูทั้งหมดจนตายกันไปข้าง ในระหว่างที่นางกำลังต่อสู้อยู่ นางก็สังเกตเห็นพลังอวตารขนาดใหญ่ยักษ์ ยี่เทียนซินนึกย้อนไปในอดีต ในตอนที่อาจารย์ของนางพาตัวนางกลับมายังภูเขาทอง ยี่เทียนซินจำได้ว่าในตอนนั้นนางก็ได้เห็นภาพเดียวกับในตอนนี้ ในตอนนั้นยี่เทียนซินคิดว่าตัวเองฝันไป เป็นเพราะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่จึงทำให้ผู้ฝึกยุทธส่วนมากฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่แปดได้เท่านั้น แต่ในตอนนี้ยี่เทียนซินเห็นทุกอย่างกับตา นี่ไม่ใช่ฝันไปแน่! “ท่านอาจารย์ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าแล้ว! เขาทำได้ยังไงกัน? เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดจะเป็นเรื่องจริง? ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่เปิดเผยความลับของการฝึกฝนไปยังขั้นที่เก้าจริงๆ อย่างงั้นสินะ?”
ในขณะที่ยี่เทียนซินกำลังเฝ้ามองผู้ฝึกยุทธผู้อ่อนแอทั้งหลายกำลังล้มตัวลง ทันใดนั้นยี่เทียนซินก็ตระหนักได้ถึงความตั้งใจของตัวเองที่จะช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้า ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้มีความจำเป็นอยู่เลย ในสถานการณ์ตอนนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถขับไล่ศัตรูไปได้แล้ว
ที่ป่าทางด้านตะวันออก ที่ตรงนั้นเองยังคงมีคลื่นพลังลมปราณของเหล่าผู้อาวุโสปรากฏขึ้น ไม่นานนักก็มีเสียงคำรามดังออกมาเบาๆ ลู่โจวกระโดดขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับพลังอวตารของตัวเขา บนท้องฟ้าพลังอวตารร้อยวิถีที่มีดอกบัวเก้ากลีบกำลังเปล่งแสงออกมา แสงที่ทุกคนบนพื้นเบื้องล่างจะได้เห็นเป็นดั่งดวงตะวันที่ส่องไปไกลกว่าหลายร้อยไมล์
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ภายในรัศมี 100 ไมล์ได้แต่มองขึ้นไปบนหุบเขาทอง
ทุกคนต่างก็ตกใจพร้อมๆ กับหวาดกลัว
ผู้ที่อยู่ห่างออกไปมากกว่านั้นมองเห็นเพียงแสงสว่าง พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีปรากฏการณ์แบบไหนกำลังเกิดขึ้นอยู่กันแน่
ลู่โจวได้เรียกอาวุธนิรนามออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นธนู อาวุธนิรนามเคลื่อนที่ราวกับของเหลวก่อนที่จะกลายเป็นธนูไป ลู่โจวถือธนูด้วยมือข้างซ้ายก่อนที่จะดึงสายธนูจากมือข้างขวา
หวืออ! หวืออ! หวืออ!
หลังจากนั้นลูกศรจำนวนหนึ่งก็ถูกยิงออกมา
“ยอดมือธนูผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ!” ฮั๊วยู่จิงจ้องมองไปที่ลู่โจวอย่างตั้งใจ หลังจากที่ตัวเขายิงลูกศรจำนวนมากออกมา เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต่างก็อยากจะเห็นพลังของผู้ที่มีอวตารดอกบัวเก้ากลีบ
ฮั๊วยู่จิงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการใช้ธนูได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่านางจะไม่มีอาจารย์ แต่นางก็ยังฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวสามกลับได้ สำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างฮั๊วยู่จิง ถ้าหากนางมีอาจารย์คอยชี้นำจริงๆ ฝีมือในการยิงธนูของนางจะต้องพัฒนาไปมากกว่านี้แน่ แต่ในตอนนี้ฮั๊วยู่จิงกำลังเรียนรู้สิ่งสำคัญ นางพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะจดจำการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่ลู่โจวแสดงออกมา…นี่เป็นเป้าหมายที่ฮั๊วยู่จิงคิดที่จะทำในอนาต!
