My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 451
เมื่อลู่โจวเห็นแต้มบุญที่ลดเหลือจาก 100,000 กว่าแต้มจนเหลือ 1,800 แต้มทำให้ตัวเขารู้สึกปวดใจ ในตอนนั้นเองความคิดอันน่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้นในใจของลู่โจว จะดีแค่ไหนกันถ้าหากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดบุกโจมตีหุบเขาทองอีกครั้ง? ลู่โจวที่คิดได้รีบส่ายหัวในทันที ตัวเขาได้ทิ้งความคิดแบบนั้นไป ถ้าหากศัตรูทั้งหมดบุกขึ้นมาอีกครั้ง ลู่โจวก็คงจะไม่มีวิธีอะไรขับไล่พวกเขา พลังวิเศษของเขาในตอนนี้ยังไม่ได้รับการเติมเต็มด้วยซ้ำไป ถ้าหากจะต้องต่อสู้กันจริงๆ ลู่โจวไม่คิดว่าตัวเองจะเอาชนะแม้แต่ซู่ฮ่องกง ศิษย์คนที่แปดได้ด้วยซ้ำ
ลู่โจวแสดงพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบต่อหน้าสำนักใหญ่ทั้งเจ็ด ใครก็ตามที่พอมีสมองอยู่ก็คงจะไม่กล้าบุกภูเขาทองในเร็ววันแน่
‘สวมใส่’ ลู่โจวใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง
พลังอวตารร้อยวิถีได้สลายกลายเป็นแสงก่อนที่จะหมุนวนรอบตัวเขา แสงทั้งหมดเริ่มหลอมรวมเข้ากับร่างกายของลู่โจว ตัวเขารู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเป็นพลังที่เอ่อล้นเข้าสู่จุดตันเถียน จุดพลังลมปราณที่เคยอ่อนแอเต็มไปด้วยพลังลมปราณอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็รู้สึกได้ถึงพลังอวตารทศภพของตัวเขาถูกแทนที่ด้วยพลังอวตารร้อยวิถีแทน
…
ในขณะนั้นเองที่ศาลาทางตะวันออกเต็มไปด้วยพลังลมปราณ
ทุกๆ คนในศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังอันผันผวนนี้
ภายในศาลาทางใต้
ฝานลี่เทียนที่กำลังเอนกายอาบแดด ในตอนนี้ตัวเขากำลังนั่งฟังเล้งลั่วคุยโวเกี่ยวกับการต่อสู้อยู่ “แม้ว่าข้าจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างกับตาตัวเอง แต่ข้าก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ในคืนนั้นดี ข้าเชื่อเจ้า”
เล้งลั่วหัวเราะก่อนที่จะตอบกลับมา “ฝานลี่เทียน เจ้าหมายความว่าอะไรกันที่เจ้าเชื่อข้า? ข้าพูดความจริงทุกอย่าง ข้าไม่ได้พูดอะไรที่เกินความจริงเลย ฝานลี่เทียน เจ้ากำลังเสียใจอยู่สินะที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาตัวเองน่ะ”
ฝานลี่เทียนไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา ในความจริงฝานซงได้บอกเรื่องราวแปลกๆ ที่ฝานลี่เทียนได้เห็นในคืนก่อนแล้ว ไม่มีใครที่ไม่ต้องการเห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่น่าเสียดายที่ฝานลี่เทียนกำลังพักฟื้นพลังอยู่ ตัวเขาจึงเสียโอกาสที่จะได้เห็นสุดยอดพลังไป เป็นไปได้ไหมที่ตัวเขาจะท่อสังขารไปถึงศาลาตะวันออกก็เพื่อที่อยากจะเห็นพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกับปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยตัวเอง? แน่นอนว่าไม่มีทางแน่
เล้งลั่วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าความจริงเกี่ยวกับขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่จะถูกทำลายลงแล้ว…ข้าคิดว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่อยู่มาจนได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้”
“ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” ฝานลี่เทียนเห็นด้วย ตัวเขาถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเคยคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือเดินเตร่ไปทั่วโลก ใช้ชีวิตที่มีเยี่ยงคนธรรมดา แต่เมื่อคิดดูให้ดีการมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องแย่เลย ช่างน่าสนใจจริงๆ”
เมื่อทั้งสองคนสนทนากันมาถึงตอนนี้ ในตอนนั้นเองความผันผวนของพลังลมปราณอันรุนแรงก็ส่งมาถึงพวกเขาในที่สุด
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนมองไปยังศาลาทางตะวันออกโดยที่ไม่แปลกใจ พวกเขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้แล้ว
“ดูเหมือนว่าท่านปรมาจารย์จะกำลังลองใช้วิชาใหม่อีกแล้วสินะ” ฝานลี่เทียนส่ายหัว
“บางที…มันอาจจะมีวิธีการที่แท้จริงในการฝึกฝนตนให้ไปถึงพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบอยู่ในมือของท่านปรมาจารย์ก็เป็นได้”
ดวงตาของทั้งคู่เปล่งประกายในทันที ทั้งสองคนเองก็นับว่าเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ พวกเขาต่างก็มาถึงจุดสูงสุดของเหล่าผู้ฝึกยุทธมานานแล้ว ในตอนนี้การจะฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะแบบนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองมองหน้ากันและกันก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
…
ในขณะเดียวกันลู่โจวได้ยกฝ่ามือขึ้น พลังอวตารร้อยวิถีของตัวเขาได้ปรากฏขึ้นบนนั้น ลู่โจวมีประสบการณ์ในการตรวจสอบพลังอวตารของตนมาก่อน ตัวเขาสามารถย่อพลังอวตารให้มีขนาดพอๆ กับกำปั้นทั้งสองได้ มันเป็นทักษะที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง นี่คือแบบจำลองพลังอวตารร้อยวิถีของตัวเขา มันกำลังยืนอยู่บนดอกบัวทองคำ แต่ถึงแบบนั้นมันกลับไร้กลีบดอกบัว
ถ้าหากลู่โจวไม่ได้มองดูให้ดี ตัวเขาก็คงคิดว่าพลังอวตารที่ได้เห็นเป็นเพียงพลังอวตารระดับต่ำ
ลู่โจวยกฝ่ามือขึ้นมาจนอวตารของตัวเขาอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าของตน
ขั้นต่อไปก็คือการผลิกลีบ
ลู่โจวกำลังวัดพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ของตนอย่างเงียบๆ ตัวเขาสามารถผลิกลีบดอกบัวได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ ดังนั้นลู่โจวจึงโคจรพลังลมปราณของตนก่อนที่จะส่งมันไปยังพลังอวตาร
วงแหวนสีทองได้ส่องสว่างขึ้นจากร่างอวตาร มันเริ่มหลอมรวมกันจนกลายเป็นทีละชั้น พลังลมปราณที่กำลังส่งผ่านไปเริ่มผันผวนมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก ในไม่ช้าพลังลมปราณของตัวเขาก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งศาลาทางตะวันออก
ในขณะเดียวกันซู่ฮ่องกงและจ้าวยู่กำลังจะเข้าไปยังศาลาตะวันออก…
“นี่มันพลังระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังผลิกลีบ?”