ลูกศรพลังงานเจาะทะลุผ่านร่างกายของเหล่าผู้อาวุโสที่เผาผลาญพลังลมปราณของตัวเองก่อนที่จะล้มลง
‘นี่…นี่คือพลังของอวตารดอกบัวเก้ากลีบอย่างงั้นสินะ?’ ผู้ฝึกยุทธหลายคนคิดแบบนี้ก่อนที่จะสิ้นใจตาย
กลีบดอกบัวทั้งเก้าและพลังอวตารขนาดใหญ่ได้ส่องแสงไปทั่วทั้งสนามรบ
ในพลังระดับสูงสุดที่ลู่โจวมี ตัวเขาสามารถใช้พลังลมปราณได้อย่างไม่มีจำกัด ตัวเขาสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดอย่างต่อเนื่องและยังสามารถปล่อยสุดยอดเคล็ดวิชาในการโจมตีไปพร้อมๆ กันได้ จนถึงตอนนี้ลู่โจวยังเหลือเวลาอีกครึ่งหนึ่ง
พลังของอวตารดอกบัวเก้ากลีบเกินกว่าความคาดหมายของลู่โจวไว้มาก ตัวเขาไม่แปลกใจเลยที่สามารถบดขยี้สำนักใหญ่ทั้งเจ็ดได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งแต่การที่ใช้พลังสูงสุดนี้ก็ยังทำให้ลู่โจวรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ดี ‘พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบดูดึงดูดความสนใจมากไปรึเปล่านะ?’
ลู่โจวโบกแขนของตัวเองก่อนที่จะเรียกพลังอวตารกลับไป ตัวเขาค่อยๆ ลงมาสู่พื้นอย่างช้าๆ มันเป็นเหมือนกับขนนกที่กำลังร่วงหล่นลงมา ลู่โจวยังคงสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นจากในร่างกาย ทุกครั้งที่ตัวเขาใช้พลังออกมา พลังก็จะถูกเติมเต็มในทันที
…
ในขณะเดียวกัน ในหุบเขาที่ห่างไกลจากทิศตะวันตกของภูเขาทอง
เฟิงชิง เจ้าสำนักเจินชางกำลังบินไปบนอากาศด้วยความเร็วสูงสุด ตัวเขาได้เคลื่อนที่ในขณะที่เอามือกดไปที่หน้าอกของตนด้วย ในบรรดาเจ็ดสำนักใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เอาชีวิตรอดมาได้ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่เฟิงชิงก็ไม่มีเวลาที่จะหาผู้รอดชีวิตเพิ่มเติม ในตอนนี้ความกลัวเข้ากัดกินจิตใจของตัวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกๆ ครั้งที่นึกถึงภาพพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ หัวใจของเฟิงชิงที่สัมผัสได้ถึงความกลัวก็แทบที่จะแตกสลายในทุกครั้ง ‘ทำไมเจ้านั่นถึงเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกัน? ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นเก้าได้!’
ถ้าหากเฟิงชิงไม่อาศัยช่วงชุลมุนก่อนที่จะเผาผลาญจุดพลังลมปราณตัวเอง ตัวเขาก็คงจะเอาชีวิตรอดมาจากลู่โจวที่กำลังออกล่าเหล่าผู้บุกรุกทั้งหมดบนสนามรบ ถ้าหากมัวแต่ห่วงพรรคพวก จนถึงตอนนี้ตัวเขาก็คงจะเป็นเพียงแค่ซากศพไปแล้ว เฟิงชิงมองไปที่ด้านหน้า “อีกแค่ไมล์เดียวเท่านั้น”
เฟิงชิงเช็ดเลือดออกจากริมฝีปากของตัวเองก่อนที่จะพุ่งไปยังด้านหน้า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่โชคยังเข้าข้าง เฟิงชิงเป็นเจ้าสำนักผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้
ในเวลานั้นเองก็มีใครบางคนตะโกนออกมาจากทางด้านหลัง “ท่านเจ้าสำนัก! ช้าก่อน!”
เฟิงชิงตกใจที่ได้ยินเสียง ตัวเขาเกือบที่จะกระโดดถอยห่าง เฟิงชิงรีบตั้งสติก่อนที่จะหันไปมองสาวกที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา ‘เป็นไปไม่ได้! มีคนที่ฉลาดพอๆ กับข้าคนนี้จนเอาตัวรอดมาได้อย่างงั้นเหรอ?’