“ไม่มีทาง หรือว่าพลังอวตารดอกบัวสิบกลีบ?” ซู่ฮ่องกงตกใจจนแทบกระโดด
“ไม่…นี่มันพลังอวตารดอกบัวหนึ่งกลีบ!” จ้าวยู่ที่พยายามผลิกลีบพลังอวตารของตนรู้จักขั้นตอนนี้ดี
“ข้าจะไม่พลาดทำผิดแน่ พวกเราไปกันเถอะ!” ซู่ฮ่องกงหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะดึงตัวจ้าวยู่ออกจากศาลาตะวันออกไป
ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในศาลาทางตะวันออกอีก ในตอนนี้ผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขากำลังฝึกฝนตนอยู่ ถ้าหากยังคงฝืนรบกวนเขา ทั้งคู่ก็คงจะเจอแต่ปัญหาเท่านั้น
พลังที่ใช้ผลิกลีบดอกบัวกลีบเดียวเป็นเหมือนกับอุบายในการหลอกผู้คน แน่นอนว่าซู่ฮ่องกงจะไม่ยอมถูกหลอกแน่
ซู่ฮ่องกงไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ เกือบทุกคนที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็คิดในทางเดียวกัน
ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างก็คุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ แม้ว่าลู่โจวจะยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาและเปิดใช้พลังอวตารที่มี ทุกๆ คนก็จะคิดว่าลู่โจวได้ออมพลังเอาไว้ ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ไม่มีใครกล้ามากพอที่จะเชื่อว่านั่นคือพลังที่แท้จริงของผู้ที่เป็นปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้า
…
เมื่อเวลาผ่านไปได้ชั่วโมง
ลู่โจวเหลือบมองแสงประกายจากด้านล่างอวตารของตน
แสงประกายทั้งหลายได้จางหายไป ลู่โจวในตอนนี้มองเห็นกลีบดอกบัวที่อวบอ้วนและสดใสปรากฏขึ้นมาแทน
สำเร็จ! แม้ว่ามันจะเป็นเพียงกลีบดอกบัวแค่กลีบเดียว แต่ลู่โจวก็พอใจอย่างมากแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปตัวเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
หลังจากที่ผลิกลีบดอกบัวได้ ลู่โจวก็หันกลับมาทำสมาธิก่อนที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกครั้ง
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลู่โจวแทบไม่อยากที่จะลืมตาขึ้น ในตอนนี้ตัวเขาได้ยินเสียงของใครบางคนกำลังเรียกตัวเขาจากทางด้านนอกอยู่
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สี่กลับมาแล้ว!”
“เรียกเขามาซะ”
“ค่ะ”
ลู่โจวปรากฏตัวออกมาจากศาลาทางตะวันออก ตัวเขามองขึ้นไปบนม่านพลังของภูเขาทอง ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น อันที่จริงม่านพลังในตอนนี้มีพลังมากกว่าม่านพลังในยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ด้วยซ้ำไป ลู่โจวได้เสียการ์ดระเบิดจุดสุดยอดไปแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ต้องการหาการ์ดระเบิดจุดสุดยอดอีกใบ
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็เข้ามาถึงศาลาทางตะวันออก ตัวเขาที่มาถึงได้คุกเข่าลงในทันที “ท่านอาจารย์!”
ลู่โจวขมวดคิ้วเมื่อเห็นหมิงซี่หยินกำลังจะเดินตามรอยเท้าของซู่ฮ่องกงพูดยกยอตัวเขา ลู่โจวที่คิดแบบนั้นรีบโบกมือห้ามออกมาก่อน “พอได้แล้ว”
“ข้าอยากที่จะชื่นชมท่านอาจารย์จริงๆ ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…ไม่มีใครไม่เกรงกลัวต่อพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบของท่านอาจารย์แน่” หมิงซี่หยินยังคงพูดออกมา
“เจ้าพูดจบแล้วรึยัง?” ลู่โจวมองไปที่หมิงซี่หยิน ตัวเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของศิษย์คนนี้กันแน่ ถ้าหากหมิงซี่หยินมีเวลามากพอที่จะประจบประแจงตัวเขา หมิงซี่หยินก็ควรจะเอาเวลาไปฝึกฝนตนแทน
หมิงซี่หยินส่ายหัว ตัวเขาไม่กล้าพูดชื่นชมอีกต่อไป หมิงซี่หยินก็แค่พยายามเลียนแบบศิษย์น้องแปดของเขา แต่ในตอนนี้สิ่งที่ตัวเขาทำทำให้หมิงซี่หยินดูกลายเป็นคนโง่เง่าแทน ทำไมอาจารย์ของเขาถึงไม่รังเกียจสิ่งที่ซู่ฮ่องกงทำในแบบเดียวกัน?