เฟิงชิงกลืนน้ำลายในขณะที่มองไปยังสาวกที่สวมใส่ชุดของสำนักเจินชางกำลังวิ่งตรงมา ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นได้ถามออกมาอย่างเบาใจ “เจ้ารอดมาได้ยังไงกัน?”
“ข้า…ข้าแกล้งตายมาน่ะ”
“แกล้งตายอย่างงั้นเหรอ?” ผู้ที่สามารถแกล้งตายอย่างแนบเนียนจะต้องรู้จักวิธีการหายใจภายใน อย่างน้อยๆ เขาก็คงจะเป็นผู้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์
“ไม่เลว” เฟิงชิงกล่าวชมเชย ในตอนนี้ตัวเขาไม่มีแรงมากพอที่จะวัดพลังวรยุทธของศิษย์สาวกได้
“ทะ…ท่านเจ้าสำนัก…พวกเราจะไปไหนกัน?”
“หุบเขาด้านห้า ข้าเตรียมการบางอย่างเอาไว้แล้ว” เฟิงชิงตอบกลับมาก่อนที่จะถอนหายใจ “น่าเสียดายจริงๆ ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ฝึกยุทธขั้นเก้าแข็งแกร่งเกินไป พวกเราควรจะทำยังไงกับแผนการที่เหลือดี?”
“ที่ผ่านมาสำนักเจินชางเสียแรงเปล่าไปสินะครับ?”
“ระวังคำพูดซะ!” เฟิงชิงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้า…ข้าผิดไปแล้ว”
“หลังจากเหตุการณ์นี้ เจ้าจะเป็นเสาหลักของสำนักเจินชาง เจ้าจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุด! เร็วเข้ารีบช่วยข้า” เฟิงชิงพูดต่อ
“เอ่อ แต่ข้าอยากที่จะเป็นเจ้าสำนัก” สาวกคนนั้นตอบกลับมา
“หืม?” เฟิงชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คนจำนวนมากมักจะเลือกฉวยโอกาสจากความโชคร้ายของผู้อื่น หลังจากที่เป็นเจ้าสำนักอยู่นานเฟิงชิงก็ไม่ได้แปลกใจเลยเมื่อต้องพบกับสถานการณ์แบบนี้
เฟิงชิงจ้องไปที่สาวกคนนั้นอย่างตั้งใจ ตัวเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสาวกคนนี้คือใคร แม้ว่าสำนักเจินชางจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับสำนักหยุนเทียนลั่ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังมีสาวกกว่าหลายพันคน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เป็นเจ้าสำนักจะจดจำสาวกได้ทุกคน
“ถ้าหากเจ้าต้องการเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็ต้องผ่านการทดสอบก่อน” เฟิงชิงหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “การทดสอบแรกก็คือการช่วยข้าซะ”
“ครับ…” สาวกคนนั้นได้ช่วยพยุงตัวเฟิงชิงเอาไว้
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรกัน”
“ข้าแซ่รี…รี…” สาวกคนนั้นเกาหัว “ข้าคิดชื่อที่ดูเหมาะเจาะไม่ได้จริงๆ …”
‘นี่มันหมายความว่าอะไรกัน’ เฟิงชิงที่ได้ฟังแบบนั้นสับสน
ทันใดนั้นเองก็มีแสงสว่างส่องออกมา
ชิ๊ง!
ช่วงเวลาที่เฟิงชิงกำลังถูกดึงตัวขึ้นมา เคียวพื้นพิภพที่ห่อหุ้มพลังลมปราณก็ได้เสียบทะลุผ่านหน้าอกของตัวเขา
ตู๊ม!
เฟิงชิงกระเด็นถอยกลับไปหลังจากที่ถูกลอบโจมตี ตัวเขาพลิกตัวกลางอากาศก่อนที่จะตั้งตัวไว้ได้ ที่มุมปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด เฟิงชิงเดินเสียหลักไปที่ด้านหลัง ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่เหลือบมองไปยังเคียวพื้นพิภพ ตัวเขารู้ถึงระดับของอาวุธชิ้นนี้ได้ในทันที เฟิงชิงไออย่างรุนแรงก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าไม่ใช่สาวกเจินชาง เจ้าเป็นใครกัน?!”