“หลายวันมานี้เจ้าไปไหนมา?” ลู่โจวรีบถาม
หมิงซี่หยินรีบอธิบายอย่างรวดเร็วถึงการแทรกซึมของตัวเขาในเจ็ดสำนักใหญ่ นอกเหนือจากนั้นตัวเขายังเล่าถึงเหตุการณ์ที่สังหารเฟิงชิง
เมื่อลู่โจวได้ยินแบบนั้น ตัวเขาจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าฆ่าเฟิงชิงอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น…เฟิงชิงในตอนนั้นได้เผาผลาญจุดพลังลมปราณของตัวเองและใกล้ตายเต็มที ในตอนที่ข้าเจอกับเฟิงชิงตัวเขาได้ผนึกจุดพลังลมปราณของตนก่อนที่จะหนีไปตามป่า เป็นเพราะเฟิงชิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้วเพราะแบบนั้นข้าก็เลยจัดการเขาได้!” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
การต่อสู้ในคืนนั้นมันวุ่นวายจนเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนนอกหลุดรอดไปได้ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฟิงชิงจะหนีรอดไปได้เช่นนี้ ด้วยพลังมหาศาลของอวตารดอกบัวเก้ากลีบทำให้ลู่โจวสัมผัสถึงพลังลมปราณที่ผันผวนเล็กน้อยได้น้อยลง ตัวเขาต้องยอมรับว่าเฟิงชิงเป็นคนที่มีไหวพริบอย่างแท้จริง
หยวนเอ๋อที่เพิ่งจะมาถึงได้พูดขึ้น “ศิษย์พี่สี่ ท่านจัดการเจ้านั่นด้วยวิธีเดียวกันอย่างงั้นหรอ? ท่านเองก็ใช้วิธีสกปรกเหมือนกันสินะ?”
หมิงซี่หยิน “…” หมิงซี่หยินได้แต่กระแอมก่อนที่จะตอบไป “อย่าได้สนใจถึงวิธีการเลย”
ไม่ว่าวิธีที่หมิงซี่หยินใช้ในการไล่ตามเฟิงชิงและฆ่าเขาจะเป็นวิธีการที่สกปรกมากแค่ไหน แต่นั่นก็ยังเป็นผลดีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้า เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่อยู่ดี ลู่โจวไม่คิดที่จะเลือกข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ มาตำหนิผู้ที่สร้างผลงานอย่างแน่นอน “เจ้าทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณสำหรับคำชมท่านอาจารย์…แต่ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องรายงาน” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
“พูดซะ”
“หลังจากที่จัดการกับเฟิงชิงได้ข้าก็พบกับหญิงชราคนหนึ่ง…” หมิงซี่หยินได้บรรยายถึงรูปลักษณ์ของหญิงชราในหุบเขาทุกอย่างให้กับลู่โจวได้ฟัง “หญิงชราคนนั้นเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเฟิงชิง นางต้องการที่จะฆ่าข้า แต่โชคยังดีที่ข้าฉลาดพอที่จะเอ่ยนามของท่านไป ท่านอาจารย์นางกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรข้าได้”
แม้ว่าคำพูดของหมิงซี่หยินจะฟังดูเกินจริงเล็กน้อยแต่คำอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับรูปร่างท่าทางของตัวเขารวมไปถึงพลังแผ่สวรรค์ที่แกร่งกล้าทำให้ลู่โจวอนุมานได้ว่านางเป็นธิดาแห่งสวรรค์ซึ่งครั้งหนึ่งนางเคยมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหมู่ชาวลัทธิขงจื๊อ
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างใจเย็น “ซูยู่ชู”
“ซูยู่ชูคือใครกัน?” หมิงซี่หยินเกาหัว
ในตอนนั้นเองเสียงของเล้งลั่วก็ได้ดังมาจากทางด้านหลัง
“เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะไม่เคยได้ยินชื่อซูยู่ชู นางเป็นอัจฉริยะผู้ฝึกยุทธของชาวลัทธิขงจื๊อที่ทำให้คนทั้งใต้หล้าต้องตกตะลึง เมื่อ 500 ปีก่อน ซูยู่ชูเกือบที่จะเคยได้รับการกล่าวขานให้กลายเป็นนักบุญหญิงคนแรกของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม…ชาวลัทธิจงจื๊อไม่อนุญาตให้หญิงสาวเรียนรู้วิชาได้ ซูยู่ชูนางที่หัวแข็งมากพอจึงทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีต่อชาวลัทธิขงจื๊อไป”